ฉันเป็นเศรษฐีอสังหาฯในวันสิ้นโลก - ตอนที่ 357 เด็กเถาหยางรักการเรียนรู้
ตอนที่ 357 เด็กเถาหยางรักการเรียนรู้
ตอนที่ 357 เด็กเถาหยางรักการเรียนรู้
เซียวเวินอวี้หัวเราะออกมาดัง ๆ และพูดความจริงออกมาครึ่งหนึ่ง
“เครื่องปรับอากาศอยู่บนท้องฟ้าเหรอ ฮ่า ๆ พวกคุณคุยกันไปก่อนนะ ฉันต้องกลับไปดูแบบร่างการออกแบบของฉัน หัวหน้าซู แบบร่างอาจจะสรุปได้ในบ่ายวันพรุ่งนี้ ฉันต้องรบกวนให้คุณทำให้มันเป็นจริงด้วย”
ซูเถาโบกมือ
เวินม่านเงยหน้าขึ้นมองอย่างไร้เดียงสา แต่ไม่ว่าเธอจะตั้งใจมองแค่ไหน เธอก็ไม่เห็นอะไรที่คล้ายกับเครื่องปรับอากาศ
ลั่วเหยียนคิดว่าเถาหยางมีพลังประเภทน้ำหรือน้ำแข็งที่ทรงพลัง เพราะหากเครื่องปรับอากาศจริง ๆ นั่นแปลว่าที่นี่คงใช้ไฟฟ้ามาก ในขณะที่ฐานฉางจิงยังไม่กล้าใช้ไฟฟ้าเช่นนี้
ยิ่งเดินเข้าไปลึกแค่ไหน ลั่วเหยียนก็ยิ่งรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติมากขึ้นเท่านั้น
เขาคิดว่ามีเพียงบริเวณประตูทางเข้าเท่านั้นที่อากาศเย็นสบาย แต่เขาคิดไม่ถึงว่าอุณหภูมิตลอดทางจะคงที่และเย็นไม่ต่างจากอยู่ในห้องแอร์ ไม่ว่าดวงอาทิตย์ดวงใหญ่จะลอยอยู่บนท้องฟ้า แต่ก็ดูเหมือนจะไม่ส่งผลกระทบต่ออุณหภูมิในเถาหยาง
ผู้มีพลังวิเศษประเภทไหนกันที่สามารถปรับสภาพอากาศให้เย็นคงที่ได้เช่นนี้?
เป็นความสามารถที่ไม่ควรมองข้ามจริง ๆ
ส่วนเวินม่านเองก็รู้สึกทึ่งตั้งแต่เธอเข้ามาในเถาหยาง เพราะที่นี่มีอาคารที่เป็นระเบียบ สิ่งอำนวยความสะดวกสาธารณะครบครัน และแม้แต่ต้นไม้เขียวขจีน่ารื่นรมย์…
สภาพแวดล้อมที่นี่ดีกว่าสภาพแวดล้อมของฉางจิงในความทรงจำของเธอ
การวางผังเมืองของฉางจิง นั้นกระจัดกระจายมาก สถานที่ที่พลุกพล่านเต็มไปด้วยอาคารสูงระฟ้าติด ๆ กัน ในขณะสถานที่ยากจนเต็มไปด้วยบ้านซอมซ่อและถนนลูกรัง
ซึ่งแตกต่างจากเถาหยาง ที่มีความเป็นระเบียบเรียบร้อยและเป็นหนึ่งเดียวตั้งแต่ต้นจนจบ เหมือนกับที่พ่อของเธอกล่าวไว้ ว่ามันเป็นชุมชนระดับกลางถึงระดับสูงก่อนวันสิ้นโลก
เวินม่านมองไปไม่ไกลและเห็นกลุ่มเด็กอายุต่ำกว่าสิบปีใต้ร่มไม้กำลังท่องบทกวีรอบตัวเด็กสาวคนหนึ่ง
เมื่อเห็นซูเถา เด็กสาวก็ยกยิ้มขึ้นและพูดเสียงดังว่า “เถ้าแก่ซูมีแขกเหรอ เด็ก ๆ รีบทักทายเถ้าแก่ซูเร็ว ๆ เข้า”
เด็กกลุ่มหนึ่งตะโกนขึ้นพร้อมกัน
ซูเถายิ้มและพยักหน้าตอบ “เป็นยังไงบ้าง ครูเสี่ยวเซิ่งพาเด็ก ๆ อ่านหนังสืออยู่เหรอ”
แม้ว่าเถาหยางจะยังไม่มีโรงเรียนของตัวเอง แต่ภายใต้การนำของเซิ่งอวี๋หลัน ทุ่งหญ้าสีเขียวทั้งหมดในเถาหยางก็กลายเป็นห้องเรียนเล็ก ๆ สำหรับเด็กก่อนวัยเรียนได้ ตราบใดที่มีเด็กก่อนวัยเรียนในบ้านของผู้เช่า ก็สามารถส่งพวกเขามาเรียนได้
ป้าชีให้คนมาทำความสะอาดสนามหญ้าทุกวัน เผื่อว่าเด็ก ๆ จะกลิ้งไปกลิ้งมา
