ฉันเป็นเศรษฐีอสังหาฯในวันสิ้นโลก - ตอนที่ 38 หากไม่มีตงหยาง เถาหยางก็จะกลายเป็นเรือลำเดียว (1)
- Home
- ฉันเป็นเศรษฐีอสังหาฯในวันสิ้นโลก
- ตอนที่ 38 หากไม่มีตงหยาง เถาหยางก็จะกลายเป็นเรือลำเดียว (1)
ตอนที่ 38 หากไม่มีตงหยาง เถาหยางก็จะกลายเป็นเรือลำเดียว (2)
ตอนที่ 38 หากไม่มีตงหยาง เถาหยางก็จะกลายเป็นเรือลำเดียว (2)
ทันใดนั้น ภายใต้แสงจันทร์ที่สาดส่อง ซูเถาเห็นสิ่งมีชีวิตที่มีผิวสีตะกั่วหม่นสองตัว บนร่างกายสวมเสื้อผ้ามอมแมม มีลำไส้ห้อยออกมาครึ่งหนึ่ง พวกมันเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ซอมบี้สองตัวนี้มีแขนและกรงเล็บเหมือนเคียว
พวกมันโบกเคียวที่เปื้อนไปด้วยเลือดที่แห้งกรัง และหยุดห่างจากรั้วลวดหนามไฟฟ้าไม่ไกล ซึ่งดูเหมือนว่าพวกมันจะรู้ถึงพลังของรั้วไฟฟ้าแรงสูงนี้จึงจงใจรักษาระยะห่างที่ปลอดภัย
ลูกตาที่ยื่นออกมาของพวกมันกวาดมองไปรอบ ๆ ราวกับสังเกตสภาพแวดล้อม
ซูเถาไม่เคยเห็นซอมบี้ที่มีรูปร่างประหลาดอย่างนี้มาก่อน แต่ก็ไม่ยากที่จะคาดเดาได้ว่ามันคือซอมบี้เคียวโลหิต ซอมบี้ที่พัฒนาแล้วตามที่สือจื่อจิ้นและเผยตงเคยพูดถึง
พวกมันเคลื่อนไหวได้เร็วกว่าซอมบี้ทั่วไป และพัฒนาร่างกายให้มีอาวุธซึ่งคล้ายกับเคียว นอกจากนี้พวกมันยังมีความฉลาดสูงกว่าซอมบี้ทั่วไปที่ยังไม่มีวิวัฒนาการ รู้วิธีหลีกเลี่ยงอันตรายและการตรวจสอบสภาพแวดล้อม
ซูเถาใช้เครื่องมือสื่อสารถ่ายรูปเอาไว้อย่างเงียบ ๆ แล้วรีบกลับไปที่ห้อง
หลังจากกลับมาถึงห้องเธอก็ถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก จากนั้นส่งรูปที่ถ่ายไว้ไปให้สือจื่อจิ้นและเผยตงพร้อมกัน พร้อมกับแนบการคาดเดาของเธอไปด้วย
“มีแค่สองตัว แต่พวกมันมีความฉลาด มันอาจเห็นว่าเถาหยางได้รับการป้องกันโดยกำแพงและลวดหนามไฟฟ้า ดังนั้นตอนนี้พวกมันจึงไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม แต่พวกมันอาจจะมุ่งไปที่ตงหยางเพื่อก่ออันตรายแทน”
จากนั้นเธอก็ส่งข้อความแยกไปหาสือจื่อจิ้นต่างหาก
“คุณอยู่ข้างนอกระวังตัวด้วยนะ ฉันรู้สึกว่าจำนวนของพวกมันเพิ่มมากขึ้น ครั้งที่แล้วคุณเจอมันแค่ตัวเดียวคุณยังสูญเสียแขนไปหนึ่งข้าง ถ้าครั้งนี้คุณเจอเป็นฝูงฉันคงเห็นแต่แขนของคุณกลับมาแล้วแหละ”
ภายในเวลาไม่ถึงสองนาที เผยตงก็ตอบเธอกลับมาเป็นคนแรก และบอกว่าจะรีบพาคนไปทันที
สิบนาทีต่อมา เผยตงขับรถจี๊ปทหารและพาคนสิบคนไปยังสถานที่ที่พบกับเคียวโลหิต แต่ว่าซอมบี้สองตัวนั้นหายไปแล้ว เหลือไว้เพียงรอยเท้าของมัน
