ฉันเป็นเศรษฐีอสังหาฯในวันสิ้นโลก - ตอนที่ 221 ถ้าผมไม่อยู่แล้วจะทำยังไง
ตอนที่ 221 ถ้าผมไม่อยู่แล้วจะทำยังไง
ตอนที่ 221 ถ้าผมไม่อยู่แล้วจะทำยังไง
ซูเถาผงะและมองเขาอย่างจริงจังชั่วขณะหนึ่ง
สือจื่อจิ้นเองก็มองหญิงสาวตรงหน้าเช่นกัน
ทั้งสองมองหน้ากันเงียบ ๆ เป็นเวลานาน
สุดท้ายแล้วสือจื่อจิ้นก็พ่ายแพ้ก่อน เขาหัวเราะออกมาและพูดว่า
“ผมไม่ควรถาม ผมไม่มีอะไรให้คุณเข้าหานี่เนอะ”
ชีวิตของเขาเดินอยู่บนขอบหน้าผา มันไม่มีอะไรแน่นอนเลยสักนิด ในเมื่อชีวิตไม่มีความแน่นอน ใครจะอยากเข้าหาคนอย่างเขากัน
ซูเถาถอนหายใจ
“ในเมื่อคุณเองก็รู้อยู่แล้ว แล้วยังจะถามฉันแบบนั้นอีก คุณทำแบบนี้มันเรียกว่าการล่อใจ มันแย่ยิ่งกว่าการที่จี้ไฉเจ๋อมารังควานฉันอีก”
สือจื่อจิ้นก็กล่าวโทษตัวเองอยู่เหมือนกัน แต่เมื่อเขาได้ยินซูเถาพูดแบบนั้น เข้าก็ต้องก้มหน้าและยอมรับความผิดพลาดของเขาทันที
“ขอโทษ ผมไม่น่าถามเลย”
ซูเถามองตรงมาที่เขา “ฉันไม่ยอมรับคำขอโทษ ฉันต้องการให้คุณรับผิดชอบในสิ่งที่คุณพูด”
เธอต้องการฟังจุดยืนและความคิดของเขา ว่าแท้จริงแล้วเขาหมายถึงอะไรกันแน่
หลอกให้อยากแล้วจากไป…
สือจื่อจิ้นรู้สึกเพียงว่าการเผชิญหน้ากับเคียวโลหิตเพียงอย่างเดียวนั้นไม่ยากอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้
เขารู้สึกเสียใจกับตัวเอง เขาไม่ควรถามคำถามอย่างไร้เหตุผลนี้ออกไป
ซูเถามองเขาตาไม่กะพริบ
สือจื่อจิ้นพ่ายแพ้ให้กับเธออีกครั้ง
“ผมผิดไปแล้วจริง ๆ”
เขาถอนหายใจและพูดอีกครั้ง “คุณแค่ทำเหมือนว่าผมพูดจาอะไรไม่ทันคิด แต่ผมไม่กล้ารับปากคุณจริง ๆ ผมกลัวว่าผมจะผิดคำพูด ผมไม่แน่ใจว่าจะต้านทานโบนวิงส์ได้ ไหม และยังจะต้องจับสัตว์เลื้อยคลานทั้งเป็น และต้องเอาชีวิตรอดจากภารกิจอีก”
“ถ้าผมไม่อยู่แล้วจะทำยังไง”
ซูเถาหยุดไปสองสามวินาทีจากนั้นก็คว้ามือของเขาเอาไว้
สือจื่อจิ้นตัวแข็งทื่อ
ในขณะเดียวกัน ภาพที่น่ากลัวก็เกิดขึ้นในหัวของเธออีกครั้ง
ค่ำคืนที่มืดมิด สิ่งที่เธอเห็นตรงหน้าเต็มไปด้วยซากศพและชิ้นส่วนของแขนขา พวกมันถูกกองรวมกันเป็นเนินเขา ซอมบี้ที่กำลังกัดกินโห่ร้องอยู่บนเนินซากศพ และเลือดก็ไหลซึมลงบนพื้น ทำให้ผืนดินที่แห้งแตกกลายเป็นสีแดงเข้ม… ซากปรักหักพัง เครื่องแบบทหารที่คุ้นเคยมองเห็นได้ไม่ชัดเจนนัก และเมื่อเดินเข้าไปใกล้ ๆ จะเห็นใบหน้า….
ซูเถาหดมือของเธอเข้ามา ใบหน้าของเธอซีดเซียว มือเท้าของเธออ่อนแรงและกำลังล้มลง
สือจื่อจิ้นคว้าตัวเธอไว้ ประคองเธอเอาไว้เพื่อให้เธอยืนได้อย่างมั่นคง เขาขมวดคิ้วแล้วถามว่า “พลังวิเศษของคุณคืออะไร”
ซูเถาคว้ามือของเขาอีกครั้งและจับแน่น แต่เธอไม่สามารถ ‘เห็น’ ฉากนั้นได้ในตอนนี้
“เถาเถา เถาเถา!”
