ฉันเป็นเศรษฐีอสังหาฯในวันสิ้นโลก - ตอนที่ 429 จิตตก
ตอนที่ 429 จิตตก
ตอนที่ 429 จิตตก
“พระเจ้า” ซูเถาพึมพำเสียงเบา
เมื่อพบซอมบี้กลายพันธุ์ควรประกาศให้เร็วที่สุด! สิ่งนี้จะได้ทำให้เธอมีเวลาป้องกันการเสียชีวิตของผู้บริสุทธิ์มากขึ้น แต่คิดไม่ถึงว่าตระกูลเซียวจะเก็บซ่อนเรื่องนี้เอาไว้เพราะเห็นแก่หน้าตาตระกูล ซึ่งทำให้มีผู้คนบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก!
“ถ้าฉันไม่รีบกลับมาดูล่าเจียว ฉันคงปะทะมันเข้าให้แล้ว” เวินม่านรู้สึกจิตตกกับเรื่องนี้
“เหวินอวี้ล่ะคะ เธออยู่ที่ไหน เธอไม่เป็นอะไรใช่ไหมคะ”
“เธอสบายดี และเธอก็เป็นนักวิ่งที่เร็วที่สุด เธอโผล่ไปที่งานเพื่อให้คนเห็นว่าเธอมาร่วมงานแล้ว แม้แต่ของขวัญแต่งงานก็ไม่ได้ให้ จากนั้นก็สะบัดก้นออกจากงานแล้วไปเที่ยวเล่นอยู่ที่ฉางจิง” เวินม่านส่ายหัว
“ตอนนี้ซอมบี้กลายพันธุ์อยู่ที่ไหน” ซูเถารีบถามอีกครั้ง
เวินม่านนิ่งเงียบไปก่อนเอ่ยขึ้น
“ฉันไม่รู้จริง ๆ”
ซูเถารีบติดต่อไปที่ฉางจิงและหัวหน้าสวี่
“ผมกำลังจะโทรหาคุณพอดี ผมได้ส่งอีเมลถึงคุณแล้ว มีหกแห่งที่พบร่องรอยของซอมบี้กลายพันธุ์ แต่ผมให้ได้แค่ตำแหน่งโดยประมาณเท่านั้น ส่วนตำแหน่งที่แน่นอนอาจต้องให้คุณเป็นคนชี้ขาด” หัวหน้าสวี่อยู่ในสภาพสิ้นหวัง
เมื่อซูเถาเปิดอีเมล ก็รู้สึกเวียนหัวตาลายขึ้นมา
นี่มัน… พื้นที่มันไม่ใหญ่เกินไปใช่ไหม?
แต่ชีวิตมนุษย์กำลังตกอยู่ในอันตราย เธอไม่ควรมาคิดมากในเวลานี้ เธอเลือกพื้นที่ทั้งหกสถานที่นี้เพื่อเข้าควบคุม และสร้างประตูเคลื่อนย้าย จากนั้นก็เดินไปมาระหว่างสถานที่ทั้งหกแห่งนี้ทั้งกลางวันและกลางคืน เพื่อตามหามันด้วยตัวมันเอง
แน่นอนว่าการทำงานอย่างหนักได้ผลตอบแทน หลังจากการค้นหาหนึ่งสัปดาห์ เธอก็จับซอมบี้ทีละตัว รวมแล้วจับซอมบี้กลายพันธุ์ได้สี่ตัว
เสิ่นเวิ่นเฉิงได้รับซอมบี้กลายพันธุ์เป็นระยะ ๆ จากความตื่นเต้นในตอนแรกก็ถูกแทนที่ด้วยความมึนงง
การจับกุมแบบนี้ดำเนินต่อไปอีกสัปดาห์ และไซเรนที่เอาแต่ซ่อนตัวอยู่ในความมืด มันลักพาตัวผู้นำระดับสูงในฉางจิงไปและสืบหาความจริงจากอีกฝ่าย ทำให้เขาสารภาพออกมาว่าคนที่ลงมือคือเถาหยาง
“ฉัน… ฉันแค่เดา แต่ไม่มีหลักฐานที่แท้จริง อาจเป็นเพราะไวรัสในร่างกายของแกกลายพันธุ์อย่างควบคุมไม่ได้”
เจ้าหน้าที่ระดับสูงคนนี้ยังคงต้องการที่จะต่อสู้สักหน่อย ชีวิตของเขามีความสำคัญ แต่เขาก็รู้สึกผิดเช่นกันที่บอกไปว่าผู้อยู่เบื้องหลังคือเถาหยาง
