ฉันเป็นเศรษฐีอสังหาฯในวันสิ้นโลก - ตอนที่ 41 มีอาคารสำนักงานเถาหยางที่เพิ่มขึ้น
ตอนที่ 41 มีอาคารสำนักงานเถาหยางที่เพิ่มขึ้น
ตอนที่ 41 มีอาคารสำนักงานเถาหยางที่เพิ่มขึ้น
กวานจือหนิงตบหน้าเหม่ยซิ่งเสียนอย่างแรง “ใครใช้ให้แกลุกขึ้นมา คุกเข่าลง!”
หลังจากนั้นก็หันไปถามซูเถา “จะจัดการยังไงดี”
ซูเถายักไหล่ “ในเมื่อเขารู้หมดแล้ว ก็พากลับไปให้ผู้อาวุโสเหม่ยตัดสินใจเถอะ ยังไงเขาก็ไม่ใช่ลูกชายฉัน”
“ก็ใช่” กวานจือหนิงยกเขาขึ้นอย่างง่ายดาย เอาปืนจ่อก้น แล้วขู่ให้ขึ้นไปหลังรถ
จวงหว่านโทรหาผู้อาวุโสเหม่ย และอธิบายเหตุการณ์คร่าว ๆ ให้เขาฟัง เมื่อถึงเถาหยาง ก็เห็นเสี่ยวพ่านเข็นรถผู้อาวุโสเหม่ยมาแต่ไกล
“พ่อ!” เหม่ยซิ่งเสียนเห็นเขาก็ตะโกนเรียกเสียงดัง
ผู้อาวุโสเหม่ยไม่ได้สนใจอีกฝ่าย และเอาแต่ขอโทษซูเถา
“เถ้าแก่ซู ต้องขอโทษจริง ๆ ที่ลูกของฉันไปสร้างความลำบากให้คุณแล้ว คุณกับคุณกวานกลับไปก่อนเถอะ ที่เหลือฉันจะจัดการมันเอง”
เหม่ยซิ่งเสียนรู้สึกเหลือเชื่อมาก พ่อแท้ ๆ ของเขารู้จักที่จะพูดขอโทษเป็นตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วยังเกรงใจเด็กคนนี้ขนาดนี้เลยเหรอ เขากวาดสายตามองพ่อของตน แม้ว่าขาจะยังเดินไม่สะดวก แต่ก็ใส่เสื้อผ้าสะอาดสะอ้าน สุขภาพจิตก็ดีกว่าเมื่อก่อนมาก และยังมีเด็กสาวหน้าตาน่าเอ็นดูคอยปรนนิบัติอีก
เหม่ยซิ่งเสียนรู้สึกโกรธ จึงพูดประชดประชันออกไป “พ่อ ที่เถาหยางนี่ให้ผลประโยชน์พ่อเท่าไหร่…ผมอยู่ข้างนอกที่คูน้ำเหม็นเน่านั่น แต่งงานกับเมียที่ทั้งขี้เหร่ทั้งโง่ แถมยังไม่ดีเท่าคนที่คอยดูแลพ่ออยู่ข้าง ๆ นี้เลยด้วยซ้ำ”
เพียะ!
