ฉันเป็นเศรษฐีอสังหาฯในวันสิ้นโลก - ตอนที่ 259 สือจื่อจิ้นคิดได้แล้ว
ตอนที่ 259 สือจื่อจิ้นคิดได้แล้ว
ตอนที่ 259 สือจื่อจิ้นคิดได้แล้ว
เพราะซูเถายังจำได้ว่าสัตว์เลื้อยคลานที่ส่งไปยังสถาบันวิจัยตงหยางนั้นไม่บุบสลาย
สือจื่อจิ้นจึงยอมรับโดยตรง
“จับตัวเดียวก็ถือว่าจับ ดีที่พวกมันปรากฏตัวพร้อมกันสองตัว ผมเลยจับมันได้ทั้งคู่ ผมแค่คิดว่าคุณไม่มีอาวุธอะไรที่จะไว้ป้องกันตัวระยะประชิด ดังนั้นผมจึงไปพบอาจารย์ที่เก่งกาจในการสร้างของวิเศษต่าง ๆ และทำสิ่งนี้ให้คุณ เป็นสร้อยข้อมือ ถึงแม้ว่ามันจะดูน่าเกลียดไปหน่อย แต่มันก็ใช้งานได้จริง”
ซูเถาเม้มปากแล้วกระซิบขอบคุณ
เธอชอบอาวุธนี้มากและไม่รังเกียจรูปลักษณ์ที่น่าเกลียดของมัน เพราะมันเป็นสิ่งที่สามารถช่วยชีวิตเธอในช่วงเวลาวิกฤตได้
“แล้วคุณไม่ต้องรายงานเรื่องนี้เหรอ” ถึงเธอจะดีใจแต่เธอก็ถามอย่างระมัดระวังว่า
สิ่งใดที่กองทัพบุกเบิกนำกลับมาจากภายนอกจะต้องมีการรายงานทุกครั้ง และถือว่าเป็นสมบัติสาธารณะของตงหยาง
ไม่ต้องพูดถึงสัตว์เลื้อยคลาน
ตอนนี้ไม่ว่าฐานไหน ๆ ต่างก็ต้องการแย่งชิงชิ้นส่วนต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นขา หัว ลูกตา ฯลฯ เนื่องจากของสิ่งนี้หายากมาก
สือจื่อจิ้นพูดอย่างเคร่งขรึม “ผมทำการล่าและฆ่าพวกมันในนามของผมเอง ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องส่งมอบพวกมันต่อสาธารณะ”
ซูเถามองเขาด้วยความประหลาดใจ ซึ่งแตกต่างจากนายพลสือผู้เสียสละในความทรงจำของเธอ เขา…ก็ยังมีความเห็นแก่ตัวอยู่บ้าง
สิ่งนี้ทำให้ซูเถามีความสุข และดวงตากลมโตของเธอเผยรอยยิ้มออกมา
เมื่อเห็นรอยยิ้มของเธอ สือจื่อจิ้นก็ถอนหายใจ และรู้สึกโล่งใจ
ในระหว่างการออกเดินทางในครั้งนี้ ในขณะที่เข้าเผชิญความเป็นความตาย จู่ ๆ เขาก็เข้าใจว่าเขาถูกขัดขวางโดยใครบางคน ที่ทำตามสัญญาว่าตลอดชีวิตของเขาว่าจะสละชีวิตเพื่อตงหยาง
หัวใจของเขาเกิดรอยร้าวเล็ก ๆ ขึ้น และรอยร้าวนี้ก็ได้ก่อกำเนิดดอกกุหลาบอ่อนโยนขึ้น ซึ่งทำให้ชีวิตของเขาสว่างไสวด้วยสีกุหลาบที่งดงาม มันไม่ใช่สีเทาอึมครึมของความพ่ายแพ้ในวันสิ้นโลกอีกต่อไป
เขาจะดูแลดอกไม้นี้อย่างดีตลอดชีวิตของเขา
ซูเถายิ้มเมื่อเห็นว่าเขาเกิดความเปลี่ยนแปลง ในขณะเดียวกันเธอก็เหลือบไปเห็นเฉินเทียนเจียวที่อยู่ไม่ไกล จึงเอ่ยเรียกอีกฝ่าย
เฉินเทียนเจียวที่รออยู่เป็นเวลานานแล้ว จึงรีบวิ่งไปทันทีและมอบกระสอบใบใหญ่ให้กับสือจื่นจิ้น
“เหล่าต้า อยู่ในนี้หมดแล้ว”
หลังจากพูดจบเขาก็วิ่งออกไปอีกครั้ง เพื่อให้ทั้งสองคนมีเวลาด้วยกัน และเขาก็ไม่อยากจะอยู่เป็นส่วนเกิน
สือจื่อจิ้นแบกกระสอบหนักไปที่เท้าของซูเถา
“ในนี้คืออะไรเหรอ” ซูเถาถามอย่างสงสัย
สือจื่อจิ้นเปิดกระเป๋าของเขาเพื่อแสดงให้เธอเห็น
ซูเถาตรวจสอบและมองดู ตาเธอเกือบบอดเมื่อเห็นของด้านใน สิ่งที่อยู่ในกระสอบนั้นเต็มไปด้วยผลึกนิวเคลียส!
