ฉันเป็นเศรษฐีอสังหาฯในวันสิ้นโลก - ตอนที่ 277 ซูเถาเป็นเพียงเจ้าของโรงแรมเล็ก ๆ
ตอนที่ 277 ซูเถาเป็นเพียงเจ้าของโรงแรมเล็ก ๆ
ตอนที่ 277 ซูเถาเป็นเพียงเจ้าของโรงแรมเล็ก ๆ
เติ้งจื่อเสวียนกำฝ่ามือแน่น เมื่อเธอนึกถึงบาดแผลที่ถูกกัดบนใบหน้าของเธอ หมาตัวนั้นกัดเธอแรงมาก หน้าผากเธอต้องมีแผลเป็นแน่ ๆ!
เมื่อไปถึงซินตู ถ้าตนไม่สามารถหาคนที่มีพลังวิเศษมาฟื้นฟูได้ เธอจะต้องล้างแค้นคนพวกนั้นให้ได้
เธอกัดริมฝีปากแล้วถามเว่ยเสียงว่า “คนที่อยู่ในรถบ้านเป็นใคร”
เว่ยเสียงเข้าใจทันทีว่าแม่ลูกโยนสาเหตุการตายของเติ้งเฉิงเย่ไว้ที่ซูเถา!
เขาเลยเติมเชื้อไฟทันที
“เธอเป็นเจ้าของโรงแรมเล็ก ๆ ชื่อซูเถา เธอต้องเป็นคนสั่งไม่ให้ช่วยบอสเติ้งแน่ ๆ ไม่งั้นเขาคงไม่ต้องมาตายแบบนี้”
เติ้งจื่อเสวียนไม่อยากจะเชื่อ “เป็นผู้หญิงเหรอ เธอเป็นแค่เจ้าของโรงแรมเล็ก ๆ สินะ แล้วผู้ชายที่ลงจากรถคือใคร”
การแสดงออกของสือจื่อจิ้นนั้นโดดเด่นเกินไป เขาเผชิญกับสงครามและเลือดเนื้อมาหลายปี เขาจึงเป็นคนที่ดูเย็นชาได้ขนาดนี้
อย่างไรก็ตาม เหนือความเย็นชานี้ เขากลับมีใบหน้าที่สง่างามและดูดีจริง ๆ
เติ้งจื่อเสวียนรู้สึกว่าชายคนนี้หน้าตาดีกว่าพี่เขยของเธอ และเขาสามารถดึงดูดความสนใจจากเธอไปได้ไม่น้อย
ถ้าเขาไม่ปล่อยให้สุนัขกัดเธอ…
เติ้งจื่อเสวียนขบริมฝีปากของเธออีกครั้ง ไม่น่าเชื่อเลย ผู้ชายคนนี้จะเป็นคนรับใช้ของเจ้าของโรงแรมขนาดเล็ก?
จะว่าไปมันก็เหมือนกับตัวตนของเว่ยเสียงและคนอื่น ๆ หรือพูดตรง ๆ ก็คือสุนัขรับใช้
เว่ยเสียงคิดเพียงว่าเขาคุ้นหน้าคุ้นตาสือจื่อจิ้น แต่เขาก็นึกไม่ออก แต่เพราะอยากจะทำให้สองแม่ลูกมีความเกลียดชังฝ่ายนั้น เขาก็เลยใส่สีตีไข่
“เขาน่าจะเป็นบอดี้การ์ด ซูเถาเป็นเถ้าแก่ตัวเล็ก ๆ ที่ดูแลสถานีขนส่งที่มีขนาดเพียง 1,000 กว่าตารางเมตร เพิ่งเปิดได้สามหรือสี่เดือน ผมมีข้อขัดแย้งกับพวกเขาเพราะซูเถาคิดว่า ผมพอมีฝีมือก็เลยอยากจะเก็บผมไว้ใช้งาน แต่ผมไม่อยากทำ ผมเลยพาคนออกไป”
ฟางเหยียนเช็ดน้ำตาของเธอและพูดอย่างขมขื่น
“นายพูดถูก โรงแรมเล็ก ๆ จะไปมีอนาคตได้ยังไง? ซูเถาที่นายพูดถึงนั้นใจแคบเกินไป ด้วยเหตุนี้เธอจึงไม่เต็มใจที่จะช่วยเหล่าเติ้งของฉัน ความแตกต่างระหว่างเธอกับโจรพวกนั้นคืออะไร มีคนนอนรอขอความช่วยเหลืออยู่ต่อหน้าแท้ ๆ แต่ก็ยังไม่ยื่นมือมาช่วยเหลือ”
เว่ยเสียงที่มีศัตรูคนเดียวกัน “คนอย่างเธอน่ะเหรอจะมีจิตสำนึก เธอใช้กลอุบายมากมายเพื่อให้เราอยู่ต่อ และทำงานให้เธอ แม้กระทั่งการสังหารสหายของเราด้วยมือของเธอเอง เพียงเพื่อจะแสดงอำนาจ ดีที่หลังจากนั้นพวกเราหนีออกมาได้ ไม่อย่างนั้นก็ไม่รู้ว่าจะถูกเธอกระทำรุนแรงแค่ไหน”
ฟางเหยียนและลูกสาวรู้สึกว่าซูเถาเป็นหญิงที่เย่อหยิ่ง ไม่มีเหตุผล และดุร้าย
คนประเภทนี้ยังสามารถไปประชุมสุดยอดพันธมิตรได้อยู่เหรอ?
