ฉันเป็นเศรษฐีอสังหาฯในวันสิ้นโลก - ตอนที่ 394 ปลุกพลัง
ตอนที่ 394 ปลุกพลัง
ซูเถาจับมือเจียงอวี่เอาไว้มั่น “ตราบใดที่คุณไม่เห็นด้วย ฉันก็จะปฏิเสธแผนนี้…”
เรื่องของเจียงถงคงไม่สามารถปิดเป็นความลับได้นาน เพราะตอนนี้ตงหยางได้รับรายงานแล้วว่ามีซอมบี้กลายพันธุ์สองตัวที่ออกล่ามนุษย์
เธอเลยคิดที่จะใช้วิธีล่อให้เจียงถงมาเป็นตัวทดลอง และฉางจิงก็คงคิดแบบเดียวกันว่าวิธีนี้เป็นวิธีที่ดีและรวดเร็วที่สุด
แต่ตราบใดที่เจียงอวี่ไม่เห็นด้วย เธอก็ยินดีที่จะต่อสู้กับฉางจิง ผู้ที่มีอำนาจแข็งแกร่งที่สุด และพยายามทำทุกทางเพื่อจับฮว่าผีหรือซอมบี้กลายพันธุ์ตัวอื่น ๆ มาเป็นตัวทดลองแทน
แต่เจียงอวี่ก้มหน้าลงและพูดออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “ผมเห็นด้วย…”
จู่ ๆ หัวใจของซูเถาก็ร่วงลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม “คุณ…”
จากนั้นเจียงอวี่ก็ลุกขึ้นทันที เขาหันหลังแล้วพูดว่า
“ช่วงนี้ผมก็เอาแต่คิดเรื่องถงถง หากปล่อยเธอไป เธอก็จะทำให้เพื่อนร่วมโลกตายมากกว่านี้ แต่ถ้าเก็บเธอไว้ การที่ผมและเธอต้องเผชิญหน้ากันล้วนมีแต่ความทรมาน… หากใช้เธอเป็นตัวทดลอง อาจเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับเธอเช่นกัน”
หัวใจของซูเถาปวดร้าว เธอเกลียดโลกที่ทรุดโทรมและสิ้นหวังนี้ที่สุด
หากไม่ใช่เพราะจุดจบของโลกและไวรัสแพร่กระจาย ทุกคนก็จะสามารถใช้ชีวิตและทำงานได้อย่างสงบสุขและมีความสุข โดยไม่มีโศกนาฏกรรมอย่างโบนวิงส์หรือเจียงถงอีกต่อไป
เจียงอวี่ค่อย ๆ หายไปในเงามืด “…ขอบคุณที่เลือกบอกความจริงกับผม ผมจะ…ให้ความร่วมมือกับการทำงาน”
ลมกระโชกแรงพัดในห้องทำงานของเธอ จนกระทั่งเหลือเพียงซูเถาภายในห้อง
คืนนั้นเธอนอนไม่ค่อยหลับทั้งคืน ชั่วครู่หนึ่งเธอก็ฝันว่าเจียงอวี่และน้องสาวกำลังฆ่าฟันกัน และสักพักเธอก็ฝันว่าร่างกายเจียงถงซึ่งเปียกโชกไปด้วยของเหลวที่ถูกแช่อยู่ในห้องทดลอง มาขอความช่วยเหลือจากเธอ
เธอต้องการที่จะทำลายหลอดทดลอง แต่เธอก็ไม่สามารถทำลายกระจกนิรภัยได้
นอกจากนี้เธอยังฝันว่าผู้เช่าที่ตายแล้วตำหนิว่าเธอไม่สนใจสถานการณ์โดยรวม หากเธอเสียสละเจียงถงก่อนหน้านี้ บางทีอาจหลีกเลี่ยงโศกนาฏกรรมของฮว่าผีที่ฆ่ามนุษย์ได้
อีกทั้งเธอยังฝันถึงโบนวิงส์ที่ลืมตาขึ้นอย่างสวยงาม และส่งยิ้มให้เธอแปลก ๆ มันขยับริมฝีปากราวกับต้องการพูดกับเธอ “ฉันมีพวกเดียวกัน แกจับฉันไม่ได้หรอก…”
ซูเถาสะดุ้งตื่นขึ้นทันที
“เถาเถา? เป็นอะไรไป?”