หญิงสาวตัวแข็งทื่อ และไม่สามารถละสายตาออกจากสิ่งที่อยู่ในกระสอบนี้ได้เลย
เมื่อสือจื่อจิ้นเห็นท่าทางที่ตกตะลึงของหญิงสาว เขาก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ
“อดีตผู้นำกองทัพอนุญาตให้ผมนำสิ่งนี้มามอบให้คุณ คุณสามารถสัมผัสมันได้ถ้าคุณต้องการ”
“จริงเหรอ?!”
“จริงสิ”
“มีกี่อันเหรอ?”
“ประมาณ 80”
ซูเถายับยั้งหัวใจที่ตื่นเต้นและมือที่สั่นเทาของเธอเอาไว้
“ที่ช่วงนี้คุณหายไปเป็นเพราะคุณไปล่าเอาสิ่งนี้เหรอ? นี่มันมากเกินไป”
สือจื่อจิ้นไม่พูดอะไรมาก เขาทำได้เพียงแค่พยักหน้า อันที่จริง ตั้งแต่เขารู้ว่าเธอไม่มีผลึกนิวเคลียส เขาก็ออกไปตามหาซอมบี้วิวัฒนาการเพื่อตามล่าหาผลึกนิวเคลียสทั้งตั้งใจและไม่ตั้งใจ
ครั้งนี้เขาโชคดียิ่งกว่า คือนอกจากนี้เขายัง ‘สืบทอด’ ความสามารถหลายอย่างของโจรที่ตายด้วยน้ำมือของเขา ทำให้ความแข็งแกร่งของเขาเพิ่มขึ้นอย่างมาก จึงได้ผลึกนิวเคลียสมามากมาย
หลังจากที่ได้รับมันมา จิตใจของซูเถาเต็มไปด้วยความไม่เชื่อ เธอไม่เคยได้รับผลึกนิวเคลียสมากมายขนาดนี้ภายในครั้งเดียวมาก่อน
แบบนี้เธอสามารถครอบครองพื้นที่ของตงหยางได้เท่าไหร่
เพราะว่าผลึกนิวเคลียสชุดนี้ เธอไม่เพียงแต่สามารถเข้าครอบครองพื้นที่ที่เหลือของศูนย์ส่งเสริมแม่และเด็กเท่านั้น แต่ยังสามารถครอบครองพื้นที่เขตรอบ ๆ ตงหยางและสร้างโดมป้องกันสำหรับพื้นที่เหล่านี้
ด้วยวิธีนี้ บริเวณรอบนอกของตงหยางจะได้รับการปกป้อง และซอมบี้ก็จะไม่สามารถเข้ามาได้โดยง่าย จากนั้นเธอค่อยขยับพื้นที่เข้าไปพื้นที่ด้านใน
จะมีสักกี่คนที่สามารถมีชีวิตที่มั่นคงภายใต้การคุ้มครองของเถาหยาง!
เธอตื่นเต้นมากจนอดไม่ได้ที่จะกอดคอของสือจื่นจิ้น “คุณเป็นฮีโร่จริง ๆ!”
สือจื่อจิ้นส่งเสียง ‘ชู่ว’ เบา ๆ
ซูเถาจำอาการบาดเจ็บที่หลังคอของเขาได้ จากนั้นเธอจึงรีบปล่อยมือ
“ขอโทษ ฉันดีใจมากเกินไปหน่อย เดี๋ยวฉันจะพาคุณไปพบคุณหมอจง”
สือจื่อจิ้นไม่ปฏิเสธ และปล่อยให้มือเล็ก ๆ ของเธอพาเขาไปที่ห้องตรวจของหมอจง
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่จงเกาอี้ได้พบกับสือจื่นจิ้น แต่คราวนี้เขารู้สึกว่าพลตรีสือในความทรงจำของเขาดูเหมือน…มนุษย์มากกว่าเก่า?