พื้นที่เปิดโล่งข้าง ๆ มีโต๊ะที่ถูกวางกระเป๋าจนเต็ม เก้าอี้ และแม้แต่ม้านั่ง หากมีกระเป๋านักเรียนของเด็ก ๆ ถูกโยนทิ้งอยู่ที่พื้น ผู้เช่าที่เดินผ่านมาผ่านไปก็จะช่วยเด็ก ๆ หยิบมันขึ้นมาและวางไว้ด้านข้างอย่างเรียบร้อย
บางครั้งชายชรากู้ที่เล่นหมากรุกเสร็จแล้วจะมาทำหน้าที่เป็นครูสอนประวัติศาสตร์เล่าเรื่องก่อนวันสิ้นโลกให้เด็ก ๆ ฟัง
ชายชรากู้ใช้ที่แห่งนี้เป็นเวทีแสดงอัตชีวประวัติ ซึ่งตอนนี้เด็ก ๆ ในเถาหยางถือว่าชายชรากู้เป็นหัวหน้าใหญ่ และพวกเขาจะร้องเรียกประธานกู้เมื่อเห็นเขา
ชายชรากู้ยิ้มเมื่อเขาได้ยินเช่นนั้น
“เด็กเหล่านี้ส่วนใหญ่จะเข้าโรงเรียนประถมตงหยางในปีหน้า ดังนั้นฉันเลยเตรียมการศึกษาแก่พวกเขาก่อน อย่างไรก็ตาม เถ้าแก่ซู ฉันมีคำขอเล็กน้อย…” เซิ่งอวี๋หลันพูดอย่างเกรงใจ
“ได้สิ ว่ามาเลย”
ซูเถารู้สึกขอบคุณเซิ่งอวี๋หลันมาก ไม่เพียงเพราะเธอเป็นครูคนแรกของฟางจือ แต่ยังเป็นเพราะเธอยังช่วยสอนเด็ก ๆ ในเถาหยาง และเมื่อว่างเธอจะไปที่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก และศูนย์รับเลี้ยงเด็กกำพร้าของตงหยางเพื่อสอนเด็ก ๆ ให้อ่านเขียนโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย
เซิ่งอวี๋หลันผู้รักการสอนและให้ความรู้แก่ผู้คน รับเงินเดือนเพียงที่เดียว แต่ทำงานถึงสองที่
“เถ้าแก่ซู…ฉันต้องการหนังสือเกี่ยวกับการศึกษาก่อนวัยเรียนของเด็ก หรือสุขภาพจิตศึกษา สุขศึกษา ฯลฯ แต่ฉันไม่มีคอมพิวเตอร์ ฉันขอไปที่อาคารเถาหลี่ได้ไหม อาทิตย์ละ 4 ชั่วโมง ฉันขอยืมคอมพิวเตอร์ที่ห้องทำงานคุณได้ไหมคะ…”
เธอรู้สึกเกรงใจมาก
ในวันสิ้นโลกแบบนี้คอมพิวเตอร์มีราคาสูงมาก ราคาสูงจนเธอไม่สามารถซื้อได้
แม้ว่าเครื่องสื่อสารจะสามารถเข้าถึงข้อมูลออนไลน์ได้ แต่มันสามารถเชื่อมต่อกับเครือข่ายท้องถิ่นของตงหยางเท่านั้น และการเข้าถึงถูกจำกัด
ได้ยินมาว่าเถ้าแก่ซูเป็นคนใจกว้าง อาคารเถาหลี่ไม่เพียงแต่มีคอมพิวเตอร์ที่ไม่ได้ใช้งานจำนวนมากเท่านั้น แต่ยังมีสิทธิ์เข้าถึงเครือข่ายสูงอีกด้วย และสามารถดูเอกสารและหนังสือมากมายก่อนวันสิ้นโลกได้
เธอต้องการมากเกินไปหรือเปล่า
ซูเถาได้ยินดังนั้นก็ตอบว่า “เรื่องเล็กน้อย ในอนาคตหากเธอจำเป็นต้องใช้งานจริง ๆ สามารถขออนุญาตจากผู้จัดการจวงได้โดยตรงเลย”
ทั้งสองกำลังสนทนากันอยู่ จู่ ๆ ก็มีเด็ก ๆ มารวมตัวกันรอบ ๆ เวินม่านและลั่วเหยียน เพื่อชวนพูดคุยและส่งเสียงเจื้อยแจ้ว
เด็ก ๆ ถามพวกเขาว่ามาจากไหน พวกเขาเป็นเพื่อนที่ดีของเถ้าแก่ซูหรือเปล่า พวกเขาชอบเถาหยางไหม และอื่น ๆ อีกมากมาย
เด็ก ๆ ในเถาหยางโดยพื้นฐานแล้วไม่กลัวคนแปลกหน้า และพวกเขาก็ไม่ขี้อาย เพราะพวกเขารู้ว่าในเถาหยางจะไม่มีคนไม่ดี นับประสาอะไรกับซอมบี้ ที่นี่ถือว่าเป็นที่ที่ปลอดภัยที่สุด
พ่อกับแม่บอกว่าพวกเขาควรทำตัวน่ารักและสุภาพกับแขกที่มาเถาหยางเช่นเดียวกับลุงสวี่จากฉางจิง พวกเขาควรสร้างความประทับใจที่ดีให้กับคนนอก