ซูเถาเห็นสือจื่อจิ้นนั่งอยู่บนหัวเตียง ยื่นแขนออกมาราวกับต้องการปลอบเธอ แต่มือของเขากลับทะลุผ่านร่างของเธอไป ไม่สามารถสัมผัสร่างกายเธอได้
ภายนอกหน้าต่างยังเป็นเวลากลางคืน
ซูเถาไม่ทันได้สนใจว่าเขาบุกรุกเข้ามาในห้องนอนของเธอ เธอกุมศีรษะแล้วพูดว่า “ช่วงนี้ฉันรู้สึกเหนื่อยมาก ไม่เคยเหนื่อยขนาดนี้มาก่อน”
นอกจากนี้ ไม่รู้เป็นผลทางจิตใจหรือเปล่า แต่เธอรู้สึกว่าเธอเจ็บปวดภายในร่างกายด้วย
ตัวอย่างเช่น ศีรษะ หัวไหล่ แขน ขา… ล้วนมีระดับความเจ็บปวดที่แตกต่างกัน
ความรู้สึกนั้นไม่ชัดเจนนัก แต่ก็รู้สึกอยู่ตลอด
สือจื่อจิ้นคิดเพียงว่าเธอคิดมากเกินไป “คุณพยายามลดความรู้สึกผิดลงเถอะ คุณทำได้ดีแล้ว”
หลังจากพูดแบบนี้ เขาก็เรียกหลิงอวี่ที่กำลังงีบหลับอยู่บนขอบหน้าต่างให้เข้ามาหา และให้มันไปหยิบขวดนมที่ตู้เย็นมา
เมื่อเครื่องมือดักฟังอย่างหลิงอวี่เอานมมาให้ซูเถาเรียบร้อย จากนั้นมันก็กลับไปที่ขอบหน้าต่างเพื่องีบหลับต่อ
ซูเถาเปิดนมด้วยตัวเองและดื่มจนหมดในอึกเดียว จากนั้นเธอก็รู้สึกได้ว่าเธอออกมาจากความฝันที่ซับซ้อนนั้น
แต่ในวินาทีต่อมา ภาพเบื้องหน้าของเธอเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน ขวดนมเปล่าในมือของเธอถูกหลิงอวี่คว้าขึ้นมาและโยนลงถังขยะ จากนั้นเธอก็นำขยะไปโยนทิ้งที่จุดทิ้งขยะในเถาหยางในเช้าวันหนึ่ง และไม่รู้ว่าใช้เวลานานแค่ไหนกว่าที่ขยะเหล่านั้นจะถูกขนออกจากเถาหยางและเผาไปพร้อมกับขยะกองโต
เมื่อเปลวไฟดับลง ซูเถาก็กลับมารู้สึกตัวและภาพตรงหน้าก็กลายเป็นห้องนอนของเธอเองอีกครั้ง เมื่อเธอมองลงไป ขวดนมเปล่าที่อยู่ในมือยังมีสภาพดีไม่บุบสลาย
ปากของเธออ้าออกกว้าง
เมื่อกี้เธอเห็นอะไร? อนาคตของขวดนมเหรอ?
เธอยกผ้าห่มขึ้นทันที พร้อมกับสวมรองเท้าแล้วลุกจากเตียง เมื่อเธอแตะเฟอร์นิเจอร์ทั้งหมดในบ้าน เธอก็สามารถ ‘มองเห็น’ อนาคตได้เกือบทุกอย่าง
เธอถึงกับ ‘เห็น’ ว่าเฮยจือหม่าจะเอาอุ้งเท้าสกปรกของมันจุ่มลงแก้วน้ำดื่มของเธอเพื่อล้างเท้าในเช้าวันพรุ่งนี้
ในเวลาเดียวกัน เสียงในหัวของเธอก็ชัดเจนขึ้นและชัดเจนขึ้น
การทำนายหรือการสัมผัสสิ่งใด ก็สามารถทำนายได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอีกสามเดือนข้างหน้า
เมื่อเธอต้องการสัมผัสสิ่งมีชีวิตอย่างหลิงอวี่ เธอก็พบว่าเธอเริ่มมีอาการเหนื่อยล้า และความเจ็บปวดในร่างกายของเธอก็ชัดเจนมากขึ้นเรื่อย ๆ
ในเวลาเดียวกัน ภาพที่คาดเดาได้ต่าง ๆ นานาก็เริ่มแล่นผ่านเข้ามาในหัว ทำให้เธอปวดศีรษะจนแทบขาดใจ
เมื่อสือจื่อจิ้นสังเกตเห็นความผิดปกติของเธอ เขาก็ใช้ ‘สายตาสำรวจ’ ของเขามองที่เธอทันทีและหยุดเธอ
“คุณกำลังจะปลุกพลังได้! อย่าเพิ่งใช้พลังวิเศษ ไม่งั้นจะเสียการควบคุมเอาง่าย ๆ!”