ซูเถาพูดพล่ามเกี่ยวกับอาการบาดเจ็บของสือจื่อจิ้น และเล่ารายละเอียดอาการบาดเจ็บก่อนหน้านี้ทั้งหมดให้จงเกาอี้ฟัง
จงเกาอี้มองไปที่ซูเถาจากนั้นก็เบนสายตาไปที่สือจื่อจิ้นที่กำลังยิ้ม
มันจบลงแล้ว พลตรีสือคนนี้ผู้ไม่เคยมีความปรารถนาใด ๆ เริ่มคิดได้แล้ว
ในขณะที่บอสกู้ยังคงดื้อดึงอยู่!
หลังจากที่จงเกาอี้ตรวจสอบอาการบาดเจ็บของสือจื่อจิ้นอย่างใจเย็น เขาก็มองไปที่แขนเทียมของสือจื่อจิ้นและพูดว่า
“ถ้าพลตรีฉือต้องการรักษาแขนขาที่ขาด เขาจะต้องอยู่ที่นี่สองวัน ตกลงไหม”
ซูเถาตอบแทนคนไข้ “อยู่ ๆๆ ฉันจะเอาของใช้ประจำวันมาให้เขาทีหลัง อยู่ตั้งแต่วันนี้เลย”
แน่นอนว่าสือจื่อจิ้นยอมรับมัน
เขานอนอยู่บนเตียงในโรงพยาบาล และร่างกายของเขาก็รู้สึกผ่อนคลาย
ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว เขาไม่ต้องพึ่งพาจงเกาอี้ก็ได้ เมื่อผ่านเวลาไปสักพักเขาก็จะสามารถฟื้นฟูและสร้างแขนขึ้นใหม่ได้เอง
พลัง ‘อมตะ’ นั้นใช้งานได้จริง
ขึ้นอยู่กับอาการบาดเจ็บ ยิ่งอาการบาดเจ็บรุนแรงมากเท่าใด เวลาพักฟื้นก็จะยิ่งนานขึ้นเท่านั้น และหากร่างกายตายไปแล้ว อาจใช้เวลาอย่างน้อยสองหรือสามปีในการฟื้นคืนชีพ
นั่นเป็นเหตุผลที่เขาเริ่มมีความกล้าที่จะสัญญากับซูเถา
หลังจากที่จงเกาอี้ให้การรักษาครั้งแรกแก่เขา เมื่อเขาหลับไป หมอจงก็เปิดประตูออกไปอย่างเงียบ ๆ และไปหาเฉินซีลูกสาวที่รัก และถามเธอเกี่ยวกับเถ้าแก่ซูและพลตรีสือ
เฉินซีเป็นสักขีพยานในกระบวนการทั้งหมดในขณะที่พลตรีสือมอบของขวัญให้เธอ และเธอก็เล่าทุกอย่างให้จงเกาอี้ฟังอย่างละเอียดยิบ
อีกทั้งยังเพิ่มเติมเสริมแต่งเข้าไปอีกด้วย
เปลือกตาของ จงเกาอี้กระตุกอย่างรุนแรงเมื่อเขาได้ยินดังนั้น และเขาก็กลับไปที่ห้องทำงานส่วนตัวทันทีเพื่อรายงานแก่กู้หมิงฉือ
“บอสกู้ สือจื่อจิ้นกลับมาแล้ว ผมเห็นว่าครั้งนี้ความสัมพันธ์ของเขากับเถ้าแก่ซูดูเหมือนจะก้าวไปอีกขั้นด้วย”
กู้หมิงฉือยืดตัวตรงทันที “นายหมายความว่ายังไง”
จงเกาอี้แสดงความกลัดกลุ้มออกมา แต่เขาก็ทำได้เพียงขยี้และพูดมันออกมา
“จากการสังเกตของผม สือจื่อจิ้นมักจะผลักไสเถ้าแก่ซูออกไป และไม่ต้องการมีอะไรเกี่ยวข้องกับเถ้าแก่ซู”
กู้หมิงฉือตะหวาด “ฉันคิดว่าเขาโหดเหี้ยมตั้งแต่ต้นจนจบ และซูเถาไม่น่าจะชอบเขา”
จงเกาอี้ไม่ตอบคำพูดของเขาแต่กลับขว้างระเบิดแทน
“แต่ผมไม่รู้ว่าทำไมคราวนี้สือจื่อจิ้นถึงเปลี่ยนไป ลูกสาวของผมบอกว่าเธอเห็นเขากอดเถ้าแก่ซู และยังให้ของขวัญและสวมใส่มันให้เธออย่างตั้งใจ อย่างไรก็ตาม เถ้าแก่ซูก็ตื่นเต้นมากและกอดเขากลับ ดูเหมือนว่าทั้งสองมีอารมณ์ที่อ่อนไหวต่อกัน”