ฉันเป็นเศรษฐีอสังหาฯในวันสิ้นโลก - ตอนที่ 411 ฝึกเจตจำนง
ตอนที่ 411 ฝึกเจตจำนง
ตอนที่ 411 ฝึกเจตจำนง
ซูเถาไม่รู้ว่าสายนั้นถูกตัดไปตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่เธอก็พยายามอย่างเต็มที่แล้ว และอีกอย่างเธอไม่สามารถแม้แต่จะเป็นเพื่อนกับเขาได้จริง ๆ แบบนี้มันยิ่งทำให้เขาเจ็บปวดเกินไป
บางครั้งความรักก็ไม่มีทางเลือกจริง ๆ ไม่ว่าจะรักหรือไม่รัก มันก็ไม่สามารถหาเหตุผลได้ และเธอเปลี่ยนมันไม่ได้ง่าย ๆ เช่นกัน
ในเช้าวันรุ่งขึ้น ซูเถาพาทุกคนไปต้อนรับกองทัพสนับสนุนฉางจิงและทีมวิจัยที่เดินทางไกลมาถึง
ขบวนคน 3,000 ชีวิตมาจากระยะไกลพร้อมไฟส่องสำรวจ
เมื่อเห็นพิธีต้อนรับดังกล่าว ตั่งเหวยหรานหัวหน้ากองทหารสนับสนุนก็รู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย
เดิมทีเขามีอนาคตที่สดใสในฉางจิง แต่ในขณะที่เขากำลังจะได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นพลเอก เขากลับถูกส่งมาที่เถาหยางเพื่อเป็นผู้นำกองทหารขนาดเล็ก
หลังจากได้รับการแจ้งข่าวนี้ เขาก็ไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง คืนนั้นเอาแต่นอนพลิกไปพลิกมาตลอด และเฝ้าสงสัยว่าเขาทำให้ใครขุ่นเคืองใจหรือเปล่า ถึงจงใจส่งเขามาที่นี่เพื่อทำลายอนาคตของเขา
แม้ว่าเถาหยางจะเป็นผู้มาใหม่ แต่ท่านผู้นำสูงสุดก็เอาแต่ชื่นชมไม่หยุดปาก แต่ไม่ว่าเถาหยางจะมีศักยภาพมากแค่ไหน ก็คงไม่สามารถเปรียบเทียบกับฉางจิงได้ ที่ฉางจิงมีโอกาสก้าวหน้าอีกมาก!
เขารู้สึกว่างเปล่า แม้ว่าตอนนี้เขาจะยืนอยู่ที่ประตูเถาหยางแล้ว แต่ตั่งเหวยหรานก็ไม่เต็มใจที่จะยอมรับมัน เขายังคงคิดว่าเขาจะต้องโยนตัวเองกลับไปที่ฉางจิงให้ได้หากเขามีโอกาส
ดร. หลินสิงจากทีมวิจัยก็มีแนวคิดเดียวกันกับเขาเช่นกัน
กว่าที่เขาจะประสบความสำเร็จในการเป็นนักวิจัยระดับแนวหน้าด้วยผลการวิจัยเรื่อง ‘ความพร้อมในการใช้งานผลึกนิวเคลียสของผู้ที่มีพลังวิเศษ’ เขาก็ต้องเผชิญความยากลำบากมาไม่น้อย
แต่คิดไม่ถึงว่าหลังจากนั้นไม่นานเขาก็ต้องถูกส่งไปที่ฐานขนาดเล็กอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม กำลังใจของเขาดีกว่าตั่งเหวยหราน เพราะท้ายที่สุดหากการวิจัยสำเร็จ เขายังสามารถกลับไปฉางจิงได้ และเขาอาจมีโอกาสได้รับตำแหน่ง
“บิดาแห่งวัคซีนป้องกันหรือกำจัดซอมบี้” ซึ่งแน่นอนว่าหลังจากกลับไปที่ฉางจิง มูลค่าของเขาจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าอย่างแน่นอน
สำหรับทีมวิจัยดั้งเดิมของเถาหยาง เขาไม่ได้ให้ความสนใจเลย
สถาบันวิจัยฉางจิงเป็นทีมอันดับต้น ๆ อยู่แล้ว สิ่งที่พวกเขาไม่สามารถวิจัยได้ ทีมวิจัยจากฐานใหม่นี้จะสามารถทำได้เหรอ?