ใบหน้าของลั่วเหยียนถึงกับนิ่งไป เขาไม่เคยเห็นเด็กที่มีชีวิตชีวาและร่าเริงมากมายขนาดนี้มาก่อน
สีหน้าของเวินม่านก็นิ่งไปเช่นเดียวกัน เธอย่อตัวลงและตอบคำถามของเด็ก ๆ อย่างนุ่มนวล พร้อมเอ่ยชมเชยว่าเด็กคนไหนใครสูงและแข็งแรงกว่ากัน และใครออกเสียงบทกวีได้มาตรฐานที่สุด
เวินม่านเป็นมิตรเกินไป และภายในไม่กี่คำ เธอก็ถูกล้อมรอบด้วยเด็ก ๆ และผลักลั่วเหยียนออกไป
“…” ลั่วเหยียน
ไม่มีใครสนใจเขาเลย
ดวงตาที่สดใสของเด็ก ๆ อยู่ที่เวินม่าน
“พี่สาว พี่สวยมากเลย พี่จะอยู่ในเถาหยางกี่วัน พรุ่งนี้พวกเราขอมาเล่นกับพี่หลังเลิกเรียนได้ไหมคะ” เด็กหญิงผู้กล้าหาญพูดกับเวินม่าน
เวินม่านยิ้มและตอบตกลงทันที
“เข้าเรียนต่อเถอะ พวกลูกลิงทั้งหลาย!” ในที่สุด เซิ่งอวี๋หลันก็ตะโกนขึ้น
จากนั้นทุกคนก็กลับมาที่ด้านข้างของเซิ่งอวี๋หลัน เพื่อหาม้านั่งเล็ก ๆ ของตัวเองแล้วนั่งลง จากนั้นดวงตาของเด็ก ๆ ก็เปล่งประกาย เปี่ยมไปด้วยความกระตือรือร้นที่จะหาความรู้
ซูเถารู้สึกเหมือนเห็นฟางจือที่กำลังตั้งใจเรียนอย่างหนัก
ลั่วเหยียนจมดิ่งลงไปในความคิด เขามีโอกาสได้ไปโรงเรียนระดับประถมศึกษาในเชียนอันหลายครั้งในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เขารู้สึกว่าบรรยากาศการเรียนรู้ก็ไม่ดีเท่าห้องเรียนเปิดโล่งขนาดเล็กในเถาหยาง
เด็ก ๆ ส่วนใหญ่กำลังคุยกันว่าซอมบี้จะโจมตีเมืองครั้งต่อไปเมื่อไหร่ ถ้าพวกเขาสามารถปลุกพลังเหนือธรรมชาติได้และเข้าสู่กองทัพ พวกเขาอาจจะได้กลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ก็ได้…
พวกเขาแทบไม่มีสมาธิกับการเรียนเลย
ต่อมานักเรียนและครูก็ถือโอกาสเอาจริงเอาจังกับเรื่องนี้ รัฐบาลจึงทุ่มเงินไปจำนวนมาก โดยการยกเลิกโรงเรียนประถมและมัธยมเปลี่ยนเป็นโรงเรียนทหาร โดยเหลือไว้แค่วิชาพื้นฐานสำหรับการฟังพูดอ่านเขียนเท่านั้น อื่น ๆ แทบไม่มีการสอนเลย ส่วนใหญ่มุ่งเน้นไปในเรื่องของสมรรถภาพทางร่างกาย
ผลที่ได้ค่อนข้างน่าทึ่ง ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาจำนวนบุคลากรทางทหารเพิ่มขึ้นอย่างมาก
เชียนอันไม่ใช่แห่งเดียวที่ดำเนินการแบบนี้ ฐานร้อยละแปดสิบให้ความสำคัญกับศิลปะการต่อสู้มากกว่าการอ่านตำราหรือพวกวรรณกรรม
มันไม่มีทางเลือก ในวันสิ้นโลกนี้มีแต่ภัยอันตราย ไม่สามารถรับประกันความปลอดภัยได้ จึงไม่มีเวลาสั่งสอนหรือมานั่งศึกษาบทกวี เพราะสิ่งเหล่านี้ไม่สามารถนำไปต่อยอดในการเอาชีวิตรอดได้
ทว่าเถาหยางแตกต่างออกไป
ลั่วเหยียนตระหนักอยู่ลึก ๆ ว่าเถาหยางต้องมีความมั่นใจในมุมนี้เป็นอย่างมาก เพราะว่าเด็กเหล่านี้ไม่ต้องกังวลเรื่องอาหาร เสื้อผ้า และความปลอดภัย แต่สนใจเรื่องการศึกษาเท่านั้น
สนามหญ้าเขียว ๆ แบบนี้ เป็นแหล่งเพาะความรู้ความสามารถได้ดีจริง ๆ…
0
————————-