ฉันเป็นเศรษฐีอสังหาฯในวันสิ้นโลก - ตอนที่ 33 ต้องหยาบคายสักหน่อย
ตอนที่ 33 ต้องหยาบคายสักหน่อย
ตอนที่ 33 ต้องหยาบคายสักหน่อย
จวงหว่านหมดคำจะพูด เธอหยิบกระดาษขึ้นมาเขย่าต่อหน้าซูเถา
“กล้ามากนะที่ส่งขยะพวกนี้มา คุณดูนี่สิ เหมือนภาพวาดของเด็กชัด ๆ ฝีมืออย่างกับไก่เขี่ย”
ซูเถาพลิกกระดาษพวกนั้นดูด้วยความตกตะลึง มีคนวาดแค่ช่องสี่เหลี่ยมธรรมดามาส่งด้วย
“เหนื่อยหน่อยนะคะ นี่มันเหมือนกับการงมเข็มในมหาสมุทรจริง ๆ แต่ว่าเราก็จำเป็นต้องหามืออาชีพมาทำงานนี้ ไม่งั้นพอจำนวนห้องมันเยอะขึ้นเราจะจัดการได้ยาก”
จวงหว่านพยักหน้า “ก็จริง ครั้งที่แล้วที่ฉันไปหาซูอวี่ พอขากลับจากห้องเธอฉันนี่เวียนหัวเลย ประตูทุกบานมันเหมือนกันไปหมด”
พวกเธอใช้เวลาตลอดช่วงบ่ายเพื่อคัดกรองคนที่จะเข้ามาทำงานนี้ หลังจากอ่านเอกสารหลายพันชุดถึงจะเจอผู้สมัครสี่หรือห้าคนที่พอจะเข้าตา
จวงหว่านลูบไปที่ลำคอแห้งผากแล้วพูดว่า “ฉันจะนัดสัมภาษณ์ แล้วให้พวกเขาร่างแบบมาก่อนกลางเดือนเมษายน ฉันอยากจะให้เถาหยางของเรามีลานกิจกรรมและสวนดอกไม้เล็ก ๆ หลังจากที่กินข้าวเสร็จฉันจะได้ออกมาเดินเล่นหรือไม่เวลาว่าง ๆ ก็จะได้มานั่งอ่านหนังสือ”
ในอดีต อาคารบ้านเรือนที่ตงหยางถูกสร้างขึ้นมาติด ๆ กัน ถนนก็แคบเบียดเสียดกันเกินไป ที่ดินเกือบทุกตารางนิ้วถูกใช้จนถึงขีดจำกัด มันเป็นไปไม่ได้ที่จะมีพื้นที่ขนาดใหญ่มาทำเป็นลานกิจกรรมหรือสวนดอกไม้
ซูเถาเองก็ตั้งตารอเช่นกัน เธอยังต้องการสร้างอาคารสำนักงานให้ตัวเธอเองและจวงหว่านรวมถึงพนักงานที่จะเข้าร่วมในการก่อสร้างเถาหยางที่กำลังจะเกิดขึ้น
แต่เธอแค่ไม่รู้ว่าจะสร้างที่ไหนมันถึงจะเหมาะสมและสวยงาม
เธอหวังว่าจะได้พบกับสถาปนิกที่เชื่อถือได้ที่มาพร้อมกับประสบการณ์และฝีมือที่ยอดเยี่ยม แต่เรื่องนี้มันไม่ราบรื่นอย่างที่ซูเถาคิดไว้ หลังจากที่เธอได้คัดกรองประวัติและเรียกคนมาสัมภาษณ์แล้วสองสามคน ซูเถาก็พบว่าตนเองยังไม่ค่อยพอใจเท่าไร
อาจจะเป็นเพราะว่าอายุยังน้อยหรือไม่ก็เกิดหลังวันสิ้นโลก แบบร่างที่ส่งมานั้นดูแออัดเป็นอย่างมาก มันดูเหมือนกับว่าเป็นตงหยางอีกแห่งหนึ่ง
ดูเหมือนว่าการใช้ประโยชน์ที่ดินขั้นสูงสุดจะฝังอยู่ในกระดูกของพวกเขา พวกเขาพร้อมที่จะเติมเต็มพื้นที่อันจำกัดนี้ให้เต็มไปด้วยอาคาร
ความรีบเร่ง ความแออัด และความไม่มีชีวิตชีวาคือธีมหลักของยุคนี้
ซูเถายิ่งมองยิ่งขมวดคิ้วแน่น
จวงหว่านตั้งใจที่จะโน้มน้าวเธอ “แบบนี้ไม่ดีเหรอ ในอนาคตถ้ามีผู้อยู่อาศัยเพิ่มมากขึ้น มีเงินแล้วเราค่อยขยายกันก็ได้”
ซูเถาเข้าใจว่าสิ่งที่เธอพูดนั้นถูกต้อง แต่ความปรารถนาลึก ๆ ในใจของเธอ คืออยากจะมีสภาพแวดล้อมที่ดีขึ้น ดังนั้นจึงไม่สามารถพยักหน้ายอมรับสิ่งที่จวงหว่านโน้มน้าวได้
หลังจากกินอาหารเย็นเสร็จ คู่รักที่อาศัยอยู่ในห้องชุด 002 ก็มาเคาะประตูห้องของซูเถา