เขายังพูดไม่ทันจบ ผู้อาวุโสเหม่ยก็ยกมือขึ้นตบหน้าเขาอย่างแรง
“ตบครั้งนี้ เป็นการสั่งสอนที่แกเสียมารยาทกับเถ้าแก่ซูและคุณกวาน ไสหัวไปซะ ถือโอกาสตอนที่ฉันยังไม่เปลี่ยนใจ ถ้าแกหายไปตอนนี้ยังมีโอกาสได้แบ่งโควตาของฉันไป”
เหม่ยซิ่งเสียนงุนงง แต่เมื่อได้ยินคำพูดที่ตอบกลับมานั้น ก็ทำตัวหน้าด้านหน้าทน พูดจาแกมโกงขึ้นมาทันที
“ครับ ๆ เป็นผมที่ผิดไปแล้ว พ่อทำได้ดีมาก ผมรู้ว่าพ่อคงเมินเฉยผมไม่ได้หรอก ผมจะไปเดี๋ยวนี้แหละ แต่พ่อจะโกหกเพื่อเกลี้ยกล่อมให้ผมกลับไปไม่ได้หรอก พ่อก็รู้ว่าผมเป็นคนที่หมกมุ่นมาตั้งแต่เด็ก ถ้าสิ่งไหนที่ต้องการแล้วยังไม่ได้ตามเป้าก็จะไม่หยุด”
“รู้แล้ว อีกสามวันแกค่อยมาใหม่ รีบไสหัวไปเถอะ” ผู้อาวุโสเหม่ยโบกมือไล่
เหม่ยซิ่งเสียนจัดระเบียบเสื้อผ้า มองไปที่ประตูใหญ่ของเถาหยางอย่างละโมบโลภมาก แม้จะไม่เคยเห็นที่นี่ แต่เขาก็รู้จากสื่อโซเชียลว่าข้างในราวกับวิมานสวรรค์… เขาไม่รีบร้อน ยังไงเขาต้องได้อยู่ที่นี่แน่นอน
เมื่อคนคดโกงจากไปแล้ว หลิวพ่านพ่านจึงมองผู้อาวุโสเหม่ยด้วยความกังวล
เหม่ยหงอี้กระแอมสองครั้ง และกล่าวว่า “เสี่ยวพ่าน ฉันขอรบกวนเธออีกสักครั้ง เธอไปหาลูกสะใภ้ของฉันที่บ้านเก่าฉันให้หน่อย จำไว้ว่าอย่าให้ลูกชายฉันเห็น และบอกเธอว่า ‘เหม่ยซิ่งเสียนอยากทิ้งเธอเพื่อมาเสพสุขที่เถาหยาง’”
ด้วยความฉุนเฉียวของถานฟางชุน จะต้องทะเลาะกับเหม่ยซิ่งเสียนจนใหญ่โตแน่
หลิวพ่านพ่านตกใจเล็กน้อย แล้วก็ยิ้มตอบรับอย่างยินดี
ก่อนมื้อกลางวัน พ่อแม่ของสิงซูอวี่มาลงทะเบียนตามที่ตกลงกันไว้
เมื่อจวงหว่านจัดการลูกทั้งสองแล้ว ก็พาทั้งคู่ไปดำเนินการตามขั้นตอน
ซูเถาที่อยู่ห้องของตัวเองก็ได้รับเงินค่าเช่ารายไตรมาสหกหมื่น และช่วยบรรเทาความจำเป็นเร่งด่วนของเธอไปได้มาก ในที่สุดคืนนี้ก็สามารถสร้างอาคารสำนักงานได้แล้ว
ไม่แน่อาจจะมีเหลือไว้สร้างทางเดินและระเบียงด้วย
สิงซูอวี่เชิดหน้าขึ้นและเอ่ยต่อหน้าพ่อแม่ว่า
“ก่อนหน้านี้ฉันบอกพ่อกับแม่แล้วใช่ไหมว่ามาที่เถาหยางจะกินดีอยู่ดี พ่อกับแม่ก็ไม่เชื่อ ตอนนี้รู้รึยังล่ะ”
แม่สิงยิ้ม “ดูเธอพูดเข้าสิ พูดอย่างกับเป็นบ้านตัวเอง เรามาที่นี่ในฐานะแขก ชั้นหนึ่งของที่นี่ยังมีห้องประชุมเล็กด้วยเหรอ มีโซฟากับโต๊ะชาด้วยเหรอเนี่ย?” เธอพูดพลางนั่งลูบผิวโซฟา และถามด้วยความแปลกใจ
