ฉันเป็นเศรษฐีอสังหาฯในวันสิ้นโลก - ตอนที่ 242 อาคารธุรกิจเถาฉือ
ตอนที่ 242 อาคารธุรกิจเถาฉือ
ตอนที่ 242 อาคารธุรกิจเถาฉือ
จนกระทั่งเงินสามล้านเข้ามาในบัญชี ซูเถายังคงแทบไม่เชื่อสายตา “เพื่อนของคุณ… รวยมากเหรอ?”
เธออยากถามจริง ๆ ว่ามีเงินเยอะจนไม่มีที่จะใช้จ่ายเหรอ?
เธอไม่เคยเห็นใครที่ทุ่มเงินขนาดนี้มาก่อน
หุยซู่ตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “เป็นน้ำใจเล็ก ๆ น้อย ๆ ผมจะรบกวนเถ้าแก่ซูดูแลพี่น้องที่ย้ายมาที่นี่ พวกเขาอายุไม่มากและอาจจะหงุดหงิดง่ายนิดหน่อย ถ้าพวกเขาทำให้เถ้าแก่ซูเดือดร้อนก็บอกผมได้ตลอด”
ซูเถามองเขาอย่างสงสัย “สิ่งที่คุณพูดดูเหมือนว่าคนจากเขตตะวันออกของคุณจะย้ายมา”
หุยซู่ตอบกลับ “ที่ไหนกันล่ะ…”
ซูเถาโบกมือ “เอาเถอะค่ะ ไม่สำคัญว่าเพื่อนของคุณจะเป็นใคร ตราบใดที่จ่ายค่าเช่าตรงเวลาฉันก็โอเค”
หุยซู่พยักหน้า “แน่นอนว่าเราจะชำระเดือนละประมาณ 800,000 ถึง 1,000,000 เหลียนปัง แต่ว่าผลึกนิวเคลียสอาจไม่มีมาชำระทุกเดือน หวังว่าเถ้าแก่ซูจะเข้าใจ”
ซูเถาแสดงความเข้าใจ
หุยซู่นำข้อกำหนดการก่อสร้างของที่ดินไว้ให้ซูเถา
ซูเถารับคำขอของพวกเขาและส่งไปยังฝ่ายของผู้อาวุโสเหม่ย จากนั้นเตรียมที่จะใช้ผลึกนิวเครียส 12 อันเพื่อยึดครองดินแดนที่พวกเขาเลือก
แต่ก่อนหน้านั้นคนไร้บ้านหรือผู้ลี้ภัยในบริเวณนี้จะต้องถูกย้ายออกไป
อาจจะยากสักหน่อย เพราะผู้รอดชีวิตเหล่านี้อาศัยอยู่ใกล้เมืองเถาหยางมาระยะหนึ่งแล้ว
ที่ดินเต็มไปด้วยสิ่งของจำเป็นในชีวิตประจำวัน และบางคนถึงกับทำงานอย่างหนักเพื่อหาหิน วัสดุก่อสร้างที่ชำรุด พลาสติก และสิ่งอื่น ๆ มาเพื่อสร้างบ้าน
อีกครอบครัวหนึ่งลากรถสองประตูมาจากไหนไม่รู้ มีรูขนาดใหญ่บนหลังคา และครอบครัว 4 คนมองว่ามันเป็นที่กำบังเพียงแห่งเดียว
เมื่อเมิ่งเสี่ยวป๋อนำคนมาเกลี้ยกล่อมเขา ครอบครัวรถสองประตูก็คัดค้านอย่างรุนแรง
“พวกเราไม่ไป” ผู้เป็นพ่อร่างกายผอมกำลังปกป้องภรรยาและลูกสองคน รวมถึง ‘บ้าน’ ของพวกเขา เบ้าตาของเขาจมลึกไปเพราะความหิวโหย และลูกตาของเขาก็ปูดโปนออกมาดูเหมือนว่าจะถลนออกมาเมื่อเขาจ้องมองผู้คน
หญิงคนนั้นร้องไห้อ้อนวอนว่า “ได้โปรด หากเราย้ายออกไป เราจะไม่มีที่อยู่…”
เด็กเนื้อตัวมอมแมมสองคนร้องไห้ กอดขาพ่อแม่ด้วยความกลัว ไม่กล้ามองเมิ่งเสี่ยวป๋อที่ตัวใหญ่และบึกบึน
ผู้รอดชีวิตคนอื่น ๆ ที่อาศัยอยู่รอบ ๆ ก็หดคอซ่อนตัวอยู่ใน ‘บ้าน’ และไม่กล้าโผล่หัวออกมา
เมิ่งเสี่ยวป๋อเกาหัวแล้วชี้ไปที่ซากรถ “ให้ผมช่วยขนมันไปไหม”
ใบหน้าของหญิงสาวซีดเซียว “ไม่ ไม่ มันขยับไม่ได้ มันจะพังทลาย”
นี่เป็นที่พักพิงเพียงแห่งเดียวสำหรับครอบครัวของพวกเขา