ซูเถารู้สึกประหลาดใจมาก เพราะคู่แต่งงานคู่นี้เป็นทหารที่ไม่ค่อยปรากฏตัวและพวกเขาก็ไม่ค่อยมีปฏิสัมพันธ์กับผู้เช่ารายอื่นนัก การที่พวกเขามาหาเธออย่างกะทันหันแปลว่าต้องมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น
ฝ่ายภรรยาชื่อถังชิงซูพูดด้วยน้ำเสียงที่เป็นมิตร
“เถ้าแก่ซู ฉันได้ยินมาว่าคุณกำลังมองหาสถาปนิกเพื่อออกแบบวางแผนเถาหยางใช่ไหม ฉันมีคนที่เหมาะสมกับงานนี้จะแนะนำให้คุณรู้จัก แล้วนี่ก็คือผลงานของอาจารย์ท่านนั้นค่ะ”
ในขณะที่เธอพูดเธอก็ยื่นแฟ้มเอกสารหนาเป็นปึก ซึ่งดูเหมือนว่าจะเต็มไปด้วยผลงานแห่งการพยายามอุตสาหะของอาจารย์ท่านนี้
ซูเถารับมันไว้ด้วยมือทั้งสองข้าง ดวงตาของเธอเปล่งประกายสว่างวาบ และถามขึ้นอย่างมีความหวัง
“เขาน่าจะมีอายุหน่อยใช่ไหม เพราะฉันคิดว่าการออกแบบของเขามันเหมือนกับสภาพแวดล้อมของก่อนถึงวันสิ้นโลก ซึ่งดูสบายตาและได้บรรยากาศมาก”
ถังชิงซูถอนหายใจด้วยความโล่งอกและพูดด้วยรอยยิ้ม
“ปีนี้เขาอายุ 78 ปีแล้ว ก่อนวันสิ้นโลกเขาเคยเป็นนักวางผังเมืองและได้รับรางวัลมากมาย เขาเป็นผู้ที่มีประสบการณ์สูง แต่หลังจากวันสิ้นโลกเขาก็ไม่ได้มีผลงานอะไรเนื่องจากไม่มีที่ดินให้ออกแบบ”
ซูเถากล่าวว่า “เขาอาศัยอยู่ที่ไหนเหรอคะ? ฉันจะได้หาเวลาเพื่อไปพบกับเขา”
ถังชิงซูมองหน้ากับสามีของเธอก่อนที่จะพูด
“ผู้อาวุโสเหม่ยเขาไม่มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง เขาอาศัยอยู่กับลูกชายและลูกสะใภ้ในบ้านพักสวัสดิการราคาย่อมเยาที่ฐานหลัก”
ถังชิงซูเปิดเครื่องมือสื่อสารแล้วหาที่อยู่อาศัยของผู้อาวุโสเหม่ยให้ซูเถา
หลังจากที่ซูเถาขอบคุณอีกฝ่าย เธอก็ตรงไปหาจวงหว่านและกวานจือหนิงเพื่อชวนให้ออกไปข้างนอกด้วยกัน
ถังชิงซูรีบจับมือกับสามีของเธอแล้วพูดว่า
“หวังว่าผู้อาวุโสเหม่ยจะทำสำเร็จนะ เขาอายุปูนนี้แล้วแต่ยังไม่มีที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเองเลย ลูกชายกับลูกสะใภ้ก็อกตัญญู เฮ้อ ฉันไม่สบายใจทุกครั้งที่คิดถึงเรื่องนี้ ในอดีตเขาเป็นถึงอาจารย์มหาวิทยาลัย แต่ปัจจุบันกลายมาเป็นแบบนี้ได้อย่างไรกัน”
สามีของเธอปลอบใจว่า “เถ้าแก่ซูเป็นคนมีเหตุผล คุณดูสิเธอเลือกคนที่จะมาทำงานนี้ตั้งนานแต่ก็ยังไม่พอใจ นั่นแสดงว่าเธอให้ความสำคัญกับคุณภาพชีวิตของผู้เช่ามากกว่าการใช้ประโยชน์ของที่ดินเพื่อเก็บค่าเช่าและทำเงินให้เธอ เธอกับผู้อาวุโสเหม่ยน่าจะเป็นคนแบบเดียวกัน ยังไงผมก็ว่าไม่มีปัญหา”
ถังชิงซูพยักหน้า “เถ้าแก่ซูเป็นคนดี แต่เธอก็ยังเด็กใช่ไหม? เธออายุถึงยี่สิบปีหรือยัง? เธอมีคนรักหรือยังนะ ฉันมีหลานชายอยู่คนหนึ่ง…”
ชายหนุ่มจับมือของเธอแล้วเดินไป “ผู้ชายธรรมดาไม่คู่ควรกับเธอหรอก คุณเลิกคิดที่จะเป็นแม่สื่อให้เธอได้แล้ว”
“ที่คุณพูดก็มีเหตุผล”
……
