ฉันเป็นเศรษฐีอสังหาฯในวันสิ้นโลก - ตอนที่ 381 เจียงถง
ตอนที่ 381 เจียงถง
ตอนที่ 381 เจียงถง
หัวหน้าสวี่เองก็ถูกกระตุ้นเช่นเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม เมื่อซูเถามอบถุงยาเหล่านั้นให้ เขาก็ไม่ได้ปฏิเสธอีกต่อไป
“แล้วคุณจะเดินทางกลับเมื่อไหร่คะ”
หัวหน้าสวี่ดูเหมือนจะยังไม่หลุดพ้นจากความคิดของตนเอง ดังนั้นเขาจึงตอบอย่างใจเย็น “ตอนนี้แหละ รถมาจอดรอที่หน้าประตูแล้ว”
“รีบร้อนขนาดนั้นเลยเหรอคะ ฉันอยากจะเชิญคุณไปทานอาหารด้วยกันก่อน พอดีว่าเจียงอวี่ได้พบกับน้องสาวที่หายตัวไปของเขาแล้วค่ะ” ซูเถาตกตะลึง
จากนั้นหัวหน้าสวี่ก็กลับมามีสติอีกครั้ง จากนั้นก็พูดออกมาด้วยความยินดี
“ผมคงต้องฝากให้คุณไปแสดงความยินดีกับเขาแทนผมด้วย และในอนาคตก็ขอให้พวกเขาประสบความสำเร็จและสุขภาพแข็งแรง”
ซูเถาพยักหน้า
ในขณะเดียวกันรถที่รออยู่หน้าประตูก็กะพริบไฟสองครั้งราวกับจะกระตุ้นให้เขาขึ้นรถอย่างรวดเร็ว
สวี่ฉางจึงรีบปลีกตัวออกไป จากนั้นเขาก็หันศีรษะมาพูดกับซูเถา “ส่วนเหอเหอ…ผมคงต้องขอรบกวนคุณด้วย เชื่อผมนะ ฉางจิงจะไม่เพียงแต่ยอมรับเถาหยางเท่านั้น แต่อาจมีเซอร์ไพรส์รอคุณอยู่ในไม่ช้า”
ซูเถาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาหมายความว่าอย่างไร เธอได้แต่มองดูเขารีบวิ่งเข้าไปในรถ และมุ่งหน้าไปทางตอนเหนือ ในขณะที่ภายนอกนั้นปกคลุมไปด้วยอากาศที่หนาวเย็น
ในคืนวันนั้น เจียงอวี่ก็เต็มไปด้วยความสุข แต่ใครจะไปรู้ว่าความสามารถในการดื่มของเขานั้นต่ำมาก เขาดื่มไปเพียงสองแก้ว พอเข้าแก้วที่สามเขาก็เริ่มวิงเวียนและล้มลง
เมื่อเขามองไปที่น้องสาวที่เรียบร้อยและสงบเงียบของเขา ก็รู้สึกราวกับว่ากำลังฝันไป เขาเอ่ยออกมาด้วยความเมามาย
“ถงถง พี่ตามหาน้องเจอแล้วจริง ๆ ใช่ไหม”
เจียงถงมองไปที่เขาโดยไม่พยักหน้าหรือส่ายหัว
เจียงอวี่มีความสุขอย่างท่วมท้น คำถามของเขาไม่ต้องการให้เธอเอ่ยตอบ เขาเอื้อมมือไปจับมือเล็ก ๆ ของเธอแล้วพูดว่า “น้องชอบเถาหยางไหม ต่อแต่นี้ไปพี่จะตั้งใจทำงาน แล้วน้องก็ตั้งใจเรียนหนังสือไปนะ ไม่ต้องคอยกังวลอะไรทั้งนั้น เรื่องก่อนหน้านี้จบลงแล้ว อยู่ในเถาหยางจะไม่มีใครทำร้ายน้องได้อีก เอ๋ ทำไมน้องไม่กินข้าวล่ะ”
เจียงถงจึงกินอาหารเข้าไปสองคำเป็นเชิงสัญลักษณ์
รสชาติของอาหารมนุษย์ทำให้เธอกลืนมันได้ยากลำบาก เธอจึงขอตัวไปเข้าห้องน้ำที่อยู่ในห้องที่เชื่อมต่อกัน และอาเจียนทุกอย่างที่กินเข้าไปในชักโครก จากนั้นก็ลุกขึ้นนั่งบนโถส้วม พร้อมกับถอดแว่นออก และจ้องมองอย่างว่างเปล่า
เธอมองไปที่หน้าต่างเล็ก ๆ นอกหน้าต่างนั้นคือค่ำคืนที่มืดมิด มันคือความเหงาและอิสรภาพ และนั่นคือที่ที่เธอควรไป
ในเวลานี้ ผู้คนด้านนอกก็กำลังพูดคุยกัน
