ฉันเป็นเศรษฐีอสังหาฯในวันสิ้นโลก - ตอนที่ 332 ครั้งนี้ผมคงต้องไปเถาหยาง
ตอนที่ 332 ครั้งนี้ผมคงต้องไปเถาหยาง
ตอนที่ 332 ครั้งนี้ผมคงต้องไปเถาหยาง
ฝั่งของซูเถา การเตรียมตัวเดินทางกลับเถาหยางใกล้จะเสร็จสิ้นแล้ว เธอนั่งอยู่บนรถเข็นเพื่อฟังรายงานของเฉียนหรงหรงเกี่ยวกับสิ่งที่เธอได้รับในซินตู
ทั้งรายได้จากการประมูล และมูลค่าการซื้อขายงานแสดงสินค้า และรายได้จากช่องทางอื่น ๆ ตลอดเดือนเก้า ทำให้ทรัพย์สินทั้งหมดของเธอขึ้นสู่จุดสูงสุดในประวัติศาสตร์ ตอนนี้มีทรัพย์สินมากกว่า 87 ล้านเหลียนปัง และค่าสมาชิกที่ได้รับจากงานแสดงสินค้ายังทำให้จำนวนผลึกนิวเคลียสทั้งหมดเพิ่มขึ้นเป็น 141 อัน นี่น่าจะเป็นช่วงเวลาที่รุ่งเรืองที่สุดของเธอ
หลินฟางจือจัดเรียงผลึกนิวเคลียสมากกว่าหนึ่งร้อยอันเอาไว้อย่างเป็นระเบียบในกล่อง และแสดงให้ซูเถาดูว่าน้ำหนักของมันค่อนข้างมาก
ดวงตาของซูเถาร้อนผ่าว มันสามารถขยายพื้นที่ได้อีกเยอะ…
หม่าต้าเพ่าลูบมือ “…เถ้าแก่ คุณคิดว่าที่ภูเขาผานหลิวมันสามารถขยายพื้นที่ได้อีกไหม? ผมคิดว่าถ้าเป็นไปได้น่าจะสร้างอาคารสำหรับเช่าระยะสั้นด้านหลังได้ ให้ส่วนใหญ่เป็นห้องชุดแบบ 1 ห้องนอน 1 ห้องนั่งเล่น ผู้ที่ผ่านมาที่ภูเขาผานหลิวเป็นจำนวนไม่น้อยที่ต้องการเช่าระยะสั้น และผมก็ยังคิดว่าน่าจะสร้างห้องอาหารแยกออกมาได้ ทำห้องอาหาร 2 ชั้น เพื่อที่จะให้พ่อครัวฉินมอบหมายให้ลูกศิษย์ออกมาฝึกประสบการณ์ และเมื่อภูเขาผานหลิวของเรามีการจัดงานเลี้ยง มันก็จะได้ดู…”
เฉียนหลินกระแอมสองครั้ง “เถ้าแก่ อู๋เจิ้นและฉันเห็นพ้องกันว่าสามารถสร้างสวนผลไม้เพิ่มขึ้นได้ ขอแค่มีกำลังคนเพียงพอ เราจะได้มีผลไม้รองรับคนทั้งของเถาหยางและตงหยาง”
หลินฟางจือมองไปที่ทั้งสองคน แล้วเดินตามหลังมาติด ๆ “ฝั่งของผมที่จอดรถไม่พอ”
“เก็บความต้องการของทุกคนไว้ก่อนนะคะ ไว้เราคุยเรื่องนี้กันอีกที” ซูเถากอดผลึกนิวเคลียสไว้แน่น
ในขณะนี้ผู้ช่วยของหัวหน้าสวี่ตะโกนเรียกพวกเขาจากระยะไกล “ผู้จัดการหม่า คุณซู ขอโทษที่ให้รอนะครับ พวกเรามาแล้ว!”
เขาถือกระเป๋าของหัวหน้าสวี่และวิ่งมาอย่างรวดเร็ว
หัวหน้าสวี่ตามเขาเข้ามาใกล้ ๆ และมองไปที่ซูเถาและคนอื่น ๆ ในที่สุดดวงตาของเขาก็หยุดลงที่ซูเถาอีกครั้ง เขาแสดงรอยยิ้มซาบซึ้งออกมา ริมฝีปากของเขาสั่นเล็กน้อย
“คุณซู ดูเหมือนว่าครั้งนี้ผมคงต้องไปที่เถาหยางด้วย”
เมื่อคิดถึงตอนที่เขาปฏิเสธคำเชิญของเธอไปในครั้งแรก ใบหน้าของเขายังคงร้อนอยู่เล็กน้อย เขาตามหาลูกสาวมานาน แต่ไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งเธอจะได้กลับมาหาเขาอีกครั้ง
แต่ต้องบอกว่าโชคชะตานั้นเล่นตลกจริง ๆ เมื่อเห็นซูเถา เขาก็นึกถึงเหอเหอลูกสาวของเขาทันที และเขาได้ดูแลซูเถาในฐานะรุ่นน้องโดยไม่รู้ตัว
ความเมตตาของเขาถือเป็นรางวัล หากเขาต่อต้านเถาหยางตั้งแต่แรก เขาอาจยังคงตามหาลูกสาวของเขาทั่วโลกใบนี้ เพื่อค้นหาเธอจนสุดขอบฟ้า
ซูเถาเข้าใจเขามาก เธอหยิบหมวกสีแดงที่อลิซให้ไว้มาจากพื้นที่ของฟางจือ และมอบให้กับหัวหน้าสวี่ “หมวกนี้เธอเป็นคนให้ฉันไว้ ก็เลยเก็บเอาไว้ค่ะ ตอนนี้คงต้องคืนเจ้าของเดิมแล้ว”
สวี่ฉางตกตะลึงและรับมันไว้ด้วยมือที่สั่นเทา เขาเงยหน้าขึ้นมองซูเถาด้วยความไม่เชื่อ “เธอให้คุณเหรอ”
“เธอยังแสดงให้ฉันเห็นด้วยนะคะว่าการสวมหมวกใบนี้จะทำให้ผู้คนคลั่งไคล้ ฉันเองก็ตกใจนิดน้อย แต่การส่ายหัวดุ๊กดิ๊กของเธอนั้นน่ารักดีนะคะ” ซูเถาพยักหน้า
เพราะคำพูดของเธอ สวี่ฉางดูเหมือนจะเห็นลูกสาวของเขาซึ่งเขาไม่ได้เจอมานานหลายปีแล้ว หัวใจของเขาก็รู้สึกอบอุ่นขึ้นเป็นอย่างมาก
เขามองไปที่ซูเถาและกลับมาเชื่อในโชคชะตาอีกครั้ง
“หมวกใบนี้มีค่ามากสำหรับเธอ ผมเองก็ทำได้แค่มองและสัมผัสมัน แต่ลูกสาวผมกลับมอบมันให้คุณ ซึ่งแสดงว่าเธอไว้ใจคุณมากและชอบคุณมาก คุณซู…ขอบคุณมากนะ”
“ด้วยความยินดีค่ะ คุณโชคดีนะคะทีมีลูกสาวที่น่ารักและสดใสเช่นนี้ ฉันยังอิจฉาอลิซเลยที่เธอมีพ่ออย่างคุณ ผู้ซึ่งไม่มีวันทิ้งเธอไป…” ซูเถายิ้มอย่างสดใส
ตอนนี้พ่อผู้ให้กำเนิดของเธออาจเกลียดเธอมาก และเขาก็คงหวังว่าจะขับไล่เธอไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้
ตอนนั้นเองเซียวเหวินอวี้โผล่หัวออกมาจากรถ และตะโกนอย่างสนิทสนม “เสี่ยวเถาจื่อ! ไปกันเถอะ ค่อยคุยกันต่อในรถ!”
รีบออกเดินทาง เธอแทบจะอดใจไม่ไหวแล้ว!
ซูเถาหัวเราะและทักทายหัวหน้าสวี่เพื่อเข้าไปในรถ
พวกของสวีฉีเป็นคนนำทีม จากนั้นรถก็มุ่งหน้าไปยังเถาหยาง
เพียงแค่พวกเขาออกไปไม่ถึงครึ่งชั่วโมง เสี่ยวอวี๋ซึ่งกำลังถือกระเป๋าเดินไปรอบ ๆ อาคารอพาร์ตเมนต์เป็นเวลานานก่อนที่เขาจะกัดฟันและเดินเข้าไปและถามว่า “สวัสดี ผมมาหาคุณซูจากเถาหยาง”
แผนกต้อนรับถูกถามถึงเถาหยางนับครั้งไม่ถ้วนตลอดทั้งวัน และพวกเขาทั้งหมดก็มาถามว่าพวกเธอรู้ความจริงเกี่ยวกับพื้นที่ว่างราคา 60 ล้านนั่นไหม
เถาหยางมีอยู่จริงเหรอ?
มันเหมือนกับข่าวลือในงานประมูลจริงเหรอ ว่าไม่เพียงแต่สภาพที่อยู่อาศัยที่เหนือกว่าฉางจิง แต่ยังมีอาหารราคาถูก น้ำบริโภคฟรี และไม่กลัวการโจมตีของซอมบี้ด้วย?
บางคนพยายามติดสินบนเธอเพื่อให้พาพวกเขาเข้าไปในห้องที่ชาวเถาหยางอาศัยอยู่เพื่อค้นหาเบาะแสของความจริง
ฝ่ายต้อนรับขัดจังหวะคำพูดของเสี่ยวอวี๋โดยตรง และเริ่มพูดขึ้นก่อน “เพิ่งออกไปน่ะค่ะ พวกเธอกลับไปแล้ว อย่าถามฉันว่าฉันรู้สถานการณ์ในเถาหยางไหม ฉันไม่รู้จริง ๆ พวกเราก็เหมือนกับพวกคุณนั่นแหละ ฉันรู้แค่ว่าคนรวยรุ่นที่สองที่มีเงินนั้น โง่เขลามากที่ซื้อที่ดินของพวกเขาในราคาสูงเสียดฟ้า ส่วนอย่างอื่นฉันไม่รู้แล้ว ฉันไม่ได้เจอคนเถาหยางที่อาศัยอยู่ที่นี่ด้วยซ้ำ พวกเขาออกไปแต่เช้าและกลับดึกทุกวัน แค่นั้นแหละ คุณกลับไปเถอะ”
เสี่ยวอวี๋ที่อ่อนแอก็ตกตะลึงในขณะที่ถือกระเป๋าสะพายไว้
ไปแล้วเหรอ?