ซูเถานั่งนิ่งอยู่บนเตียงแล้วถามว่า
“ฉันรู้สึกเหมือนหัวกับตัวกำลังจะแยกออกจากกัน เป็นเรื่องปกติหรือเปล่า”
“ปกติ กระบวนการปลุกพลังวิเศษส่วนใหญ่จะเหมือนกับการเจ็บป่วย และคุณจะสบายดีหากผ่านมันไปได้ ไม่ต้องกังวล มันเป็นเรื่องที่ดี”
เมื่อซูเถาได้ยินคำว่า ‘ปกติ’ เธอก็โล่งอกจนเป็นลมล้มลงไป ไม่ทันได้ยินคำอธิบายของเขา
……
ในเวลาเดียวกัน ในพื้นที่รกร้างนอกตงหยาง
ฮว่าผีเพิ่งถลกหนัง ‘เหยื่อ’ ที่มันจับได้
ผิวหนังของมนุษย์ที่ไม่บุบสลายและยังคงมีอุณหภูมิเหมือนเดิม
ฮว่าผีสัมผัสมันอย่างหลงใหล และจัดการกับคราบเลือดอย่างระมัดระวัง พร้อมกับพับมันและใส่ไว้ในกระเป๋าของตัวเอง
ขณะที่กำลังจะเพลิดเพลินกับ ‘อาหาร’ ที่ปอกเปลือกแล้ว เธอก็เห็นเจียงถงอยู่ไม่ไกล
เจียงถงตอบว่า “ฉันจะไปแล้ว”
ฮว่าผีไม่เข้าใจ “เธอกำลังจะไปไหน”
เจียงถงพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย “คุณจะไปด้วยกันไหม ถ้าไม่ไป ฉันจะไปเอง”
ฮว่าผีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและเบิกตากว้าง พร้อมกับเปิดเผยความลำบากใจที่เจียงถงมีอย่างไร้ความปรานี
“สองสามวันที่ผ่านมาเธอเอาแต่ลังเล สุดท้ายก็ไม่ได้ลงมือ แถมยังคิดจะหนีราวกับว่าไม่อยากเจอพี่ชายตัวเองอีกต่อไป”
เจียงถงกำกำปั้นของเธอแล้วปล่อย แต่ไม่ได้พูดอะไร เธอหันหลังกลับและเดินไปยังถนนทางเหนือที่รกร้าง
ใบหน้าของฮว่าผีสลดลง และเสียงของเธอก็ฟังดูเลือดเย็นมากขึ้นเรื่อย ๆ
“เหยียนจ่ง เธอทำให้ฉันรู้สึกว่าเธอเหมือนมนุษย์มากขึ้นทุกที ซอมบี้ที่พัฒนาอย่างสมบูรณ์แบบจะไม่มีอารมณ์และความกังวลที่ไร้ค่าอย่างเธอ”
เจียงถงหันศีรษะไปมองด้านข้างแล้วเอ่ยว่า “คุณไม่เข้าใจ คุณรู้แค่วิธีฆ่าคนและถลกหนังพวกเขา”
ฮว่าผีเหล่ไปทางด้านหลังของเจียงถงที่เดินจากไปพร้อมกับแสงเย็นวาบในดวงตา
เธอประเมินเหยียนจ่งสูงเกินไปจริง ๆ
คิดไม่ถึงว่าเธอจะมีอารมณ์ของมนุษย์ระดับต่ำเช่นนี้ เธอไม่คู่ควรที่จะเป็นประเภทเดียวกัน
ฮว่าผีรู้สึกอาฆาตแค้นอยู่ในใจ แต่เธอก็เย้ยหยันอย่างรวดเร็ว
ในฐานะที่เป็นซอมบี้ หากเธอมีหัวใจให้กับมนุษย์ วันหนึ่งมนุษย์ก็จะโจมตีเธออย่างหนัก ทำให้เธอไม่สามารถลุกขึ้นได้อีกตลอดกาล
ฮว่าผีมองไปในทิศทางของเถาหยาง
เธอเพิ่งได้ยินมาว่ามีซอมบี้ประเภทเดียวกันถูกคุมขังอยู่ที่นั่นจริง ๆ