เผยตงดูเคร่งขรึม
“เธอเดาถูก จำนวนของพวกมันเพิ่มมากขึ้น และความกล้าหาญของพวกมันเองก็มากขึ้นเช่นกัน ก่อนหน้านี้พวกมันกล้าที่จะออกไปไกลเพียงระยะหนึ่งกิโลเมตรเท่านั้น แต่ตอนนี้พวกมันเริ่มเข้าใกล้แหล่งที่อยู่อาศัยของมนุษย์ หากว่าเป็นเช่นนี้ ภายในระยะเวลาไม่ถึงปีพวกมันก็คงกล้าที่จะบุกเข้ามาในเมืองเพื่อปากท้องของพวกมัน”
หัวของซูเถาปวดตุบจนแทบระเบิด
ตงหยางไม่มีกำแพงสูงและรั้วลวดหนามไฟฟ้า หากถูกเคียวโลหิตมาเกาะที่กำแพง ถึงเวลานั้นอนาคตของตงหยางก็จะกลายสภาพเป็นทะเลโลหิต มันใกล้เข้ามาทุกที ถ้าไม่มีตงหยาง เถาหยางก็จะกลายเป็นเรือลำเดียว
นอกจากนี้ผู้เช่าก็ต่างมีงาน มีญาติพี่น้องและมิตรสหายในตงหยาง เถาหยางและตงหยางนั้นเชื่อมโยงกันด้วยสายเลือดและชีวิต
“เสบียงที่สือจื่อจิ้นส่งกลับมาเมื่อสองวันก่อน ในนั้นมีพวกวัสดุก่อสร้างอยู่ด้วย จะสร้างกำแพงและรั้วของตงหยางแล้วเหรอ?”
เผยตงส่ายหัว “ถึงแม้ว่าจะมีวัสดุก่อสร้างอยู่บ้าง แต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะสร้างครอบคลุมพื้นที่ 400,000 ตารางเมตรของตงหยางได้ทั้งหมด การสร้างกำแพงนั้นไม่ใช่สิ่งที่สามารถทำได้ในชั่วข้ามคืน”
อารมณ์ของซูเถาไม่ค่อยดีนัก ใจเธอคิดว่าเมื่อสือจื่อจิ้นกลับมา เขาน่าจะตามกลุ่มที่ออกไปปฏิบัติภารกิจด้วยใบหน้าที่เคร่งขรึมเป็นแน่ เธอเองก็อยากจะไปที่โรงรถร้างทำภารกิจที่ซ่อนอยู่ให้เสร็จโดยเร็วที่สุดเพื่อปลดล็อกร้านค้าที่ซ่อนอยู่
เมื่อเห็นว่าท่าทางของเธอไม่ดีนัก เผยตงจึงคิดว่าอีกฝ่ายน่าจะอยู่ในอาการตกใจกลัว ดังนั้นเธอจึงพูดเสียงแข็ง
“เธอห่วงอะไรอยู่ ถ้าเกิดอะไรขึ้นก็มีพวกเราใส่เครื่องแบบเต็มยศคอยคุ้มกันอยู่แล้ว กลับไปนอนเถอะ”
ซูเถาถอนหายใจและพูดว่า “ก็ได้ พลตรีสือเขาเข้าไปในพื้นที่ที่ไม่มีสัญญาณเหรอ ฉันส่งข้อความไปหาเขาแต่เขาไม่ตอบกลับ”
“พวกเขาออกไปปฏิบัติภารกิจก็มักจะขาดการติดต่อเสมอ การติดต่อไม่ได้ถือว่าเป็นเรื่องปกติ มีเรื่องอะไรก็บอกฉันก่อนได้”
ซูเถากลับมาที่ห้องและไม่มีกะจิตกะใจในการก่อสร้างอีกต่อไป เธอนอนพลิกไปพลิกมาทั้งคืนและผล็อยหลับไปตอนรุ่งเช้า
ทันทีที่พระอาทิตย์ขึ้น จวงหว่านก็มาเรียกหาเธอด้วยความโกรธเคือง
ซูเถาเห็นว่าใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยน้ำตาและความโกรธ เธอพูดสะอึกสะอื้นฟังไม่ได้ศัพท์ และก้มหน้าลงต่ำ
“ใครทำอะไรพี่คะ?”