“ของใหม่เหรอ โซฟาพวกนั้นของเราใช้มายี่สิบปีได้แล้ว และไม่ได้ซื้อตัวใหม่ที่เหมาะสมเลย หลังเกิดภัยพิบัติในศูนย์การค้าตงหยางแทบจะไม่มีเฟอร์นิเจอร์มือสองแล้ว โซฟาในส่วนกลางนี้เป็นของใหม่ใช่ไหม”
จวงหว่านยิ้มแต่ไม่ได้พูดอะไร
สิงซูอวี่รู้สึกเป็นเกียรติมาก
พ่อสิงจัดแว่นตา มองประเมินแล้วแสดงความคิดเห็นเพียงสองคำ “ไม่เลว”
จวงหว่านนำพวกเขาไปที่ห้องใหม่ ก่อนจะเปิดประตูแล้วเอ่ยขึ้น
“พื้นที่หนึ่งห้องนอนหนึ่งห้องนั่งเล่น เฟอร์นิเจอร์ในบ้านสมบูรณ์ไม่มีตำหนิ มีเครื่องซักผ้าและเครื่องอบผ้าอยู่ที่ระเบียง ถ้าต้องการกินข้าวตอนนี้มีโรงอาหารอยู่ด้านหลังค่ะ”
แม่สิงมองการตกแต่งแล้วรู้สึกชอบมา “สวยและสะอาดมาก มีพรมด้วยเหรอ แสงก็ดี คุณจวง ห้องที่นี่ของพวกคุณปล่อยขายไหม”
จวงหว่านนิ่งไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ยขึ้น “เดี๋ยวต้องขอกลับไปถามเจ้านายของเราก่อนนะคะ”
คุณแม่สิงยิ่งเห็นก็ยิ่งชอบ ถึงกับจับมือจวงหว่านมาคุย
“ถามให้ฉันหน่อยนะ เรื่องราคาเจรจากันได้ ให้เถ้าแก่ซูเป็นคนเปิด พวกเรามีคะแนนสมทบอีกนิดหน่อยสามารถจ่ายได้ ถ้าต่อไปมีห้องแบบอื่น ๆ อีก ก็รบกวนบอกพวกเราด้วยนะ ญาติผู้ใหญ่ที่บ้านตอนนี้ก็อายุมากแล้ว สมควรใช้เวลาให้มีความสุขได้แล้ว”
เมื่อซูเถารู้เรื่องนี้ก็อึ้งไปเล็กน้อย เธอก็ไม่รู้จริง ๆ ว่าจะขายได้ไหม หญิงสาวไปค้นหาในการจัดการเช่าอยู่นาน แต่ก็ไม่เจอคำว่าขาย นอกจากนี้ยังไปค้นหาในการตั้งค่าทั่วไปอีก แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่พบ
เนื่องจากเป็นระบบเจ้าของอสังหาฯ คิดว่าคงไม่สามารถขายได้…
จวงหว่านยังรู้สึกเสียดายอยู่เล็กน้อย “ฉันฟังจากความหมายที่คุณนายสิงพูดแล้ว ราคาสองล้านเธอก็สามารถซื้อได้ ส่วนคะแนนสมทบก็คิดว่าคงมีไม่น้อย”
ซูเถารู้สึกเข็ดฟันเลย สองล้าน รวยได้ทันทีเลยนะ
บ้านของสิงซูอวี่รวยจริง ๆ
นอกจากเถ้าแก่อย่างเธอ คิดว่าผู้เช่าของเธอน่าจะรวยกว่าเธอหมดเลย แม้กระทั่งจวงหว่าน เพราะความเสียสละของจวงหู่เธอจึงได้เงินชดเชยมาจำนวนสามล้านหกแสน และยังมีคะแนนสมทบอีกหนึ่งหมื่นคะแนน
ในใจของซูเถากำลังเปียกปอน
จวงหว่านนำเอกสารปึกหนึ่งออกมาจากตู้เสื้อผ้าตัวเอง ซึ่งต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการนำออกมา ในใจคิดอยู่ว่าคราวหน้าไปทำงานอาคารส่วนกลางชั้นหนึ่งดีกว่า แต่ก็กลัวว่าเอกสารจะได้รับความเสียหาย
