ฉันเป็นเศรษฐีอสังหาฯในวันสิ้นโลก - ตอนที่ 342 สมมติฐานของเสิ่นเวิ่นเฉิง
ตอนที่ 342 สมมติฐานของเสิ่นเวิ่นเฉิง
ตอนที่ 342 สมมติฐานของเสิ่นเวิ่นเฉิง
“แน่นอนว่าฝ่ายฉันไม่มีปัญหา แต่ฉันเคารพการตัดสินใจของคุณเสิ่นค่ะ” ซูเถาคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดขึ้น
“คุณเสิ่นต้องไม่ปฏิเสธแน่ ๆ ขอบคุณเถ้าแก่ซู” นักวิชาการเฉียวหัวเราะจนตาหยี
ตอนนี้เสิ่นเวิ่นเฉิงถือว่าเป็นคนของเถาหยางแล้ว หากเถ้าแก่ซูบอกว่าไม่มีปัญหา เสิ่นเวิ่นเฉิงต้องยินดีที่จะเข้าร่วมอย่างแน่นอน
ซูเถาโทรหาจวงหว่านและขอให้เธอถามเสิ่นเวิ่นเฉิงว่าเขาต้องการเข้าร่วมในโครงการวิจัยโบนวิงส์ไหม หากเขายินดี ก็ให้เขาไปยังพื้นที่เปิดโล่งที่เตรียมไว้สำหรับโบนวิงส์ภายในสิบนาที
รอไม่นาน จวงหว่านก็โทรกลับมาภายในไม่กี่นาที “เขายินดีค่ะ คุณเสิ่นรู้สึกตื่นเต้นมากเมื่อทราบข่าว เขาจะรีบพาทีมของเขาไปทันที เถ้าแก่ คุณไม่รู้หรอกว่าคนกลุ่มนี้เป็นพวกบ้าการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ และพวกเขาจะอยู่เฉยไม่ได้!”
“พวกเขามาอยู่ที่เถาหยางได้ไม่นาน ผู้เช่าบางรายก็มาแจ้งว่าพวกเขาซ่อนศพไว้ในที่พัก ตอนที่ฉันได้ยินฉันตกใจแทบตาย แต่หลังจากที่ฉันไปตรวจสอบ และได้เปิดดูในตู้เสื้อผ้าของพวกเขาถึงได้รู้ว่าเป็นซากซอมบี้ที่พวกเขาทำการวิจัย ถ้าตอนนั้นเมิ่งเชียนไม่ช่วยประคองฉันเอาไว้ ขาฉันคงอ่อนแรงจนล้มพับไปด้วยความตกใจแล้ว”
“ขอบคุณที่ทำงานอย่างหนักนะคะ” ซูเถาก่ายหน้าผากของเธอ
“ไม่เป็นไรเลย ฉันแค่อยากจะถามว่า พวกเขาควรจะแยกที่อยู่จากผู้เช่าคนอื่นในอนาคตดีไหม? ฉันไม่ได้รังเกียจนะ ฉันก็แค่เกรงว่าผู้เช่าของเราจะไม่ยอมรับ อีกอย่างกลิ่นก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ และพวกเขาส่วนใหญ่ค่อนข้างเป็นคนประหลาดหมกมุ่นอยู่กับการค้นคว้าเท่านั้นไม่สามารถเข้ากับเพื่อนบ้านได้”
ซูเถากล่าวว่า “อยู่ในแผนค่ะ ฉันจะสร้างห้องทดลองสำหรับพวกเขาในภายหลัง แต่ต้องใช้เวลาหน่อย ขอบคุณพี่และเชียนเชียนที่ต้องทำงานอย่างหนักเพื่อเอาใจผู้เช่านะคะ หากจำเป็นก็ให้ส่งพวกของขวัญปลอบใจเล็ก ๆ น้อย ๆ ไปให้พวกเขาก็ได้ค่ะ”
ขณะที่คุยกัน รถของซูเถาและพรรคพวกก็มาถึงที่หมาย
ทันทีที่ลงจากรถเธอก็เห็นเสิ่นเวิ่นเฉิงและทีมยืนมองไปข้างหน้าพร้อมกับชะเง้อคอมองหาบางอย่าง เมื่อเห็นซูเถา เสิ่นเวิ่นเฉิงก็ก้าวเข้ามาใกล้และจับมือทักทาย “เถ้าแก่ซู ผมเห็นว่าเมื่อคืนคุณกลับมาดึกก็เลยไม่กล้ารบกวน แต่ผมเคยพูดทางโทรศัพท์ไปแล้วว่าผมก็ยังอยากขอบคุณคุณต่อหน้าอีกครั้งในนามของคณะวิจัยของผม!” จากนั้นเขาก็โค้งคำนับอย่างสุดซึ้ง
ผู้ร่วมวิจัยที่อยู่ข้างหลังเขาก็โค้งคำนับและเอ่ยขอบคุณเช่นกัน
ในเวลานั้นเหอคังถูกทำลายจนพวกเขาสูญเสียบ้านเกิดเดิมของพวกเขา และมีเพียงสองทางเลือกให้พวกเขาเท่านั้น ทางหนึ่งคือติดตามผู้คนจากฉางจิงไปทางเหนือ และอีกทางหนึ่งคือติดต่อไปที่เถาหยาง
การไปฉางจิงแทบจะไม่มีใครคิดถึงเลย ฉางจิงเป็นฐานใหญ่และมีธุรกิจมากมาย ซึ่งพวกเขาอาจโดนส่งไปที่ห้องทดลองเล็ก ๆ ในบางเขต เพื่อทำงานแปลก ๆ
แต่ในขณะเดียวกันซูเถาไม่ได้พูดอะไรมาก เธอเสนอสิ่งตอบแทนให้กับพวกเขา พร้อมกับจัดหาทีมทหารรับจ้างเพื่อพาพวกเขามาที่เถาหยาง และสัญญาว่าจะสนับสนุนการวิจัยของพวกเขา
เสิ่นเวิ่นเฉิงและคนอื่น ๆ รู้สึกขอบคุณสำหรับสิ่งนี้มาก
นักวิชาการเฉียวเคราสีขาวลูบแก้มของเขาเบา ๆ “คุณเสิ่น คุณจำเพื่อนเก่าอย่างผมได้ไหม?”
