ฉันเป็นเศรษฐีอสังหาฯในวันสิ้นโลก - ตอนที่ 270 ถึงตะคอกก็ยังน่าฟัง
ตอนที่ 270 ถึงตะคอกก็ยังน่าฟัง
ตอนที่ 270 ถึงตะคอกก็ยังน่าฟัง
“ทำไมคุณถึงคิดว่าฉันจะสนใจกับสิ่งของที่ซ่อนอยู่”
มู่อั้นอั้นกลืนน้ำลายและพูดว่า
“มันเป็นอาวุธ จากการสังเกตของฉัน เถาหยางไม่น่าจะมีอาวุธ และมีผู้ที่มีพลังวิเศษไม่กี่คน แต่ฉันก็เดาว่าบางทีคุณอาจมีมัน แต่คุณแค่ไม่ให้ฉันเห็นมัน แต่อาวุธอยู่ในวันสิ้นโลกแบบนี้ ยิ่งเยอะยิ่งดีไม่ใช่เหรอ”
“มันอยู่ที่ไหนกันแน่?”
มู่อั้นอั้นไม่ได้สนใจเรื่องนี้ ดังนั้นเธอจึงอธิบายตามตรง ส่วนใหญ่ซ่อนอยู่ที่ไหล่เขารอบ ๆ สถานีเก่า ถานหย่งให้คนขุดห้องใต้ดินที่นั่น ไม่เพียงแต่ซ่อนอาวุธ แต่ยังรวมถึงทองคำแท่งและเพชรพลอย”
“เชิงเขารอบสถานีเก่าเหรอ? ทางประตูทิศตะวันออกเฉียงใต้?”
“ใช่ มันเป็นสถานที่ที่คุณใช้เหลียนซาไปหลอกล่อถานหย่งออกมา ที่นั่นแหละ แม้แต่ชวีจิ้งอวิ๋นก็ไม่รู้ว่ามีบางอย่างซ่อนอยู่ที่นั่น”
แม้ว่าเธอจะสามารถแฝงตัวอยู่ในร่างของชวีจิ้งอวิ๋นได้ แต่เธอสามารถฟังสิ่งที่เธอได้ยินและเห็นในสิ่งที่เธอเห็น
ซูเถาจำได้ พยักหน้าแล้วถามอีกครั้ง
“แล้วทำไมถานหย่งถึงบอกคุณ”
“เขาไม่ได้บอก ฉันค้นพบมันเอง เพราะฉันอยู่กับถานหย่งนานที่สุด หนีหัวซุกหัวซุนอยู่หลายครั้ง ฉันก็เลยเจอมันเข้า”
ซูเถามองดูอีกฝ่ายอยู่ครู่หนึ่ง และหลังจากแน่ใจว่าเธอไม่ได้โกหก จึงขอให้เจียงอวี่แก้มัดเธอ
“เถ้าแก่ซูสัญญากับฉันแล้วเหรอ” ดวงตาของมู่อั้นอั้นเป็นประกาย
ซูเถาไม่ได้พยักหน้าในทันที แต่ถามว่า
“จุดประสงค์ของการอยู่ในเถาหยางของคุณคืออะไร?”
มู่อั้นอั้นตกตะลึง “เถ้าแก่ซูสงสัยว่าฉันมีแรงจูงใจอื่น ๆ ซ่อนอยู่เหรอ?”