กวานจือหนิงจอดรถบนถนนแล้วพูดว่า “พวกคุณสองคนลงจากรถก่อน ที่อยู่ที่คุณให้มา รถไม่สามารถเข้าไปได้”
ทันทีที่ซูเถาลงจากรถเธอก็เดินเข้าไปในถนนลูกรัง ทุกครัวเรือนทิ้งน้ำที่บริโภคแล้วออกนอกตัวบ้าน ถนนนี้จึงเต็มไปด้วยดินโคลนที่เฉอะแฉะ
กว่าทั้งสองจะเข้าไปข้างในได้ ผู้อยู่อาศัยในบริเวณนั้นต่างก็อยากรู้อยากเห็นแล้วมองไปที่พวกเธอจากทางหน้าต่างบ้าน
นี่คืออาคารบ้านพักที่ใกล้กับเขตตะวันออก ผู้คนที่อยู่อาศัยในบริเวณนี้มีความหลากหลาย และสภาพแวดล้อมก็เลวร้ายมากเช่นกัน ไม่ง่ายเลยที่จะพบเห็นคนสวมใส่เสื้อผ้าดี ๆ แบบคนที่เดินเข้ามาอย่างซูเถาและจวงหว่าน
เมื่อซูเถามองไปที่สภาพแวดล้อมรอบ ๆ พลางคิดว่าชีวิตของผู้อาวุโสท่านนั้นคงไม่ง่ายนัก ดังนั้นเธอจึงอดไม่ได้ที่จะเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น
เมื่อใกล้จะถึงที่หมายจู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงคนตะโกนด่าว่า
“แก่จะตายอยู่แล้ว! วาดวาดวาดอยู่นั่นแหละ! อยู่ในห้องขีดเขียนอะไรทั้งวันอยู่ได้ จะวาดอะไรนัก ช่วยอะไรก็ไม่ได้สักอย่าง ดูสภาพครอบครัวของฉันสิ โอ๊ย อนาถจริง ๆ ทำไมชีวิตของฉันต้องมาเจอพ่อสามีอย่างนี้ด้วยเนี่ย ชาติที่แล้วฉันทำบุญทำกรรมอะไรไว้!”
ซูเถายืนนิ่งและเห็นผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่ที่ประตูหน้าบ้านแล้วสบถอย่างเกรี้ยวกราด
เพื่อนบ้านก็ดูเหมือนจะเคยชินกับมันแล้ว บางคนก็ยังคงซักผ้าและทำอาหารบนถนนที่คับแคบต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น มันไม่ส่งผลกระทบต่อพวกเขาเลยสักนิด
จวงหว่านมองไปที่บานประตูแล้วพูดว่า “บ้านหลังนี้แหละ แต่ดูเหมือนว่าพวกเราจะมาผิดเวลาไปหน่อย”
ผู้หญิงคนนั้นเหมือนจะสังเกตเห็นพวกเธอ เธอมองมาที่พวกซูเถาหัวจรดเท้าแล้วถามว่า “พวกเธอเป็นใคร?”
ผู้ช่วยที่ดีอย่างจวงหว่านรีบอธิบายว่า “พวกเรามาที่นี่เพื่อมาตามหาผู้อาวุโสเหม่ย รบกวนคุณพาพวกเราไปพบเขาหน่อยได้ไหม?”
ถานฟางชุนกลอกตาแล้วพูดว่า
“มาเยี่ยมเหรอ? พวกเธอคงมาจากเขตตะวันตกล่ะสิ? มาหาเขามีเรื่องอะไร? ถ้าไม่บอกฉันว่าเรื่องอะไรฉันไม่พาพวกคุณเข้าไปหรอกนะ”
จากนั้นเธอก็ทำเรื่องที่ไร้มารยาทโดยการยืนขวางประตูเอาไว้
จวงหว่านกับซูเถามองหน้ากันไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร ยังคิดอยู่ว่าหรือว่าต้องให้เงินเธอสักหน่อย ถึงจะยอมให้พวกเธอได้เข้าไปข้างใน
ซูเถารู้สึกว่าเธอมีมารยาทเกินไป เธอควรจะหยาบคายเพื่อรับมือกับคนประเภทนี้ ดังนั้นเธอจึงพูดกับถานฟางชุนว่า
“เขาเป็นหนี้เรา คุณอย่ามาขวางทางพวกเราจะดีกว่า ไม่งั้นความซวยจะตกอยู่ที่คุณ”
จวงหว่านตกตะลึง
ถานฟางชุนตกใจและรีบหลบอย่างรวดเร็ว ไม่กล้าขวางทางพวกเธออีก
ซูเถาพาจวงหว่านเข้าไปในบ้านอย่างราบรื่น ในห้องที่มืดและแออัด เธอเห็นชายชรานั่งวาดภาพอยู่ริมหน้าต่าง