เมิ่งเสี่ยวป๋อจึงเรียกดูภาพกล้องวงจรปิดเพื่อดูบริเวณซากรถ
เมื่อดูภาพจากกล้องแล้ว เขาก็พูดอย่างเคอะเขินว่า “จริงอยู่ที่มันขยับไม่ได้ ถ้าขยับมันก็จะพังทลาย เพราะหลาย ๆ จุดมันก็ชำรุดทรุดโทรม”
ผู้หญิงคนนั้นพยักหน้าอย่างแรง “ใช่…”
พวกผู้ชายตื่นตัวมาก ราวกับว่าพวกเขาจะทำให้ดีที่สุดหากบ้านของพวกเขาถูกแตะต้อง
เมิ่งเสี่ยวป๋อเกาหัวอีกครั้ง ก่อนที่เขาจะมา หัวหน้าชีบอกเขาว่าอย่าบังคับไล่พวกเขาออกไป
แต่ตอนนี้เราไม่สามารถชะลอเรื่องของเถ้าแก่ซูได้เพียงเพราะเรื่องรถจะพังทลาย
เขาไม่สามารถคิดหาวิธีที่ดีได้ ดังนั้นเขาจึงได้แต่กลับไปรายงานเจ้านายของเขาด้วยความสิ้นหวัง
หลังจากได้ยินเรื่องนี้ชีอวิ๋นหลันก็ถอนหายใจ “เดี๋ยวฉันจะนำเรื่องนี้ไปคุยกับเถ้าแก่ซู”
ในเวลานี้ซูเถากำลังสร้างอาคารธุรกิจของเถาฉือตามแบบร่างที่ได้รับจากผู้อาวุโสเหม่ย
เธอยังตื่นเต้นกับการก่อสร้างอยู่ เมื่อเสร็จแล้ว ความร่วมมือด้านการซื้อขายเสบียงของเถาหยางก็จะได้รับความนิยมอีกครั้ง
ทั้งสะดวกและปลอดภัยยิ่งขึ้นสำหรับลูกค้าที่มาซื้อของใช้ในช่วงเวลาดังกล่าว
เมื่อเข้ามาที่เถาฉือ บริเวณโดยรอบทั้งหมดจะเป็นลานจอดรถ แต่เนื่องจากพื้นที่จำกัด คาดว่ามีเพียงหนึ่งหรือสองทีมเท่านั้นที่สามารถเข้ามาจอดได้
เดินไปตามถนนมีอาคารสามชั้นอยู่สุดทาง
มีโกดังขนาดเล็กอยู่ด้านหลังอาคารหลังเล็ก ซึ่งใช้จัดเก็บตู้จำหน่ายสินค้าอัตโนมัติต่าง ๆ เช่น เครื่องทำอาหารเช้า ตู้แช่ข้าวกล่อง เครื่องทำบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ตู้ซักผ้าหยอดเหรียญ ฯลฯ เพื่อให้หลินฟางจือสามารถเตรียมเสบียงสำหรับลูกค้าที่มาทำการสั่งซื้อ
เมื่อถึงเวลานั้น ลูกน้องอีกสองคนจะต้องช่วยเขา
มีแปลงดอกไม้เล็ก ๆ ทั้งสองด้านของประตูตรงข้ามกับอาคารเล็ก ๆ ซึ่งอู๋เจิ้นสามารถปลูกดอกไม้ได้
เข้าไปที่ชั้น 1 เป็นโถงรับรอง มีเค้าน์เตอร์ต้อนรับลูกค้า เนื่องจากลูกค้าที่ต้องการซื้อเสบียง ก็จะเข้ามารอที่นี่ก่อน
ด้านซ้ายและขวาของชั้น 1 เป็นห้องน้ำสาธารณะซึ่งสามารถใช้ได้ 6 คน
ขึ้นลิฟต์ไปที่ชั้นสองจะเป็นห้องนั่งเล่นพร้อมโซฟาและโต๊ะน้ำชาขนาดเล็กพร้อมเก้าอี้พนักพิง
บนชั้นนี้ ผู้อาวุโสเหม่ยออกแบบผนังเปล่าขนาดใหญ่เป็นพิเศษเพื่อแขวนจอขนาดใหญ่หรือฉายภาพเพื่อแสดงภาพถ่ายของเสบียงและสินค้าต่าง ๆ
ลูกค้าที่นั่งอยู่ตรงนี้ก็อาจอยากสั่งเพิ่มอีกสักสองสามอย่าง หรือไม่ก็ดู ๆ เอาไว้ก่อน
มีห้องทำงานสี่ห้องทางด้านซ้ายและขวาของชั้นสองและสาม
เมื่อถึงเวลาให้หลินฟางจือเลือกคนที่เหมาะสมเข้ามาทำงาน
มีดาดฟ้าที่ชั้นสามพร้อมโต๊ะเก้าอี้และม้านั่ง และเนื่องจากมีโดมครอบป้องกัน การพักผ่อนที่นี่จะไม่น่าเบื่อเกินไป สามารถมานั่งเล่นได้