“นักวิชาการเฉียวถามอะไรแบบนั้น ผมจะลืมคุณได้ยังไง คุณเป็นผู้นำทีมวิจัยเชิงลึกของโบนวิงส์ไม่ใช่เหรอ ยังไงแล้วในอนาคตก็ให้คำแนะนำเราด้วยนะ” เสิ่นเวิ่นเฉิงตอบ
“พวกคุณทุกคนสามารถค้นคว้าและค้นพบได้ก่อนฉางจิงไม่ใช่เหรอ…” นักวิชาการเฉียวพูดอย่างอารมณ์ดี
ซูเถากระแอมไอสองครั้ง
ชายชราคนนี้พูดอะไรออกมาไม่ได้ระมัดระวังเท่าไหร่ แม้ว่าการมีผลึกนิวเคลียสของผู้ที่มีพลังวิเศษจะเป็นความลับกึ่งเปิดเผย แต่ก็ไม่สามารถพูดได้อย่างโจ่งแจ้ง ยิ่งไปกว่านั้น แม้ว่าการค้นพบงานวิจัยนี้จะเป็นผลมาจากทีมของเสิ่นเวิ่นเฉิง แต่เมื่อผลการวิจัยถูกส่งไปที่ฉางจิงก็ถูกฉกชิงไปกลางคัน และขโมยเครดิตไป
ไม่อย่างนั้นฉางจิงคงแทบจะไม่หามเสลี่ยงมารับเสิ่นเวิ่นเฉิงและทีมไป แต่สุดท้ายพวกเขาก็เลือกมาที่เถาหยาง
นักวิชาการเฉียวรู้สึกสับสน และการนำเรื่องนี้ขึ้นมาพูด มันก็ไปกระตุ้นหัวใจของเสิ่นเวิ่นเฉิง
“อา…ฮ่าฮ่า ผมไม่สามารถรับปากเรื่องคำแนะนำได้ เอาเป็นว่าพวกเรามาเรียนรู้กันและกันเถอะ!” นักวิชาการเฉียวตระหนักได้ในภายหลัง
จากนั้นกลุ่มคนก็วิ่งเข้าไปในพื้นที่โล่ง
นักวิชาการเฉียวมองดูที่ดินและอดไม่ได้ที่จะเสนอ “เถ้าแก่ซูคุณคิดจะสร้างห้องทดลองที่นี่ไหม? เพราะไหน ๆ โบนวิงส์ก็ถูกขังอยู่ข้างล่าง ซึ่งมันก็ง่ายในการเฝ้าระวังและง่ายต่อการวิจัย”
“ฉันมีแพลนอยู่ค่ะ คุณเสิ่นคิดเห็นยังไงคะในเรื่องการสร้างฐานการทดลองตรงนี้” ซูเถาพยักหน้า
เสิ่นเวิ่นเฉิงตกตะลึงและถามว่า “ผมขอโทษ มันอาจจะมากเกินไปที่จะถาม แต่ผมอยากได้ห้องทดลอง P3 หรือ P4”
P3 และ P4 หมายถึงห้องปฏิบัติการที่มีระดับและมาตรฐานสูงสุด ซึ่งไม่เพียงแต่สามารถศึกษาไวรัสต่าง ๆ ที่รู้จักซึ่งมีอัตราการตายสูงเท่านั้น แต่ยังศึกษาไวรัสซอมบี้ที่ยังไม่ได้ถอดรหัสอีกด้วย เฉพาะห้องปฏิบัติการในระดับนี้เท่านั้นที่สามารถเรียกได้ว่าเป็นฐานการทดลอง
ตอนที่เขาอยู่ที่ฐานเหอคัง คุณจี้ก็สนับสนุนพวกเขาในการสร้างห้องปฏิบัติการ P2 ซึ่งสามารถตอบสนองความต้องการขั้นพื้นฐานได้เท่านั้น ส่วนในเรื่องของไวรัสซอมบี้ที่เขาต้องการศึกษามาตลอดต้องถูกระงับเพราะสถานที่ไม่ตรงตามเงื่อนไข