ซูเถาไม่ได้พูดอะไร แต่มันเป็นข้อตกลงโดยปริยาย
ตราบใดที่เธอไม่ใช่คนที่รู้ทุกอย่าง ซูเถาจะระวังตัว
มู่อั้นอั้นรู้สึกเสียใจทันที และน้ำตาไหลลงมาอย่างควบคุมไม่ได้
“เรื่องที่ฉันเพิ่งพูดไปไม่ได้โกหกอย่างแน่นอน เป็นความจริงที่ถานหย่งข่มเหงฉัน และเป็นความจริงที่ชวีจิ้งอวิ๋นใส่ร้ายฉันและทำให้ฉันต้องตาย ฉันจริงใจที่จะโหยหาชีวิตที่มั่นคงในเถาหยาง”
“ตั้งแต่ฉันรู้ถึงการมีอยู่ของเถาหยาง ฉันก็คิดว่าฉันสามารถอยู่ที่นี่กับร่างของชวีจิ้งอวิ๋นได้ ฉันพเนจรไปกับครอบครัวของน้องชายคนสุดท้องของพ่อฉันตั้งแต่ฉันอายุห้าขวบ ต่อมาฉันถูกแยกจากกันและตกอยู่ในเงื้อมมือของถานหย่ง ฉันช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ และไม่มีวันที่จะนอนหลับอย่างสงบได้”
“ตั้งแต่ฉันมาที่เถาหยาง แม้ว่าจะมีการคุกคามจากชวีจิ้งอวิ๋นก็ตาม แต่มันเป็นช่วงเวลาที่สะดวกสบายและปลอดภัยที่สุดสำหรับฉันที่จะมีชีวิตอยู่ ฉันไม่มีความทะเยอทะยานและความหึงหวงของชวีจิ้งอวิ๋น ฉันแค่ต้องการใครสักคนที่สามารถเป็นกำบังให้ฉัน ไม่มีใครบังคับ ไม่มีใครขังฉันแค่นั้น”
อย่างไรก็ตาม ซูเถาไม่ได้มีจิตใจที่แข็งกระด้างขนาดนั้น ดังนั้นเธอจึงหยิบทิชชู่ออกมาสองแผ่นแล้วเดินไปซับน้ำตาให้เธอพร้อมกับถอนหายใจเบา ๆ
“อย่าโทษฉันที่สงสัยคุณเลยนะ ก่อนหน้านี้มีเรื่องวุ่นวายมากมายในเถาหยาง และฉันต้องรับผิดชอบต่อผู้เช่าทั้งหมดที่นี่”
ความคับข้องใจและความกลัวที่มู่อั้นอั้นเก็บไว้นานกว่าสิบปีได้ถูกทำลายลงแล้วในตอนนี้
ซูเถาเช็ดน้ำตาเหล่านั้นมากขึ้นเรื่อย ๆ
“เถ้าแก่ซู เถ้าแก่ซู ฉันต้องการอาศัยอยู่ในเถาหยางอย่างปลอดภัยจริง ๆ ฉันไม่มีจุดประสงค์อื่น ไม่มีจริง ๆ….”
ซูเถากำลังจะปลอบเธอ ในขณะเดียวกันเจียงอวี่กระซิบข้างหูของเธอ “เราต้องไปแล้ว พลตรีสือมาตามแล้ว”
ซูเถาหยุดพูดเรื่องไร้สาระ และดึงมู่อั้นอั้นขึ้นมา “คุณขึ้นรถไปกับเราเถอะ สายแล้ว เดี๋ยวฉันจะแก้ปัญหาชวีจิ้งอวิ๋นให้คุณระหว่างทาง”
มู่อั้นอั้นถึงกับลืมร้องไห้ และทำได้เพียงเดินตามคนกลุ่มใหญ่เข้าไปในรถ
ซูเถาฝากให้เฉียนหลินดูแลเธอ “พี่เฉียน อย่าปล่อยให้เธอเป็นลมหรือหลับไปนะคะ”
สือจื่อจิ้นก้าวขึ้นรถและเข้าไปดูข้างใน เมื่อเขาเห็นมู่อั้นอั้น คิ้วคมของเขาก็ขมวดทันที “ผมขอแนะนำให้คุณผูกเธอไว้”
มู่อั้นอั้นรู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อยเมื่อเห็นท่าทางของเขา ดังนั้นเธอจึงรีบมัดตัวเองอย่างรวดเร็ว และคู่แม่ลูกอย่างเฉียนหลินและเฉียนหรงหรงก็ตกตะลึง
หม่าต้าเพ่าและคนอื่น ๆ ก็ตะโกนจากรถด้านหลัง “เถ้าแก่ซู พลตรีสือ พวกเราพร้อมแล้ว…”
เมื่อสือจื่อจิ้นพาซูเถ้าขึ้นไปในรถบ้านแล้ว ตัวเขาเองก็เข้าไปนั่งที่เบาะคนขับ และบีบแตรเพื่อออกเดินทาง จากนั้นขบวนรถสี่คันก็มุ่งหน้าไปทางใต้
ในรถบ้านมีเพียงซูเถา และเสวี่ยเตาที่นอนอยู่บนพื้น เฮยจือหม่าที่มองออกไปนอกหน้าต่าง และคนขับแซ่สือ