เมื่อพวกเขาไปถึงซินตู พวกเขาจะไปเข้าพบหัวหน้าจั๋วเพื่อเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของเธอ และให้จั๋วเอ่อร์เฉิงขับไล่พวกเขาทั้งหมดออกจากซินตู
……
ซูเถาไม่ได้ห้ามไม่ให้สวีฉีมอบเสบียงให้ถังเล่อและคนอื่น ๆ และเธอก็ไม่ได้พูดอะไรเลย
วิธีจัดการกับความวุ่นวายที่เกิดขึ้นนี้ ก็ปล่อยให้พวกเขาเป็นคนจัดการ เพราะซูเถาก็ขี้เกียจเกินไปที่จะจัดการด้วยตัวเอง
เมื่อถึงช่วงกลางคืน หลินฟางจือก็จะเตรียมเสบียงของทุกคนสำหรับวันรุ่งขึ้น แต่สวีฉีปฏิเสธที่จะรับของตัวเอง
ทุกคนช่วยเกลี้ยกล่อมเขา แต่สวีฉีส่ายหัวปฏิเสธพร้อมกับขอโทษซูเถา โดยบอกว่าเขาจะไม่รับส่วนแบ่งจากเสบียงอีกในอนาคต
สวีฉีรู้ว่าสิ่งที่เขาทำนั้นผิด เพราะเขานำสิ่งของที่เจ้านายมอบให้เขาไปช่วยเหลือผู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต
แต่ในตอนนั้นเขาจำเป็นต้องทำแบบนั้น
เพราะเขารู้สึกว่าถังเล่อทำงานร่วมกับเขามาเจ็ดหรือแปดปีแล้ว และในอดีตก็มีความเคารพนับถือกันไม่น้อย
นอกจากนี้ ถังเล่อยังเคยช่วยเหลือเขามาก่อน ดังนั้นเสบียงที่เข้าให้ไป ถือเป็นการตอบแทนมิตรภาพที่ผ่านมา
หลินฟางจือรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อยในขณะที่เขาถือถุงเสบียงของอีกฝ่าย
เถาจื่อขอให้เขามอบให้สวีฉี แต่สวีฉีปฏิเสธไม่รับอย่างเด็ดขาด
เขารู้สึกว่าสวีฉีทำให้เขาได้รับผลกระทบจากการที่เขาช่วยเถาจื่อทำงาน
เขาไม่สามารถทำสิ่งที่ได้รับมอบหมายอย่างราบรื่น และมันจะทำให้เถาจื่อผิดหวัง
“สุดท้าย คุณ…จะเอาไม่เอา?” หลินฟางจือลดใบหน้าของเขาลง ดูเงอะงะเล็กน้อยและไม่ง่ายที่จะเอ่ยปากถามออกไป
สวีฉีนิ่งไป
หลินฟางจือโยนถุงเสบียงใส่เขาและจ้องมอง “คุณ ต้องเอา!”
สวีฉีเห็นภาพว่าถ้าเขาปฏิเสธ เสี่ยวหลินก็จะทำให้เขารู้สึกผิด
เสี่ยวหลินมักจะดูเย็นชา ยกเว้นเวลาที่เถ้าแก่ซูไม่สนใจเขา และมันค่อนข้างน่ากลัวที่จะทำให้เขาเสียอารมณ์
สวีฉีเอื้อมมือไปหยิบถุงเสบียงโดยไม่รู้ตัว
เมื่อเห็นว่าเขาไม่ปฏิเสธ หลินฟางจือก็มีท่าทีที่ดีขึ้น จากนั้นเขาก็พูดออกมาว่า
“เชื่อฟังเธอ ไม่ต้องกลัวถูกผิด”
สวีฉีไม่คิดว่าเขาจะถูกเด็กหนุ่มที่อายุไม่ถึงยี่สิบปีสอน ดังนั้นเขาจึงพูดไม่ออกบอกไม่ถูกอยู่พักหนึ่ง
แต่เขาก็กล่าวขอบคุณอย่างอารมณ์ดี
หลินฟางจือหันหลังกลับและจากไปเมื่อให้ถึงเสบียงพวกเขาเสร็จ
สวีฉีมองไปที่ถุงเสบียงในอ้อมแขนของเขาและถอนหายใจลึก ๆ ไม่ว่ายังไงเถ้าแก่ซูก็ใจดีกับพวกเขามาก เธอไม่แม้แต่จะต่อว่าเขาด้วยซ้ำ
หลังจากที่ซูเถา ร้องเพลงสะกดจิตให้มู่อั้นอั้น เธอรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าจิตใจของชวีจิ้งอวิ๋นอ่อนแอลงเรื่อย ๆ
ในขณะเดียวกัน เธอยังรู้สึกว่าความสามารถ ‘มี๋อิน’ เหลือเวลาอีกเพียงสามวันเท่านั้นที่จะใช้ได้
เธอเกิดความลังเลเล็กน้อย ความสามารถนี้ใช้งานง่ายมาก แม้ว่าเธอจะไม่ได้ใช้มันอย่างจงใจ แต่คนที่ฟังเธอก็จะได้รับผลกระทบ
พวกเขาจะฟังเธออย่างอดทนมากขึ้นและเชื่อเธอได้ง่ายขึ้น
ตกหลุมรักแม้กระทั่งเสียงของเธอ
แม้แต่สือจื่อจิ้นก็ไม่มีข้อยกเว้น
แน่นอนว่าเขาสามารถระวังตัวให้ออกห่างจากพลังนี้ได้ แต่ว่าเขาเต็มใจที่จะทำเรื่องนี้เองมากกว่า
ตัวอย่างเช่น ตอนนี้ซูเถาไม่กล้าคุยกับเขา ดังนั้นเธอจึงสะกิดเขาด้วยนิ้วเท้า และส่งเจี้ยงเซียงปิ่ง*[1]ที่ดูเหมือนเพิ่งออกมาจากเตาให้เขา
เป็นสิ่งที่พ่อครัวฉินทำไว้ให้ก่อนพวกเขาออกเดินทาง
เพราะว่าในพื้นที่ส่วนหนึ่งของฟางจือใช้ ‘นาฬิกาทรายยับยั้ง’ ที่ติงเหออวี้มอบให้เธอ เธอจึงนำอาหารปรุกสุกที่พ่อครัวฉินทำไว้ให้เก็บไว้ที่นี่
อยากกินเมื่อไหร่ก็หยิบออกมา ก็จะเหมือนเพิ่งออกจากเตา
สือจื่อจิ้นเลิกคิ้วมองเธอ เขาจงใจชวนเธอคุย “นี่คืออะไร”
ซูเถาหวงแหนคำพูดเช่นทองคำ “ปิ่งไง”
“ปิ่งอะไรเหรอ เอามาจากไหน ทำไมยังร้อนอยู่ คุณไม่กินเหรอ?”
ซูเถากลอกตามองไปที่เขา และตบเจี้ยงเซียงปิ่งในมือเธอ “ถามมาก จะกินไม่กิน”
เดิมทีเธอมีอยู่ไม่กี่อัน แต่เธอเห็นว่าเขาขับรถระหว่างวัน และในตอนกลางคืนเขาก็ต้องโทรคุยงานกับตงหยาง เธอรู้สึกเป็นห่วงเพราะเขาต้องทำงานอย่างหนัก ดังนั้นเธอจึงตัดใจเลือกอาหารที่เธอชอบให้เขากิน…
เมื่อสือจื่อจิ้นเห็นว่าเธอเริ่มไม่พอใจ เขาก็อมยิ้มเล็กน้อยและหยุดแกล้งเธอ จากนั้นก็เอาเจี้ยงเซียงปิ่งมา และเริ่มกัดกินอย่างช้า ๆ
ในกลางดึก ได้ยินเสียงลมพัดที่ด้านนอกรถ แต่เป็นคลื่นความร้อนที่พัดเข้าสู่ร่างกาย
อีกาบินผ่านท้องฟ้ายามค่ำคืนอันมืดมิดและไม่มีใครสังเกตเห็น
เฮยจือหม่าซึ่งเดิมนอนอยู่บนหลังคารถ ลุกขึ้นทันทีและจ้องมองอีกาที่อยู่ห่างไกลด้วยสายตาตื่นตัว
[1] ปิ่ง (饼) คือขนมที่ทำจากแป้ง มีลักษณะกลม ๆ / เจี้ยงเซียงปิ่ง (酱香饼) เป็นแป้งคล้าย ๆ แป้งโรตี นำไปย่างหรือจี่บนกระทะ ทาด้วยโต้วป้านเจี้ยง (豆瓣酱) หรือซอสที่ทำจากถั่วปากอ้า ถั่วเหลือง หรืออื่น ๆ