“ใช่ คุณพูดถูก ถ้าเราสร้างเราจะสร้างสิ่งที่ดีที่สุด เพื่อไม่ให้ต้องสร้างใหม่ในภายหลัง ส่วนเรื่องอุปกรณ์การทดลองต่าง ๆ ที่ต้องการ ฉันจะพยายามหาและซื้อมาไว้ที่นี่ สรุปเราเอาสถานที่นี้แล้วใช่ไหมคะ จริง ๆ นักวิชาการเฉียวก็พูดถูกที่ตรงนี้มันค่อนข้างสะดวก”
นักวิชาการเฉียวเฝ้าดูอย่างสิ้นหวัง พวกเขาพูดถึงการก่อสร้างห้องปฏิบัติการ P4 ด้วยคำพูดไม่กี่คำ
หากพูดอย่างเป็นกลาง ห้องทดลองของตงหยางอยู่ที่ระดับ P2 เท่านั้น แต่ถ้าพูดตรง ๆ เผลอ ๆ ไม่ถึงระดับ P2 ด้วยซ้ำ ตอนนี้เขารู้สึกว่าซูเถากำลังให้ความหวังกับเสิ่นเวิ่นเฉิง เถาหยางอาจไม่สามารถก่อสร้างห้องแลป P4 อย่างฉางจิงได้
จู่ ๆ ก็รู้สึกอิจฉาขึ้นมาทันใด…
ภายใต้การนำของซูเถา ทุกคนลงไปที่ชั้นใต้ดินทีละคน และพวกเขาผ่านประตูรักษาความปลอดภัยและเข้าสู่พื้นที่หลัก
หลินฟางจือวางแคปซูลที่เก็บโบนวิงส์ลงในร่องบนพื้นแล้วยึดให้แน่น เขากดสวิตช์ข้าง ๆ จากนั้นก็มีกระจกเทมเปอร์ยกขึ้นล้อมรอบ
เสิ่นเวิ่นเฉิงจ้องมองที่โบนวิงส์ในถังทดลอง ทำให้รูปลักษณ์ของมันติดอยู่ที่ดวงตาของเขา
เขาพึมพำออกมา “มันน่ากลัวมาก… รูปร่างหน้าตาก็ไม่ต่างจากมนุษย์ ถ้ามันโตกว่านี้ มันจะเลียนแบบอุณหภูมิร่างกายและการเต้นของหัวใจมนุษย์ได้หรือเปล่า ถ้าใช่ ซอมบี้กับพวกเราจะต่างกันไหม? จะไม่แอบซุ่มเงียบอยู่ในสังคมมนุษย์ สะสมอำนาจ และก่อหายนะต่อมวลมนุษยชาติเหรอ…”
อุณหภูมิของทั้งห้องลดลงทันทีเพราะคำพูดของเขา มันหนาวจนทุกคนสั่นสะท้าน
แต่เสิ่นเวิ่นเฉิงไม่ได้ตระหนัก และยังคงพูดกับตัวเองว่า
“ซอมบี้กลายพันธุ์แบบนี้ปรากฏขึ้นเมื่อ 20 ปีที่แล้ว มันกลายพันธุ์ได้ยังไง และปัจจัยเฉพาะอะไรที่ทำให้มันกลายพันธุ์? เป็นไปได้ไหมว่ามีซอมบี้กลายพันธุ์อยู่มากมาย แต่พวกมันคล้ายกับมนุษย์เกินไป? ก็แค่เรายังไม่ค้นพบ…”
ซูเถารู้สึกชาวาบตั้งแต่ฝ่าเท้าไปจนถึงศีรษะ และไม่สามารถทำลายบรรยากาศอันเลวร้ายได้บราวนี่ออนไลน์
“มันถูกส่งมาอย่างปลอดภัยแล้ว ถ้าไม่มีอะไรต้องจัดการต่อในตอนนี้ก็ปล่อยมันไว้ที่นี่ก่อน เราขึ้นไปข้างบนกันเถอะ”
พวกเขาส่วนใหญ่ดูนิ่งสงบ จากนั้นก็เดินเร็วขึ้นไปด้านบนอย่างรวดเร็วทีละคน
มีเพียงเสิ่นเวิ่นเฉิงเท่านั้นที่ไม่เต็มใจที่จะแยกทางกับมัน เขามองย้อนกลับไปที่โบนวิงส์โดยไม่ละสายตา ราวกับว่าเขากำลังดูอัญมณีล้ำค่าซึ่งมีแรงดึงดูดร้ายแรงสำหรับเขาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด