ฉันเป็นเศรษฐีอสังหาฯในวันสิ้นโลก - ตอนที่ 367 รายงานจากกู้หมิงฉือ
ตอนที่ 367 รายงานจากกู้หมิงฉือ
ตอนที่ 367 รายงานจากกู้หมิงฉือ
ซูเถาเล่าถึงประสบการณ์ตอนได้พบกับอลิซ ครั้งแรกที่เธอได้ยินชื่อของอลิซ ก็มาจากการที่เหลยสิงบอกเล่า
ในตอนแรกเหลยสิงบอกว่าอลิซเหมือนคนบ้า เพราะทั้งคำพูด การกระทำและพฤติกรรมของเธอนั่นไร้สาระ และบวกกับพลังวิเศษของอลิซ จึงมักถูกถานหย่งรังเกียจ
ต่อมาซูเถาได้รู้จากสวีฉีว่าถานหย่งเคยรู้สึกไม่ดีกับอลิซ เพราะด้วยพฤติกรรมของเธอทำให้ถานหย่งรับมือไม่ไหว แต่เขาก็ลังเลที่จะปล่อยเธอไป ก็เลยได้แต่เก็บเธอไว้ที่สถานีเก่า
ปกติแล้วจะเป็นสวีฉีที่คอยดูแลเธอ เพราะความรู้สึกสงสาร เขาคอยหาข้าวหาน้ำให้กิน เธอถึงมีชีวิตรอดมาถึงทุกวันนี้
เมื่อซูเถาเห็นอลิซเป็นครั้งแรก แน่นอนว่าอลิซยังมีความสวยงามตามแบบฉบับของเธอ แต่ก็ยังมีรูปร่างที่ผอมบางไม่สมส่วน ไม่กี่เดือนหลังจากเธอย้ายมาอยู่ที่เถาหยาง น้ำหนักของเธอก็เพิ่มมากขึ้น และดูมีเสน่ห์มากขึ้นเรื่อย ๆ ดั่งตุ๊กตากระเบื้องราคาแพงที่อยู่ในตู้โชว์สินค้า
เพียงแต่ว่าตุ๊กตาตัวนี้มีความรู้สึก เจ็บได้ ร้องไห้เป็น
เสียงของสวี่ฉางค่อย ๆ หายไป และตกอยู่ในกระแสน้ำวนแห่งความทรงจำ
“บางทีมันอาจจะเป็นการเริ่มต้นที่ผิดพลาด ในวันที่ผมได้พบกับแม่ของเหอเหอ และตัดสินใจที่จะให้กำเนิดเธอออกมา”
อาจเป็นเพราะเขาเก็บกดมานานเกินไป ไม่มีใครที่เขาสามารถไว้วางใจได้เลย ไม่ได้พูดสิ่งที่อยู่ในใจออกไป ดังนั้นในตอนนี้สวี่ฉางจึงไม่สามารถหยุดพูดถึงเรื่องนี้ได้
ซูเถาจึงได้รู้ว่าอลิซเป็นลูกครึ่ง แม่ของเธอหรือภรรยาของหัวหน้าสวี่เรียนอยู่ที่ฉางจิงก่อนวันสิ้นโลก และเธอได้พบกับหัวหน้าสวี่ในตอนนั้น
หลังจากรักกันได้ 2 ปี ทั้งคู่ก็ตัดสินใจแต่งงานกัน แต่ใครจะรู้ว่าวันเวลาอันหอมหวานหลังแต่งงานนั้นอยู่ได้ไม่นาน และวันสิ้นโลกก็มาถึง
ในช่วงเวลาที่มืดมนที่สุดของทั้งสอง ภรรยาของหัวหน้าสวี่ก็พบว่าตนเองตั้งครรภ์
ปฏิกิริยาแรกของหัวหน้าสวี่ในเวลานั้นคือการทำแท้ง ไม่สามารถเก็บเด็กคนนี้ไว้ได้
เพราะในวันสิ้นโลกที่ขาดแคลนอาหารและพลังงานแบบนี้ ต้องเผชิญกับความท้าทายในการเอาชีวิตรอดครั้งใหญ่ตลอดเวลา ซึ่งการให้กำเนิดเด็กคนหนึ่งล้วนแล้วแต่เป็นความเจ็บปวด
แต่ว่าภรรยาของเขาไม่เห็นด้วย เพราะเธอถือว่านี่คือสิ่งมีชีวิตที่ได้ถือกำเนิดขึ้นแล้ว ในวันที่มืดมนแบบนี้ เหมือนมีลูกมาเป็นแสงสว่าง ทำให้เธออยากที่จะมีชีวิตอยู่ต่อ มีความกล้าหาญและความมั่นใจในการใช้ชีวิตมากยิ่งขึ้น
หัวใจของหัวหน้าสวี่อ่อนลง เขาจึงไม่ได้บังคับเธอแต่อย่างใด
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากความโชคร้าย ในวันที่อลิซเกิดดันมีคลื่นซอมบี้ขนาดใหญ่ ฉางจิงแทบจะพังทลายลง ตายได้ก็ได้ หนีได้ก็หนี แม้กระทั่งหมอสูตินรีแพทย์ก็ยังหาไม่ได้
สุดท้ายแล้วภรรยาของเขาก็ต้องเสียชีวิตจากการตกเลือดจำนวนมาก เด็กในท้องก็ได้รับความกระทบกระเทือนทางสมองเนื่องจากขาดอากาศหายใจนานเกินไป
คืนนั้นหัวหน้าสวี่ร้องไห้จนน้ำตาเหือดแห้ง เขากอดลูกสาวที่ร่างกายฟกช้ำดำเขียวไปทั้งตัว และร้องขอความช่วยเหลือไปทั่วทุกที่จนแทบจะคุกเข่าลงเพื่ออ้อนวอน
หลังจากผ่านเวลามาสิบกว่าปี เขาก็ได้เลี้ยงลูกสาวมาจนเติบใหญ่ มีเพียงเขาเท่านั้นที่รู้ว่ามันยากลำบากมากแค่ไหน
พ่อเลี้ยงเดี่ยวในวันสิ้นโลกที่ต้องเลี้ยงดูเด็กที่สติปัญญาบกพร่อง ไม่สามารถดูแลตัวเองได้ แค่คิดก็เวียนหัวแล้ว
กว่าที่สวี่ฉางจะพูดจบ เวลาก็ล่วงเลยไปบ่ายโมงกว่า
ซูเถารู้สึกอ่อนเพลีย เธอจึงกลับไปที่ห้องแล้วล้มตัวนอนลงบนเตียงและหลับไปในทันที ไม่ทันได้ล้างหน้าแปรงฟันด้วยซ้ำไป
สือจื่อจิ้นลอยมายืนข้างเตียงนอนของเธอ เมื่อเขาเห็นภาพนี้ก็ถอนหายใจ จากนั้นจึงสั่งให้เสวี่ยเตาถอดรองเท้าของเธอออก
จากนั้นเขาก็สั่งให้หลิงอวี่นำผ้าห่มผืนบางมาห่มให้เธอ
แต่เมื่อห่มผ้าให้เธอได้ไม่ทันไร เครื่องสื่อสารของซูเถาก็ดังขึ้น
สือจื่อจิ้นสะดุ้ง เพราะเกรงว่าเสียงนั้นจะทำให้เธอตื่น จากนั้นจึงรีบสั่งให้เฮยจือหม่านำเครื่องสื่อสารออกไปที่ห้องนั่งเล่น
เดิมทีเขาต้องการที่จะวางสาย แต่เมื่อเห็นหมายเลขผู้โทรเข้า ใบหน้าของสือจื่อจิ้นก็เปลี่ยนไปทันที
เขาขอให้เฮยจือหม่ากดอุ้งเท้าของมันลงเพื่อเชื่อมต่อ
ก่อนที่อีกฝ่ายจะพูด เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยน่าฟัง “บอสกู้ ดึกดื่นขนาดนี้ มันใช่เวลาที่คุณจะโทรมาไหม?”
เมื่อกู้หมิงฉือที่กำลังรีบร้อนได้ยินเสียงนี้ อาจกล่าวได้ว่าสือจื่อจิ้นได้เทน้ำมันลงบนกองไฟ
“คุณเป็นใคร ซูเถาอยู่ที่ไหน”
สือจื่อจิ้น “ฟังไม่ออกเหรอว่าผมเป็นใคร? เธออยู่ข้าง ๆ ผม เพิ่งหลับไปไม่นานเอง”
กู้หมิงฉือมองไปที่เครื่องสื่อสารของเขาด้วยความไม่เชื่อ
“สือจื่อจิ้น?”
ชายคนนี้กำลังรักษาตัวอยู่ไม่ใช่เหรอ?
ได้ยินมาว่าเขาได้รับบาดเจ็บสาหัส และทางกองทัพบุกเบิกได้ออกประกาศแล้วเช่นเดียวกัน
“ผมเอง คุณมีเรื่องอะไรจะคุยกับเธอเหรอ?” สือจื่อจิ้นขานรับ
กู้หมิงฉือวางสายอย่างรวดเร็ว
ตงหยางมีส่วนร่วมในการตบตาในครั้งนี้ด้วยเหรอ?! เสียงของสือจื่อจิ้นฟังดูโกรธมาก แต่ก็ไม่ร้ายแรงเท่ากับการประกาศที่ออกมาจากกองทัพ
ยิ่งกว่านั้น คนที่บาดเจ็บสาหัสอยู่บนเตียง พวกเขาจะสามารถไปที่เถาหยางเพื่อดูซูเถาหลับได้เหรอ??
เมื่อจิตใจที่ตกตะลึงของเขาสงบลง เขาก็ตระหนักว่าเขายังไม่ได้พูดบางสิ่งที่สำคัญ และเป็นการยากที่จะโทรกลับในตอนนี้ ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงหันหลังกลับและปลุกจวงหว่านให้ตื่นขึ้น
จวงหว่านรับโทรศัพท์ด้วยความงุนงง จากนั้นได้ยินกู้หมิงฉือที่อยู่ปลายสาย
“คุณต้องบอกซูเถาก่อนรุ่งสางว่ามีกลุ่มคนประมาณ 200 ชีวิตที่ไม่ทราบตัวตนของพวกเขา กำลังมุ่งหน้าไปยังเถาหยาง คนกลุ่มนั้นไม่ได้มาอย่างเป็นมิตร ขอให้ระมัดระวังไว้ล่วงหน้า”
จวงหว่านตื่นขึ้นทันที “บอสกู้? คุณรู้เรื่องนี้ได้ยังไง”
“พวกเขาผ่านเขตตะวันออก และถูกคนของผมพบเห็น คุณรีบไปแจ้งเธอเถอะ”
“เอาล่ะ ขอบคุณบอสกู้ ฉันจะไปเดี๋ยวนี้”
จวงหว่านสวมรองเท้าแล้วออกไป ขณะที่เธอกำลังจะวางสายเธอก็ได้ยินกู้หมิงฉือถามอีกครั้ง
“สือจื่อจิ้นอยู่ในเถาหยางหรือเปล่า”
จวงหว่านผู้ไม่รู้เรื่องราวภายในกล่าวด้วยความงุนงง
“ไม่ค่ะ พลตรีสือได้รับบาดเจ็บสาหัสและเข้ารับการรักษาอยู่ในตงหยางไม่ใช่เหรอ ฉันได้ยินมาว่าเขายังไม่ฟื้น แล้วเขาจะมาที่เถาหยางได้ยังไง”
กู้หมิงฉือหรี่ตาของเขาลงเล็กน้อยด้วยความสงสัย
……
ซูเถารู้สึกเพียงว่าเธอหลับตาไปได้ไม่นาน ก็มีเสียงปลุกให้เธอตื่นขึ้น และเมื่อเธอได้ยินว่ามีคนมากกว่า 200 ชีวิตกำลังมาที่นี่ เธอพลิกตัวและลุกจากเตียงทันที พร้อมแจ้งให้กรรมการทุกคนมาพบที่อาคารเถาหลี่เพื่อประชุมด่วน