เขามองขึ้นไปบนท้องฟ้าด้วยสีหน้าว่างเปล่าและผิดหวัง
เขาจำข้อมูลการติดต่อที่ซูเถาทิ้งไว้ให้เขาได้ และกวาดนิ้วไปที่เครื่องสื่อสารหลายครั้งแต่ก็ไม่กล้าโทรออก เขายังคงครุ่นคิดเกี่ยวกับมัน ว่ามันถูกต้องแล้วเหรอที่เขาจะขอติดตามไปที่เถาหยางด้วย?
เขาและคุณย่ามีความบาดหมางกับตระกูลฉู่ ทางนั้นคงจะไม่ปล่อยพวกเขาไปอย่างแน่นอน และหากพวกเขารู้ข่าวคราวนี้ คนพวกนั้นต้องติดตามเขากับย่ามาอย่างแน่นอน
หากไปที่เถาหยาง มันจะนำปัญหามาสู่เถาหยางสินะ
คุณย่าสอนตั้งแต่เด็กว่าอย่าสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่น และอย่าไปเดือนร้อนกับชีวิตคนอื่นเลย
เสี่ยวอวี๋จับอุปกรณ์สื่อสารไว้แน่น เมื่อเขาเดินคอตกออกไปเสียงเครื่องสื่อสารก็ดังขึ้นทันที เสียงนั้นทำให้เขาตกใจเล็กน้อย และหลังจากเชื่อมต่อแล้ว เสียงของซูเถาดังขึ้นจากปลายสาย
“เสี่ยวอวี๋ ฉันลืมบอกคุณและเหล่าอวี๋ผอเลย บ่ายวันนี้พวกเราเดินทางกลับแล้วนะ ฉันหวังว่าเราจะพบคุณอีกครั้งในปีหน้า แต่อย่างไรก็ตาม หัวหน้าสวี่ได้ฝากฝังคุณและคุณย่าให้คุณหลิงช่วยดูแล หากมีปัญหาอะไรให้บอกคุณหลิงได้เลย ไม่ต้องเกรงใจ”
ซูเถากังวลเพียงว่าสภาพความเป็นอยู่ที่ย่ำแย่ของย่าหลานจะทำให้ร่างกายของพวกเขาทรุดลง พวกเขาไม่เคยคิดเลยว่ามีดที่ห้อยอยู่เหนือหัวนั้นพร้อมจะฆ่าเขาทุกเมื่อ
ดวงตาของเสี่ยวอวี๋เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ และเริ่มหายใจติดขัดเล็กน้อย “คุณซู ผมมีคำขอจากใจจริง”
ซูเถาตกตะลึงและรีบพูดว่า “ว่ามาเลยค่ะ”
“รบกวนหน่อยได้ไหม…พาย่าผมไปด้วย”
เขาทนไม่ได้อีกต่อไป เพราะความขัดแย้งที่มีกับตระกูลฉู่ทำให้เขารู้สึกเหนื่อย
“คุณซู ผมรู้ว่ามันสร้างปัญหาให้คุณมาก ผมขอโทษ ผมขอโทษจริง ๆ แต่ผมทนดูเธอตายไม่ได้ เธอไล่ให้ผมออกมา และเธอเลือกยืนหยัดต่อสู้กับตระกูลฉู่เพียงลำพัง”
ซูเถาอ้าปากกว้างเมื่อได้ยินเช่นนั้น เธอก็เอามือป้องปากอีกครั้งพร้อมกับขมวดคิ้วและถามว่า “ตระกูลฉู่? ตระกูลฉู่ที่มีทีมทหารรับจ้างจำนวนมากที่สุด ควบคุมทีมทหารรับจ้างที่ใหญ่ที่สุด และทรงพลังที่สุดน่ะเหรอคะ?”
อารมณ์ของเสี่ยวอวี๋ใกล้จะพังทลายลง “ใช่ใช่ใช่ ผมทำให้คุณลำบาก คำขอของผมน่าอายเกินไป ผมขอโทษคุณมาก ๆ ผมมันไร้ประโยชน์ ผมโตมาขนาดนี้แล้วก็ยังไม่สามารถปลุกพลังความสามารถขึ้นมาได้ อีกทั้งยังปล่อยให้ย่าเสี่ยงชีวิตเพื่อปกป้องผม และตอนนี้ผมก็มาพาให้คุณลำบากไปด้วย ผมมันน่าไม่อาย…”