จวงหว่านเช็ดน้ำตาอย่างกล้ำกลืนฝืนทน
“เมื่อคืนฉันนอนดึกเพราะต้องจัดเรียงสินค้า ตอนเช้าจึงตื่นไม่ไหวก็เลยให้เฉินซีไปหาข้าวกินด้วยตัวเอง เมื่อเด็กทั้งสองมาถึงที่โรงอาหารก็พบว่าอาหารในเครื่องจำหน่ายอาหารนั้นหมดเกลี้ยง มันหายไปหมดเลย แล้วในขณะพี่พวกเขากำลังจะเดินกลับ พวกเขาก็เหลือบไปเห็นที่ด้านหลังโรงอาหาร เหวินเพ่ยเจินนำอาหารจำนวนมากไปขายให้กับคนที่อยู่นอกเถาหยาง”
“เฉินซีเป็นคนตรงไปตรงมา เมื่อเธอเห็นว่าเหวินเพ่ยเจินเอาของไปขายต่อในราคาที่เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าพร้อมทั้งขอคะแนนสมทบอีก เธอจึงไปหยุดการกระทำนั้น และในระหว่างการโต้เถียงกัน เหวินเพ่ยเจินก็ผลักเฉินซีอย่างแรงไปโดนลวดหนามไฟฟ้าเข้า ยังดีที่ลวดนั้นไม่ได้กระตุ้นกระแสไฟฟ้า แต่ถึงอย่างนั้นใบหน้าของเธอก็ได้รับบาดเจ็บจากการโดนลวดหนามข่วนหน้า แผลลากยาวจากหางตาไปถึงมุมปาก เป็นแผลเหวอะ…”
หลังจากพูดจบจวงหว่านก็ร้องไห้โฮและไม่สามารถหยุดร้องไห้ได้
ซูเถาเลือดขึ้นหน้า “เฉินซีล่ะคะ?”
“เสี่ยวป๋อและแฟนสาวของเขาช่วยฉันเฝ้าอยู่ที่โรงพยาบาล ส่วนฉันกลับมาเพื่อเอาอุปกรณ์สื่อสารและเสื้อผ้าเด็ก หมอบอกว่าการบาดแผลนี้ไม่ถึงชีวิตแต่จะทิ้งรอยแผลเป็นเอาไว้ เว้นแต่เราจะหาผู้ที่มีความสามารถในการรักษาได้…”
ซูเถาบอกว่า “ไม่ต้องร้องไห้นะคะ เฉินซีกำลังรอพี่อยู่ พี่รีบไปเก็บของแล้วกลับไปที่โรงพยาบาลเถอะค่ะ เดี๋ยวฉันจะไปหาเหวินเพ่ยเจิน”
จวงหว่านรู้สึกสบายใจขึ้น เธอรีบปาดน้ำตาแล้วกุลีกุจอไปเก็บข้าวของ
ซูเถาสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ และตรงไปที่ห้องของเหวินเพ่ยเจิน แน่นอนว่าเธอไม่ได้อยู่ที่ห้อง ซูเถาจึงตรงไปยังสถานที่เกิดเหตุ เมื่อแม่ของเฉียนหรงหรงเห็นจึงคว้าตัวเธอเอาไว้แล้วพูดว่า
“พวกเรารู้เรื่องหมดแล้ว ตอนนี้เธอถูกสามีของถังชิงซูมัดเอาไว้ที่โรงอาหาร ตอนนี้พวกเรากำลังรอคุณอยู่”