ซูเถาถูกตะโกนเรียกหลายครั้งก่อนที่เธอจะมีสติกลับมา เธอคว้าคอเสื้อของเขาแล้วเงยหน้าขึ้นมองพร้อมกับพูดด้วยริมฝีปากที่สั่น
“ห้ามไป…”
สือจื่อจิ้นลูบหลังของเธอ “คุณเห็นอะไร”
ซูเถากัดฟันและไม่พูดอะไร เพียงแค่พูดซ้ำ
“ภายในสามเดือนนี้ คุณห้ามไป ฉันรู้สึกว่ามันใกล้ตัวมาก!”
เธอไม่รู้ว่าเขาจะตายในภารกิจไหน
แต่ดูเหมือนเธอจะ ‘ทำนาย’ ว่านี่คือสิ่งที่จะเกิดขึ้นภายในสามเดือน
ถ้าภายในสามเดือนนี้เขารอดชีวิต บางทีมันอาจจะเปลี่ยนจุดจบของเขาก็ได้
สือจื่อจิ้นมองเธออย่างใจเย็นและพูดว่า “ผมจะตายภายในสามเดือนใช่ไหม”
จากนั้นเขาก็หัวเราะ
“ทุกครั้งที่ออกไปข้างนอก ผมมักจะสงสัยว่านี่คือครั้งสุดท้ายที่ผมออกไปข้างนอกหรือเปล่า พอหลับตาลงผมก็ไม่ต้องวิ่งไปมาอีกแล้ว ผมใกล้จะได้นอนหลับอย่างเต็มตาแล้ว”
ซูเถาเบิกตากว้าง “คุณหมายความว่าไง”
สือจื่อจิ้นลดสายตาลง พร้อมรอยยิ้มที่ขมขื่น
“ผมขอโทษ แต่ผมมีคำสั่งทางทหารที่ละเมิดไม่ได้”
ซูเถาอ้าปากกว้าง สิ่งที่ได้ยินทำให้เธอถึงกับพูดไม่ออก
เสียงของเขาดูเหมือนจะล่องลอย
“สามเดือนเหรอ… ผมจำได้ว่าวันเกิดของคุณคือเดือนสิบสอง นับจากวันนี้ไปก็จะสามเดือนพอดี ถ้าตอนนั้นผมยังมีชีวิตอยู่… ผมจะเลี้ยงเค้กคุณ”
ซูเถาพูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความขมขื่น “ฉันจะไม่ขายให้คุณ และที่อื่นก็คงไม่มีขายให้คุณเหมือนกัน”
สือจื่อจิ้นยกยิ้มมุมปากขึ้น “ผมทำเป็น”
ซูเถาสวนกลับไปว่า “ทำไมคุณถึงทำเป็นล่ะ? ฉันคิดว่าคุณทำได้แค่ถือปืนซะอีก”
“ผมทำเป็นหลายอย่าง ไว้ถึงวันเกิดคุณแล้วผมจะบอก”
ซูเถาทนไม่ได้อีกต่อไป เธอเปิดประตูแล้วผลักเขาออกไปจากห้อง
“คุณไปเถอะ ไม่งั้นถ้าฉันเกิดเสียดายคุณขึ้นมา คุณจะไม่สามารถก้าวขาออกจากเถาหยางได้แม้แต่ก้าวเดียว”
สือจื่อจิ้นถูกเธอผลักออกจากประตู เมื่อเธอปิดประตู เขาจับประตูและพูดอย่างจริงจังว่า
“เหลยสิงน่าเชื่อถือมากกว่ากู้หมิงฉือ”
ซูเถาตบบานประตู
สือจื่อจิ้นเงียบไปสองวินาที เขาหันหลังกลับมาและกำลังจะจากไป แต่เมื่อเขาเงยหน้าขึ้น เขาก็เห็นเหลยสิงยืนตัวสั่นอยู่ที่เชิงบันได ขาของเขาชาจากการนั่งยอง ๆ
เหลยสิงจับที่ราวบันไดรู้สึกลำบากเล็กน้อย
“เมื่อกี้คุณบอกอะไรกับเถ้าแก่ซูเกี่ยวกับผม? เป็นลูกผู้ชายมาสู้กันตัวต่อตัวดีกว่า อย่าพยายามหว่านความขัดแย้ง”
สือจื่อจิ้นหันหลังกลับและจากไป
เหลยสิงที่ยังขาชาอยู่ก็เลยตามไปไม่ทัน
เฉินเทียนเจียวผู้ซึ่งจัดการกับร่างของหลูเซิ่งเสร็จแล้วก็รีบวิ่งมา เมื่อเห็นว่ากัปตันของเขามีสีหน้าผิดปกติ เขาจึงถามอย่างเป็นห่วง
“คุณกำลังทำสงครามเย็นกับเถ้าแก่ซูอีกครั้งเหรอ”
ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองเป็นเหมือนสายธนู ซึ่งพร้อมจะขาดด้วยแรงเพียงเล็กน้อย
สือจื่อจิ้นหันมามองเขาแล้วถามว่า “แม่ของนายเป็นห่วงนายหรือเปล่า”
ทันใดนั้นเฉินเทียนเจียวก็กังวล
“แน่นอน แต่ไม่ต้องห่วง เธอโทรมากวนผมบ่อยมาก บอกให้ผมเกษียณก่อนกำหนดและหาผู้หญิงในเถาหยางแต่งงาน เพื่อที่ผมจะได้มีชีวิตที่สงบสุข นี่ตั้งแต่ผมกลับมาผมยังไม่กล้าไปเจอหน้าเธอเลย”
“แล้วนายคิดแบบนั้นไหม”
เฉินเทียนเจียวคิดอยู่ครู่หนึ่งและส่ายหัว “แน่นอนว่าไม่ ผมเป็นทหาร”
ผมเป็นทหาร
คำสี่คำนี้มีค่ามาก และคำที่มีค่าเหล่านี้ไม่สามารถที่จะละทิ้งและไม่รับผิดชอบได้
ทันใดนั้นเฉินเทียนเจียวก็เข้าใจ “เถ้าแก่ซูไม่ต้องการให้คุณออกไปเสี่ยง พวกคุณทะเลาะกันเพราะเหตุนี้ใช่ไหม”
สือจื่อจิ้นรู้สึกเจ็บปวดเล็กน้อย
เธอไม่อยากให้เขาออกไปเสี่ยง เธอไม่อยากให้เขาไปตาย
เขาพยักหน้าและไม่พูดอะไร
เฉินเทียนเจียวเห็นอกเห็นใจเขามาก เขาเองก็เป็นทุกข์เช่นกันและพูดว่า
“คนอย่างเราไม่เหมาะกับการแต่งงาน แต่เหล่าต้า คุณลองคิดดูดี ๆ สิ ที่เถ้าแก่ซูห้ามคุณแบบนั้นนั่นก็เป็นเพราะว่าเธอหวังดี”
สือจื่อจิ้นเลิกคิ้ว เขาระงับอารมณ์ที่พลุ่งพล่านในใจ และพยายามเปลี่ยนเรื่อง
“ร่างกายของหลูเซิ่งทำความสะอาดเรียบร้อยดีแล้วเหรอ”
เฉินเทียนเจียวพยักหน้าซ้ำ ๆ
“ทุกอย่างเรียบร้อยดี แต่ว่าเหล่าต้า ดวงตาของคุณสามารถมองเห็นผ่านภาพลวงตาแบบนี้ได้ด้วยเหรอ”
สือจื่อจิ้นกล่าวว่า “ใช่ สถานที่ที่เขาซ่อนตัว มีร่องรอยของพลังวิเศษ”
เฉินเทียนเจียวรู้สึกอิจฉา “มันใช้งานได้จริง โห เหล่าต้า ความสามารถของคุณเหนือชั้นจริง ๆ แต่มันก็ล่อใจเกินไป ถ้าผมเป็นคุณแล้วผมเห็นผู้ที่มีพลังเหนือธรรมชาตินี้ ผมน่าจะลวงเขาไปฆ่าเพื่อชิงเอาเลือดมา”
สือจื่อจิ้นส่ายหัว “นายไม่ทำแบบนั้นหรอก”
เฉินเทียนเจียวถอนหายใจ “คุณก็พูดไป หัวใจของคนเราน่ะไม่สามารถคาดเดาได้ ไม่มีใครสามารถต้านทานสิ่งล่อใจนี้ได้หรอกนอกจากคุณ อดีตผู้นำกองทัพเคยบอกว่ามีเพียงคุณเท่านั้นที่สามารถควบคุมความสามารถนี้ได้ ที่พยายามรักษาความตั้งใจดั้งเดิมของคุณเสมอ และทุกครั้งก็จะไม่ลืมว่า การฆ่านั้นทำไปเพื่อการปกป้องที่ดียิ่งขึ้น”
สือจื่อจิ้นลูบไปที่เนื้อตัวของเขา “เอาล่ะ ไปบอกลาแม่ของนายซะ คืนนี้เราจะออกเดินทางกัน”
เฉินเทียนเจียวรู้สึกประหลาดใจ “เร็วจัง? คุณยังไม่รู้การเคลื่อนไหวของสัตว์เลื้อยคลานเลยไม่ใช่เหรอ? คุณจะออกไปซุ่มโจมตีแล้วเหรอ?”
สือจื่อจิ้นตอบรับ โดยที่ไม่มีคำอธิบายอะไรเพิ่มเติม
เขากลัวว่าซูเถาจะเสียใจ
และกลัวว่าตัวเองก็เสียใจเช่นกัน