อย่าล้อเล่นดีกว่า
ในบรรดาผู้คนกว่า 3,000 ชีวิต ยกเว้นเหล่านายทหารชั้นผู้น้อยที่ไม่สนใจว่าพวกเขาจะไปสังเวยชีวิตที่ใด เนื่องจากเป็นคำสั่งทางการทหาร ทว่านายพลอาวุโสและนักวิชาการระดับดอกเตอร์ในทีมวิจัยต่างก็กังวล พวกเขายังต้องกลับไปที่ฉางจิง พวกเขาไม่มีทางปักหลักอยู่ที่นี่
ซูเถาไม่ได้สังเกตเห็นความกังวลใจของพวกเขา
เธอกำลังตื่นตาตื่นใจกับผู้มีความสามารถเหล่านี้ จึงขอให้ทุกแผนกดำเนินการอย่างรวดเร็วเพื่อจัดที่พักสำหรับคนมากกว่า 3,000 ชีวิต และแนะนำสภาพแวดล้อมในเถาหยางให้แก่พวกเขาได้รู้จัก
ทันทีที่เขาเข้าไปในฐาน ลมอุ่นที่ปะทะใบหน้าทำให้ตั่งเหวยหรานตกตะลึงไปครู่หนึ่ง
แต่ในไม่ช้าเขาก็ข่มอารมณ์ไว้และพึมพำในใจ เขาเคยได้ยินเกี่ยวกับโดมป้องกันของเถาหยางมาก่อน และครั้งนี้เขาก็ได้สัมผัสมันด้วยตัวเอง
ปกติแล้วในตอนกลางคืน ที่พักของพวกเขาในฉางจิงสามารถให้ความอบอุ่นได้เพียงสี่ชั่วโมงเท่านั้น
จะดีมากหากฉางจิงมีอุณหภูมิที่เหมาะสมตลอดทั้งปี
น่าเสียดายที่เขาสามารถเพลิดเพลินได้ในเถาหยางเท่านั้น ไม่ แต่ความอบอุ่นเพียงเล็กน้อยไม่สามารถทำให้หัวใจของเขาสั่นคลอนเพื่อล้มเลิกความคิดจะกลับไปฉางจิงได้ ปกติในช่วงทำสงครามก็ไม่มีเครื่องทำความร้อนอยู่แล้ว เถาหยางกำลังกัดกร่อนจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของทหาร
หลังจากที่เขาคิดแบบนี้ เขาก็รู้สึกมากขึ้นเรื่อย ๆ ว่าเถาหยางไม่ใช่สถานที่ที่ควรอยู่
อีกทั้งหัวหน้าฐานยังเด็กเกินไป เธอเป็นเด็กสาวตัวเล็ก ๆ เท่านั้น ไม่น่าไว้ใจเท่าไหร่
จนกระทั่งพวกเขาได้นอนลงบนเตียงนุ่มที่สามารถปรับความสูงอัตโนมัติหรือแม้แต่นวดได้ ตั่งเหวยหรานก็ตกใจ
ชายชาติทหาร ควรนอนบนเตียงแข็ง ๆ!
เขาต่อสู้ในสงครามตั้งแต่ยังเด็ก สามารถนอนกลางดินกินกลางทรายที่ไหนก็ได้! แต่นี่มันอะไรกัน?! สร้างความสบายให้ทหารก่อนออกรบ!
เขาตะโกนใส่ทหารที่อยู่ภายใต้การดูแลของเขาว่าอย่านอนลง พวกเขาทั้งหมดจึงลงจากเตียงไปนอนบนพื้นด้วยกัน!
ขณะที่ลูกน้องแอบด่าในใจว่าเขาเป็นบ้าไปแล้ว แต่ก็ได้แต่ทำตามคำสั่ง
ในตอนแรกทุกคนตื่นเต้นมาก นี่เป็นครั้งแรกที่ได้นอนบนเตียงนุ่ม ๆ คุณภาพสูง อยู่ในหอพักที่สะอาดพร้อมเครื่องใช้ไฟฟ้าครบครัน และอาหารอีกไม่อั้น แต่พวกเขาเกือบถูกชี้หน้าและโดนตำหนิว่าพวกเขาเป็นพวกนอกรีต
ไม่นานก็มีคุณป้ามาเคาะประตูห้องของพวกเขา เพื่อเก็บเสื้อผ้าสกปรกของพวกเขาและเอาไปซักให้ หรือดูว่ามีอะไรต้องซ่อมพร้อมอำนวยความสะดวกให้พวกเขาทุกอย่าง
ตั่งเหวยหรานไม่พอใจและตวาดคุณป้าแม่บ้านไปหนึ่งดอก พร้อมกับบอกลูกน้องว่าอย่าใช้เครื่องซักผ้า แต่ให้ซักด้วยมือในน้ำเย็น เพื่อแสดงเจตจำนงว่าเราแข็งแกร่ง
ดังนั้น ในตอนกลางคืนทหารที่อาบน้ำเสร็จแล้ว จึงต้องออกไปซักผ้ากลางแจ้งด้วยน้ำเย็นจัด
เมื่อเรื่องนี้ไปถึงหูของซูเถา ความตื่นเต้นในตอนแรกหมดลงและถามสือจื่อจิ้นพร้อมขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ
“ทหารอย่างพวกคุณฝึกกันแบบนี้เหรอ? มันไม่ทรมานผู้คนไปหน่อยหรือไง มุมมองของฉันคือการฝึกและการต่อสู้นั้นเหนื่อยและหนักอยู่แล้ว ทำไมทหารถึงนอนหลับสบายในเวลากลางคืนไม่ได้ ใครห้ามเหรอ ทำไมต้องแสดงทักษะอย่างเช่นออกกำลังกายด้วยการซักผ้าด้วยมืออะไรแบบนั้นล่ะ มีเครื่องซักผ้าก็ช่วยประหยัดเวลานี่”
“ผมก็มีความคิดแบบเดียวกันกับคุณ แต่คนแซ่ตั่งนี้มีแนวคิดของตัวเองในการนำกองกำลัง เขาคิดว่าชีวิตคือการต่อสู้ ทุกแง่มุมควรควบคุมจิตใจของทหารและปล่อยให้พวกเขาพัฒนานิสัยในการแบกรับความยากลำบาก แน่นอนว่ามันก็ได้ผลดี แต่สิ่งนี้ไม่เอื้อต่อการเพิ่มกำลังทหาร การผ่อนคลายเป็นทางออกระยะยาวมากกว่า” สือจื่อจิ้นกล่าว
ซูเถาปวดหัว “ผู้ชายคนนี้หัวแข็งจริง ๆ แต่ทหารอยู่ภายใต้การควบคุมของเขา และมันไม่ง่ายเลยที่ฉันจะเข้าไปยุ่ง ไม่อย่างนั้นจะดูเหมือนว่าฉันกำลังแทรกแซงอำนาจนายทหารชั้นสูงของฉางจิง”
สือจื่อจิ้นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า
“ผมไม่คิดว่าคุณต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาอาจพยายามพาตัวเองกลับไปหาฉางจิงในเวลาอันสั้น”
ซูเถาตกใจพร้อมกับไตร่ตรองคำพูดของเขาและเข้าใจว่า
“เขาไม่ได้ดูถูกเถาหยางจริง ๆ หรอก เพียงแต่ว่ามันคงไม่สบายใจจริง ๆ ที่คนฐานใหญ่จากฉางจิงจะโดนย้ายมาสถานที่เล็ก ๆ แห่งนี้ ดังนั้นปล่อยเขาไปเถอะ เป็นทหารต้องทนลำบาก ห้ามนอนเตียงนุ่ม ๆ ห้ามใช้เครื่องใช้ไฟฟ้า อยากรู้เหมือนกันว่าพรุ่งนี้พวกเขาจะกินเนื้อในมื้อค่ำไหม!”
ซูเถาได้เชิญพ่อครัวฉินจากภูเขาผานหลิวมาเพื่อแสดงทักษะของเขา
ในส่วนของฟาร์มปศุสัตว์ขนาดเล็กของเธอก็มีการพัฒนา ทำให้เนื้อเป็ดเนื้อไก่ในเถาหยางไม่ขาดแคลน
นอกจากนี้ยังสามารถซื้อเนื้อหมู เนื้อวัว และเนื้อแกะผ่านช่องทางภายนอกได้ ดังนั้นอาหารจึงอุดมสมบูรณ์มาก โดยมีอาหารจานเนื้อ 5 อย่างและอาหารมังสวิรัติ 5 อย่าง รวมถึงซุปไข่ และแน่นอนว่าผลไม้ต่าง ๆ ที่ผลิตโดยสวนของอู๋เจิ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้
นอกจากนี้ยังมีขนมและเครื่องดื่มต่าง ๆ
เป็นบุฟเฟ่ต์ กินเท่าไหร่ก็ได้
เหล่าทหารรีบเข้าไปในโรงอาหาร และเห็นอาหารหลากสีสัน มีกลิ่นหอม ทุกคนดูเหมือนหมาป่าที่หิวโหย ดวงตาของพวกเขาเป็นประกายแวววาว
ทหารหนุ่มพยายามใช้จมูกสูดดมอย่างตั้งใจ และถามเพื่อนทหารที่อายุมากกว่าข้าง ๆ เขา
“พี่ชาย พี่เคยกินมันไหม ผมไม่เคยได้กลิ่นอาหารที่หอมแบบนี้มาก่อนในชีวิตของผม ได้มาที่เถาหยางก็คุ้มแล้วนะ ตายตาหลับ”
“อย่าพูดจาไร้สาระ! เรามาถึงเถาหยางก็ถือว่าเป็นคนเถาหยาง เถ้าแก่ซูจะปฏิบัติต่อพวกเราไม่ดีได้ยังไง ถ้านายตายนายก็อดกินอาหารเหล่านี้นะ ไป เข้าแถวกันเถอะ”
แม้ว่าทหารจะรีบร้อน แต่พวกเขายังคงเข้าแถวอย่างเป็นระเบียบพร้อมจานอาหารค่ำ พวกเขาต่างก็คอยชะเง้อดูว่าแถวนั้นไปถึงไหนแล้ว
ท่ามกลางความโกลาหล ตั่งเหวยหรานรีบเข้ามาด้วยใบหน้าที่เคร่งขรึม และคำรามเสียงดัง
“ฉันจะดูว่าใครกล้ากินบ้าง!”