ซูเถารีบไปที่โรงอาหาร และผู้เช่าที่คุ้นเคยกันดีล้วนไปรวมตัวอยู่ที่นั่น เหวินเพ่ยเจินที่ถูกมัดไว้กับเก้าอี้เอาแต่ส่งเสียตะโกนโวยวาย
“พวกแกมันเป็นสุนัขรับใช้ของซูเถา! เป็นหมาเฝ้าเถาหยาง เถาฮวาหยวนเหรอ มันก็แค่สถานที่คุมขัง! ฉันใช้เงินซื้อของพวกนี้มามันผิดตรงไหน! ฉันก็แค่อยากให้คนข้างนอกได้ลองชิม พวกเขาขอบคุณฉันแทบไม่ทันเลยด้วยซ้ำ แต่ฉันกลายเป็นคนบาปคนชั่วร้ายสำหรับคนที่นี่ ถ้าจะมีใครสักคนที่บาปก็คือเธอนั่นแหละ! ที่ครอบครองของดี ๆ แบบนี้แต่คนข้างนอกไม่สามารถแม้แต่จะดมมันได้!”
ถังชิงซูตกตะลึงกับความสามารถของเธอที่สามารถเปลี่ยนดำให้เป็นขาว และอดไม่ได้ที่จะพูดว่า
“คุณกำลังคิดว่าตัวเองทำความดีอยู่ใช่ไหม ซื้ออาหารที่เถาหยางนี้ใช้เงินเพียง 50 เหลียนปัง แต่คุณเอาไปขายให้กับคนนอกเป็นเงิน 2,000 เหลียนปัง แล้วยังจะเรียกเก็บคะแนนสมทบ 100 คะแนนจากพวกเขาอีก คุณคิดว่ายังไงล่ะ”
ขงอวี้อิงผู้ชอบเก็บตัวและไม่ชอบโต้เถียงทนไม่ได้อีกต่อไป
“ใช่ เราไม่ได้จับคุณเพราะอาหารไม่กี่คำนั่น มันไม่ทำให้เราอดตายหรอกถ้าไม่ได้กินแค่มื้อหรือสองมื้อ แต่คุณจะอธิบายยังไงเรื่องที่คุณผลักเฉินซีไปที่ลวดหนามไฟฟ้า คุณต้องการจะทำลายชีวิตของเด็กคนนั้นเลยเหรอ! คุณมีความเกลียดชังต่อเธอมากแค่ไหนกันถึงต้องการที่จะฆ่าเธอ”
ฟ่านฉวนฮุยโกรธจัด “แม่ของเฉินซีคอยเป็นห่วงจัดการเรื่องต่าง ๆ ให้กับทุกคน ถ้าคุณไม่รู้จักที่จะพูดคำว่าขอบคุณก็ช่าง แต่คุณต้องการจะเอาชีวิตลูกของเธอ คุณเองก็เป็นแม่คน แต่ทำไมใจจืดใจดำได้ขนาดนี้”
เหวินเพ่ยเจินกำลังจะเอ่ยปาก จู่ ๆ ประตูก็เปิดออก
ซูเถาเดินเข้ามาด้วยสีหน้าเรียบเฉย และพูดกับฟ่านฉวนฮุยว่า “แก้มัดเธอ”
เหวินเพ่ยเจินมีความสุขมาก เธอคิดว่าซูเถาคงคิดว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่คิดไม่ถึงว่าทันทีที่แก้มัด ซูเถาก็กระชากผมของเธอโดยไม่สนใจเสียงร้องโหยหวนใด ๆ และลากเธอไปจนถึงกำแพงสูงที่มีลวดหนามไฟฟ้าด้านนอก