แน่นอนว่ายังมีเจียงอวี่อยู่ในความมืด
เดิมทีหลินฟางจือต้องการที่จะเกาะซูเถาและเข้าไปในรถ แต่สายตาเรียบ ๆ ของสือจื่อจิ้นหยุดเขาไว้ และเขาก็ต้องเบียดตัวเองเข้าไปในรถกับหม่าต้าเพ่าและคนอื่น ๆ
ในรถเปิดเครื่องปรับอากาศ ทำให้อากาศภายในเย็นสบาย
ขบวนรถไม่สามารถหยุดได้จนกว่าจะถึงถนนใหญ่ และซูเถาไม่สามารถจัดการกับมู่อั้นอั้นได้ระยะหนึ่ง
เธอนอนอยู่บนเตียงใหญ่ในบริเวณที่จัดไว้สำหรับพักผ่อน เธอเปิดระบบและสร้างโรงเรียนประถมตงหยางและวิทยาลัยครบวงจรต่อไปตามแผน
หลังจากเคลื่อนขบวนไปประมาณสามชั่วโมง ในที่สุดขบวนรถก็แล่นเข้าสู่ถนนสายหลักและขอบเขตการมองเห็นทั้งหมดก็กว้างขึ้นทันที ยกเว้นถนนลาดยางตรงกลาง ทั้งสองฝ่ายคือที่รกร้างว่างเปล่า
ซูเถาเห็นว่าเวลาใกล้จะหมดลงแล้ว จึงนำผลึกนิวเคลียส ‘มี๋อิน’ ออกจากมิติของฟางจือ
ทันทีที่ได้รับ เธอรู้สึกว่ามีพลังบางอย่างที่ดึงดูด
ผลึกนิวเคลียสลอยอยู่ในฝ่ามือของเธอ แสงสีฟ้าพุ่งออกมา และมันแทรกซึมเข้าไปในร่างกายของเธอทันที ภายในเวลาไม่ถึง 3 วินาที ผลึกนิวเคลียสก็ไร้ซึ่งแสงสี และหายไปหลังจากแตกเป็นเสี่ยง ๆ ในอากาศ
ซูเถาลืมตาขึ้นและรู้สึกถึงการมีอยู่ของ ‘มี๋อิน’ อย่างชัดเจน เธอรู้วิธีใช้มันโดยไม่มีคำอธิบายใด ๆ และร่างกายของเธอก็อ่อนช้อยขึ้น
นี่คือความรู้สึกจริงหลังจากการปลุกพลัง
ซูเถาคิดว่ามันตลกเล็กน้อยที่รู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลง เพราะเธออาศัยผลึกนิวเคลียสของคนอื่น
ความสามารถของเธอเองตื่นขึ้นช้าเกินไป
จนถึงตอนนี้เธอรู้แค่ว่าความสามารถของเธอเรียกว่า ‘ทำนาย’ ส่วนวิธีใช้ ข้อห้าม จุดอ่อน ข้อจำกัด ฯลฯ นั้นเธอไม่รู้อะไรเลย
เวลาประมาณ 11 โมงเช้า ทีมของเธอก็พบที่โล่งและเหมาะสมจึงหยุดขบวนลงเพื่อพักผ่อน
สือจื่อจิ้นเหยียบเบรกและดับเครื่องยนต์ ขณะที่เขากำลังจะหันไปเรียกซูเถา เขาก็ได้ยินเสียงอันไพเราะของเธอดังมาจากด้านหลัง
“ลงไปกินข้าวก่อนเถอะ อย่าลืมเรียกเพื่อนของคุณด้วยนะ”
เฉินเทียนเจียว เจี่ยนไคอวี่ โจวไห่และโจวหยาง ทั้งหมดก็เดินมา
เสียงนั้นทำให้สือจื่อจิ้นสั่นไปทั้งตัว และข้อนิ้วของเขาก็ดังเปราะในขณะที่เขาดึงกุญแจรถออกมา
เมื่อเห็นว่าเขาเงียบไปนาน ซูเถาจึงไปหาเขาอย่างสงสัย เธอสะกิดเขาแล้วถามว่า
“คนขับสือ คุณเป็นอะไรไปเหรอ”
สือจื่อจิ้นดึงกุญแจออกมาราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น และพูดเรียบ ๆ ว่า “เมื่อกี้คุณเรียกผมว่าอะไรนะ”
“คนขับสือ” ซูเถายิ้ม
“เรียกใหม่”
ซูเถาคิดอยู่ครู่หนึ่ง “พลตรีสือ? สือเหล่าต้า?”
“ลองคิดดูอีกที”
ซูเถาครุ่นคิดอยู่หลายครั้ง เพราะไม่ว่าจะเรียกอะไรไปก็ทำให้เขาไม่พอใจ และในที่สุดก็ลดเสียงลง และพูดอย่างไม่เป็นทางการว่า
“…จื่อจิ้น?”
สือจื่อจิ้นส่งเสียงตอบรับร่าเริงหนึ่งเสียง มันดีมากจริง ๆ
“ชื่อนี้แหละ ลองเรียกอีกครั้งสิ”
ซูเถาชกเขาที่ไหล่
“ไม่มีทาง รีบลงจากรถ!”
อืม ถึงเธอตะคอกเขาก็ยังน่าฟัง