ในท้ายที่สุด ซูเถายังได้ติดตั้งประตูเคลื่อนย้ายเพื่อให้หลินฟางจือสามารถไปมาได้
หลังจากทุกอย่างถูกสร้างขึ้น ซูเถาพอใจมากและกำลังจะปรับปรุงรายละเอียดอีกเล็กน้อย แต่ในขณะเดียวกันชีอวิ๋นหลันก็เข้ามาอธิบายสถานการณ์ของผู้คนที่ไม่ยอมย้ายออกจากที่ดินผืนนั้น
ซูเถาถอนหายใจเบา ๆ “ฉันไม่อยากที่จะขับไล่พวกเขาออกไปด้วยการบังคับ ลองขอให้เสี่ยวป๋อ ไปที่ห้องเก็บน้ำเพื่อเตรียมน้ำ ถ้าพวกเขาเต็มใจที่จะย้าย เถาหยางจะให้น้ำแก่พวกเขาคนละแกลลอน”
ชีอวิ๋นหลันหัวเราะ “แบบนี้ก็ดี ตอนนี้ทรัพยากรน้ำขาดแคลน แถมยังหายากอีกด้วย พวกเขาน่าจะยอมรับ”
แน่นอนทันทีที่ข่าวออกไป ครอบครัวรถสองประตูก็ตกตะลึง และฝ่ายผู้เป็นแม่คนนั้นเป็นคนแรกที่ตอบสนอง โดยเลียริมฝีปากที่แตกของเธอแล้วถามว่า
“แกลลอนเหรอ? แกลลอนใหญ่แค่ไหน?”
เมิ่งเสี่ยวป๋อให้คนของเขายกถังน้ำมาให้ดู เป็นแกลลอนละ 7.5 ลิตร
ดวงตาของฝ่ายหญิงเป็นประกาย
ผู้รอดชีวิตสองสามคนที่ย่อตัวลงข้าง ๆ พวกเขาก็เริ่มชะเง้อดูเงี่ยหูฟัง
ชายคนนั้นแทบไม่เชื่อ “น้ำอะไร?”
น้ำเน่าน้ำเสียก็เรียกว่าน้ำ น้ำกินน้ำใช้ก็เรียกว่าน้ำ ปัสสาวะก็เรียกว่าน้ำ…
เมิ่งเสี่ยวป๋อขอให้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคนหนึ่งไปที่ห้องเก็บน้ำเพื่อนำน้ำที่ใสสะอาดและยังมีไอน้ำออกมา
ตอนนี้ผู้คนต่างพากันลุกฮือ
ผู้รอดชีวิตบางคนที่กระหายน้ำมาหลายวันรีบวิ่งไปที่จุดนั้นด้วยด้วยความตื่นเต้น
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยรีบเอาแกลลอนออกมา
เมิ่งเสี่ยวป๋อยิงปืนไปในพื้นที่โล่งกว้าง จากนั้นทุกอย่างก็สงบลงทันที และบรรดาผู้ที่มีเจตนาร้ายก็สงบลง
เขาพูดเสียงดัง “แต่ใครก็ตามที่อาศัยอยู่ในบริเวณนี้หากย้ายออกด้วยความสมัครใจก็จะได้รับน้ำแกลลอนนี้ไป และหากย้ายออกไปแล้วไม่ต้องกังวลว่าจะไม่ได้น้ำ เถาหยางของพวกเราไม่เคยขาดแคลนเรื่องนี้ ใครย้ายออกไปก่อนก็จะได้น้ำนี้ก่อน!”
เมื่อคำพูดเหล่านี้หลุดออกมา ไม่ว่าใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อ
แต่หัวหน้าครอบครัวหญิงของครอบครัวรถสองประตูก็ตัดสินใจย้ายทันที
ชายคนนั้นลังเลอยู่พักหนึ่ง แต่ก็กัดฟันและตอบตกลง
พวกเขาไม่ได้กินอะไรเลย ไม่มีแรง และไม่สามารถสู้ต่อไปได้
เมื่อเห็นว่ามีคนรื้อบ้านที่ทรุดโทรมเพื่อรับน้ำแล้ว ทั้งครอบครัวก็กังวลเล็กน้อย
เมิ่งเสี่ยวป๋อตรวจตราไปรอบ ๆ และเห็นสถานการณ์นี้เขาก็ม้วนแขนเสื้อขึ้น ก้าวไปข้างหน้า และยกรถขึ้นอย่างง่ายดาย
ทุกคนจ้องมาที่เขาพร้อมกับอ้าปากค้าง
ในขณะที่เขาภูมิใจ เขาแตะรถเพียงแค่สองสามทีรถก็แหลกคามือเหลือแค่ล้อ
ส่วนที่เหลือแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยบนพื้น