หรือไปที่ระเบียงดีกว่า เธอจึงวางแฟ้มเอกสารไว้บนเครื่องซักผ้าและหาเก้าอี้มานั่งแก้ขัดไปก่อน
เธอยื่นเอกสารให้ซูเถาและเอ่ยขึ้นว่า
“นี่คือรายชื่อผู้เช่าใหม่สำหรับห้องชุดแบบหนึ่งห้องนอนหนึ่งห้องนั่งเล่นทั้งหมดสี่ห้อง ตั้งแต่ห้อง 005 ถึง 008 ฉันโทรไปสอบถามพวกเขามาแล้ว คุณช่วยดูหน่อยว่าเหมาะสมไหม”
ซูเถานั่งอยู่ข้างเตียงของเฉินซีและเริ่มเปิดดู เมื่อไม่พบปัญหาอะไรจากข้อมูลจึงพยักหน้าและเอ่ย “ไม่มีปัญหาค่ะ หาเวลาให้พวกเขามาดำเนินการเถอะ ช่วงนี้รบกวนพี่แล้วนะ ให้ฉันหาผู้ช่วยให้พี่สักคนไหม”
จวนหว่านคิดอย่างจริงจังครู่หนึ่ง “รอให้ห้องของเราทะลุร้อยห้องไปแล้ว ค่อยหาเพิ่มสักคนก็ได้ ตอนนี้ฉันยังทำไหวอยู่”
ตกกลางคืน ซูเถาลุกขึ้นขยี้ตาเดินมาถึงหน้า ‘กล่องรองเท้า’ ทั้งสองใบ
เธออ้างอิงตามรูปอาคารสำนักงานในยุคก่อนวันสิ้นโลกที่เธอพบบนอินเทอร์เน็ต ทาสีผนังด้วยสีฟ้าเทา มีหน้าต่างสูงจากพื้นจรดเพดาน รอบนอกมีการสร้างกำแพงครึ่งวงกลม และติดตั้งประตูอิเล็กทรอนิกส์ที่ปลดล็อกด้วยลายนิ้วมือ
ชั้นหนึ่งคือห้องนั่งเล่น มีโซฟาทรงกลม พรมแคชเมียร์ และโต๊ะกาแฟขาเตี้ย นอกจากนี้ยังเตรียมตู้น้ำและแก้วน้ำไว้ ชั้นวางหนังสือวางชิดผนัง พร้อมทั้งกระดาษและปากกา
ต่อไปเมื่อมีผู้เช่ารายใหม่เข้ามาสามารถมาดำเนินการที่ชั้นหนึ่งของอาคารสำนักงานได้ หากกระหายก็ดื่มน้ำได้ หรือนั่งพูดคุยกันก็ได้
ชั้นสองเป็นออฟฟิศ
เนื่องจากมีพื้นที่จำกัดจึงวางส่วนทำงานได้เพียง 4 แห่ง แต่ส่วนทำงานจะมีโต๊ะและคอมพิวเตอร์เป็นของตัวเอง มีเก้าอี้หมุนได้เลื่อนได้ ทำให้การนั่งเป็นไปอย่างสบาย
นอกจากนี้ยังมีชั้นวางหนังสือสูงจากพื้นจรดเพดานที่อยู่ถัดจากโต๊ะ เพื่อใช้เก็บเอกสาร พื้นที่ของส่วนทำงานทั้งหมดไม่ถือว่าเล็ก สามารถรองรับคนได้สี่ถึงห้าคน
ทั้งอาคารสำนักงาน มีราคารวมทั้งหมดประมาณ 42,000 เหลียนปัง ซึ่งถือว่าไม่เลว
ซูเถายืนมองอาคารสำนักงานขนาดเล็กทั้งสองชั้นจากข้างล่างด้วยความปรารถนาที่เต็มเปี่ยมในใจ หวังว่าต่อไปจะมีคนมาทำงานที่นี่มากขึ้น เพื่อให้มีคนวางแผนการก่อสร้างในเถาหยางเยอะมากขึ้น
เพื่อให้มีที่พักพิงสำหรับคนจำนวนมากในวันโลกาวินาศ