เฉินซีและซูเถาก็ทยอยเข้ามาในห้อง “พี่เถาจื่อ ถงถงดูเป็นคนเก็บตัวมาก วันนี้หนูคุยกับเธอ แต่เธอไม่สนใจหนูเท่าไหร่ หนูแอบเสียใจนิดหน่อย”
เฉินซีตั้งตารอการมาถึงของเจียงถงไม่เพียงแต่เตรียมของขวัญ แต่ยังวางแผนที่จะพาเจียงถงไปทำความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมในช่วงสองสามวันที่ผ่านมาด้วย โดยพยายามทำให้เธอเข้ากับเถาหยางได้อย่างรวดเร็วและลืมความทุกข์ก่อนหน้านี้
แต่เมื่อเธอได้เจอ ก็เหมือนโดนเจียงถงสาดน้ำเย็นใส่
เจียงถงเย็นชาเกินไป เธอไม่คุยกับใครเลยนอกจากเจียงอวี่พี่ชายของเธอ
ความเย็นชาและการต่อต้านผู้คนแบบนั้นทำให้ความตื่นเต้นยินดีของเฉินซีลดลงทันที
ซูเถาเลยปลอบโยนเธอ “ถงถงเพิ่งมาถึง เธอยังไม่คุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมที่นี่ เป็นเรื่องปกติที่เธอจะเก็บตัว หลังจากผ่านไปวันสองวัน เธอก็จะชินไปเอง อย่างไรก็ตาม ฉันเห็นว่าเธอไม่ค่อยทานมื้อเย็นเท่าไหร่ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะว่าไม่ชอบ หรือเพราะปวดท้อง แต่พี่ก็เดาไว้ว่าเธอน่าจะรู้สึกไม่ค่อยสบายท้อง ยังไงเราให้อาจงช่วยตรวจและให้ยาบรรเทาแก่เธอหน่อยนะ เธอจะได้รู้สึกสบายท้องมากขึ้น”
เพราะโดยปกติแล้ว ในบรรดาผู้รอดชีวิตที่ไร้ที่อยู่อาศัยมาเป็นเวลานาน เก้าในสิบคนจะมีอาการท้องอืดเนื่องจากการรับประทานอาหารที่ผิดปกติ และได้รับประทานอาหารที่ไม่ดีไป
บางครั้งเมื่อเห็นอาหารอร่อย ๆ ที่อยู่ด้านหน้าก็จะรู้สึกว่ากระเพาะได้รับอะไรที่หนักมากเกินไป หลังจากกินอาหารไปเพียงคำสองคำ ก็อาจจะรู้สึกเหมือนอยากอาเจียนหรือท้องร่วงได้
เมื่อเฉินซีได้ยินดังนั้น เธอก็พอจะเข้าใจอะไรมากขึ้นและพยักหน้าอย่างแรง
“ก่อนหน้านี้เธอคงเจอเรื่องอะไรมามากมาย หนูให้อภัยเธอได้!”
……
เจียงถงรอให้ทั้งสองออกไปก่อน จากนั้นจึงค่อย ๆ ผลักประตูออกไป เธอรู้สึกงงงวยกับสิ่งที่ได้ยิน และไม่เข้าใจว่าทำไมคนแปลกหน้าถึงห่วงใยเธอมากขนาดนี้
เธอคิดว่าจะมีแค่พี่ชายเท่านั้นที่คอยเป็นห่วงเธอ
เธอไม่อยากจะเชื่อ บางทีพวกเธอทั้งสองคนอาจรู้ว่าเธออยู่ข้างใน และตั้งใจพูดออกมาให้เธอได้ยิน
แต่ทำไมถึงตั้งใจพูดให้เธอได้ยิน?
เพราะว่ามนุษย์…มีเล่ห์เหลี่ยมมากมาย
เจียงถงสวมแว่นตาหนา ๆ กลับเข้าไปอีกครั้ง ทันใดนั้นรูม่านตาข้างซ้ายของเธอก็แยกออกเป็นหลายส่วนซ้อนกันในตา
เธอต้องใช้เวลาสักพักกว่าจะปรับตัวให้เข้ากับค่าสายตาที่สูงของแว่นได้
หลังจากที่เธอกลับมาที่โต๊ะอาหาร ก็ได้เห็นเจียงอวี่ที่กำลังเมามาย เธอจึงไปขอซุปแก้เมาค้างจากพ่อครัวฉิน
พ่อครัวฉินตะโกนใส่เธอ ในขณะที่หมุนหม้อต้ม “เสี่ยวถง! หลังจากนี้อยากกินอะไรบอกฉันได้ตลอดนะ ไม่ต้องเกรงใจ ดูสิเธอผอมขนาดไหน พวกเธอพี่น้องต้องเพิ่มน้ำหนักแล้วนะ!”