ยกเว้นรูมเมทอย่างหลินฟางจือ เรื่องนี้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเขา ปล่อยให้เขาได้นอนหลับพักผ่อนอย่างเต็มที่อีกหน่อยเถอะ
ชีอวิ๋นหลันเริ่มตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิดทันที ในขณะเดียวกันซูเถาก็ขอให้หลิงอวี่และเฮยจือหม่าคอยลาดตระเวน แน่นอนว่าพวกเขาพบร่องรอยของคน 200 ชีวิตในที่ราบห่างจากเถาหยาง 10 กิโลเมตร
เนื่องจากคืนนี้ท้องฟ้ามืดสนิท คนกลุ่มนี้จึงซ่อนตัวได้ดีมาก ดังนั้นจึงไม่สามารถระบุตัวตนของพวกเขาได้แน่ชัด แต่เดาได้ว่าพวกเขามีจุดประสงค์ในการเข้าใกล้เถาหยาง
“ผมคิดว่าพวกเขาเป็นคนที่ต้องการเสบียงของเราและต้องการทำการปล้น” หม่าต้าเพ่าตั้งข้อสงสัย
สมมติฐานนี้ไม่สามารถตัดออกได้
“เถ้าแก่ เราจะเอายังไงดี” ชีอวิ๋นหลันมองไปที่ซูเถา
“เราอย่าเพิ่งเคลื่อนไหวค่ะ ฉันจะให้หลิงอวี่และเฮยจือหม่าไปดูว่าพวกเขาต้องการทำอะไรต่อไป ถ้าพวกเขาบุกรุกและปล้นเถาหยาง พวกเขาก็คงชะล่าใจเกินไปกับพืชกินคนของอู๋เจิ้น เพราะพืชชนิดนี้ไม่ใช่มังสวิรัติ” ซูเถากล่าว
ในเวลาเดียวกัน คนสองร้อยชีวิตก็ได้มองดูแสงไฟและกำแพงเมืองเถาหยางจากระยะไกล
“เหล่าต้า เราไปซุ่มโจมตีแบบนี้ หากถูกจับได้ล่ะ” มีคนถามขึ้น
“ถ้าพวกเขาจับได้แล้วมันยังไง เถาหยางสามารถส่งคนมาต่อสู้กับเราได้หรือไง? เลิกพูดจาไร้สาระได้แล้ว พวกเขาไม่มีแม้แต่อาวุธ ไม่เห็นมีอะไรต้องกลัวเลย” หูเหล่ยตวาดออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา
ฝ่ายลูกน้องคิดเรื่องนี้อยู่พักหนึ่ง จากนั้นพวกเขาก็มีความมั่นใจเพิ่มมากขึ้น
ใบหน้าของหูเหล่ยดูเคร่งขรึม และมั่นใจอย่างยิ่งว่าเจียวชิ่งภรรยาของเขาเสียชีวิตด้วยน้ำมือของซูเถา
เขาต้องการแก้แค้นให้ภรรยาของเขา
นอกจากนี้ ติ้งหนานอยากได้เสบียงของเถาหยางมานานแล้ว
ในความคิดของเขา สถานที่แห่งนี้สามารถรุกรานได้ง่าย ไม่มีอะไรให้ต้องลังเลใจเหมือนซินตู ก็แค่บุกไปตรง ๆ
เถาหยางมีกำแพงเมือง มีโดมป้องกันแล้วยังไง คนในเถาหยางจะไม่ออกมาตลอดชีวิตเหรอ?
ตราบใดที่พวกเขาออกจากฐาน เขาก็จะทำการฆ่าไปทีละคน ๆ ซึ่งเขาจะไม่เชื่อว่าซูเถาไม่ปรากฏตัว
“สมาชิกห้าสิบคนในทีมชุดแรกตามฉันเข้าไปก่อน ที่นี่มันยังไกลเกินไป เข้าไปใกล้กว่านี้จะง่ายกว่า”
ไม่มีใครสังเกตเห็นว่ามีอีกาตัวหนึ่งบินอยู่เหนือหัวของพวกเขา และแมวดำตัวหนึ่งบนหลังอีกาตัวนั้น
————————-