ภรรยาของพ่อครัวฉินที่กำลังเช็ดจานอยู่ข้าง ๆ ก็ยิ้มอย่างเป็นมิตรและอ่อนโยนให้เจียงถง ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความรักความเอ็นดู
เจียงถงถือถ้วยซุปสำหรับแก้อาการเมาค้างอยู่สักพัก
สองคนนี้ก็เป็นคนแปลกหน้าสำหรับเธอเช่นเดียวกัน ทำไมพวกเขาถึงกระตือรือร้นกับเธอนัก
เธอเอาซุปแก้อาการเมาค้างมาวางตรงหน้าเจียงอวี่โดยไม่พูดอะไร และจ้องมองไปที่พี่ชายของเธอ
ในขณะที่เจียงอวี่ก็รู้สึกซาบซึ้ง
แม้ว่าเขาจะไม่ได้เจอน้องสาวเป็นเวลานาน แต่เขาก็รู้สึกดีมากเมื่อเห็นว่าน้องสาวยังเป็นห่วงเป็นใยเขา
หลังจากงานเลี้ยงต้อนรับ เห็นได้ชัดว่าเจียงอวี่ขี้เมา และพูดมากกว่าปกติ เขาถอดหน้ากากความเป็นพี่ชายเย็นชาออกจนหมด กลายเป็นพี่ชายที่ดี เขาคอยกล่าวขอบคุณทุกคนในรูปแบบต่าง ๆ
เขายังดึงเซิ่งอวี๋หลันมาและคอยพูดกับเธออยู่ตลอดว่า ขอให้อาจารย์เสี่ยวเซิ่งมาเป็นครูของเจียงถง เขาอยากให้เจียงถงอ่านออกเขียนได้
แน่นอนว่าเซิ่งอวี๋หลันตอบตกลงโดยไม่ต้องคิด
เจียงอวี่ผู้ที่กำลังตกอยู่ในอาการมึนเมาก็รู้สึกพึงพอใจและมีความสุข
จวงหว่านกับซูเถายังรวมหัวกันหยอกล้อเขาอีกด้วย “ไม่คิดมาก่อนเลยว่าเจียงอวี่จะมีมุมนี้อยู่ด้วย ฉันเห็นเขาเป็นคนเย็นชาคนหนึ่งที่ติดตามอยู่ข้างกายคุณตลอด ดูเหมือนว่าเจียงถงจะมีความสำคัญต่อเขามาก จากวันนี้ไป เขาคงจะติดตามคุณอย่างสุดใจ”
แต่จู่ ๆ ซูเถาก็พูดว่า “ให้เฉินซีคอยติดต่อพูดคุยกับถงถงให้มากขึ้น คนที่รุ่นราวคราวเดียวกันน่าจะทำความคุ้นเคยกันได้เร็ว หากว่ามีอะไรเธอจะได้บอกฉันโดยไว”
ให้เฉินซีทำหน้าที่ติดตามเจียงถงกลาย ๆ
ไม่รู้ว่าทำไมซูเถาจึงคิดทำสิ่งนี้ แต่ในใจของเธอมีเสียงบอกให้เธอสนใจเจียงถงมากขึ้น
จวงหว่านที่ไม่ได้คิดมากเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย ก็ตกลงด้วยรอยยิ้ม
ซูเถาหันไปถาม “ได้รับข่าวคราวจากเฉินหยางบ้างไหมคะ”
ทันใดนั้นรอยยิ้มของจวงหว่านก็ลดลง เธอส่ายศีรษะแล้วพูดว่า “ไม่ แต่เขาจะไปไหนก็เรื่องของเขา ฉันไม่สน”
“พี่ก็ปากแข็งเหมือนกันนะคะ ตอนนี้ฉันขอให้กานหงอวี้ติดตั้งตัวระบุตำแหน่งกับเขาเหมือนกับที่ฉันติดเฮยจือหม่า เพื่อตรวจสอบตำแหน่งของเขา ตอนนี้เขาไปถึงอี้เจียงแล้วค่ะ วันพรุ่งนี้เขาน่าจะได้พบกับเหลยสิง” ซูเถาหัวเราะเบา ๆ
ขอบตาของจวงหว่านแดงขึ้นทันที “ขอบคุณ…”
มันเป็นไปไม่ได้หรอกที่คนเป็นแม่จะไม่สนใจลูกตัวเองและตัดขาดได้ลง
ทุกก้าวที่เฉินหยางก้าวออกไปจากเถาหยางนั้น เทียบเท่ากับการเดินอยู่บนปลายมีด
เธอไม่กล้าที่จะตรวจสอบด้วยตัวเอง หรือสอบถามข่าวใด ๆ เกี่ยวกับเฉินหยางเพราะกลัวว่าจะได้ยินเรื่องไม่ดี
คำพูดของซูเถาเป็นยาปลอบใจที่ทรงพลังอย่างไม่ต้องสงสัย ซึ่งทำให้ในที่สุดเธอก็โล่งใจไม่น้อย และถึงกับร้องไห้ออกมาด้วยความดีใจ
จงเกาอี้ซึ่งกำลังจะโทรหานายจ้างเก่าของเขาเพื่อพูดคุยเกี่ยวกับยาที่ทางเถาหยางมี ก็หันไปเห็นภรรยาของเขาร้องไห้จากระยะไกล เขาจึงรีบเข้าไปหาเธอทันที