ไซเรนเย้ยหยัน และทันใดนั้นก็เอื้อมมือไปเจาะหน้าอกของเขา ล้วงเอาปอดที่เปื้อนเลือดของเขาออกมากัดกินอย่างตะกละตะกลามแล้วกลืนลงไป
เก่งมากนะ… เถาหยาง
……
ซูเถารู้สึกเหนื่อยล้าและรู้สึกว่าซอมบี้กลายพันธุ์ถูกจับได้มากขึ้นเรื่อย ๆ เธอจึงต้องการถามเสิ่นเวิ่นเฉิงเกี่ยวกับความคืบหน้าการวิจัยของพวกเขา
เธอรู้สึกว่าทำไมมันไม่ถึงจุดสิ้นสุดสักที นอกจากนี้การตามจับและกำจัดมันอันตรายเป็นอย่างมาก
วันนั้นก่อนที่ซูเถาจะไปถามเสิ่นเวิ่นเฉิง เธอได้ยินเสียงวุ่นวายที่ฐานทดลอง แต่เมื่อมาถึงก็เห็นเสิ่นเวิ่นเฉิงขึ้นคร่อมชายคนหนึ่งอย่างบ้าคลั่ง และซัดหมัดใส่อีกฝ่ายเต็มแรง
ทุกคนไม่เคยเห็นคุณเสิ่นผู้อ่อนโยนเป็นแบบนี้ พวกเขาต่างก็อึ้งกับสิ่งที่เกิดขึ้นไม่กล้าเข้าไปห้ามแต่ในที่สุดซูเถาก็ส่งหน่วยรักษาความปลอดภัยสองคนไปดึงเขาออกมา
ดวงตาของเสิ่นเวิ่นเฉิงแดงก่ำจากความโกรธ เขาตะโกนในขณะที่พยายามดิ้นรนเอาเรื่อง
“หลินสิง! ฉันจะฆ่าแก! แกกล้าดียังไงมาขโมยข้อมูลตัวอย่าง! ถ้ามันสูญหายไปแกจะเสียใจต่อฉางจิงและเพื่อนร่วมชาติในโลกนี้หรือเปล่า! ฉันจะฆ่าแก ฉันจะฆ่าแก!”
ชายที่ชื่อหลินสิงวิ่งบนพื้นไปได้ไม่กี่ก้าว เขาก็หันศีรษะไปเห็นมีผู้คนอยู่ตรงที่เกิดเหตุมากมาย หากแต่ก็ยังเอ่ยอย่างเล่นลิ้น
“นายใส่ร้ายฉัน!”
เสิ่นเวิ่นเฉิงไม่ฟังเล่ห์เหลี่ยมของเขา และสลัดตัวเองให้เป็นอิสระ เพื่อเข้าไปทุบตีเขาอีกครั้ง
ผู้คนรอบข้างต้องการหยุดเขา แต่เมื่อเห็นสายตาซูเถาไม่มีใครกล้าขยับเขยื้อน เธอจึงได้แต่มองดูหลินสิงจมูกฟกช้ำและใบหน้าบวมเป่ง และหมดสติไป
เสิ่นเวิ่นเฉิงทุบตีเขาจนเกือบตาย แต่ไม่สามารถกำจัดความกลัวที่ว่าข้อมูลเกือบจะสูญหายและได้รับความเสียหาย ทันใดนั้นเขาก็นอนลงบนพื้นและร้องไห้เสียงดัง
“หลินสิง! ตอนนั้นแกก็เอาผลงานวิจัยของฉันไปแอบอ้าง แต่ฉันก็เลือกที่จะปล่อยแกไป ฉัน เสิ่นเวิ่นเฉิง ไม่สนใจในชื่อเสียงและโชคลาภ แต่วันนี้แกกำลังพยายามขโมยเครดิตและเคลมความสำเร็จให้เป็นของแก อีกทั้งแกยังเข้าห้องเก็บตัวอย่างโดยไม่ได้รับอนุญาต และพยายามขโมยข้อมูลโดยละเมิดกฎระเบียบที่เรามี หากมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้น ความพยายามของเราในปีนี้จะไร้ผล และเราต้องเริ่มต้นใหม่!” เขาทุบพื้นอย่างเจ็บปวด
“แล้วแกรู้ไหม รู้ไหมว่าในเวลาต่อมาจะมีคนตายอีกกี่คน รู้ไหม?”
เขากลัวมากจนนอนอยู่กับพื้นพร้อมคำรามตัวสั่น
ผู้ใต้บังคับบัญชาของเสิ่นเวิ่นเฉิงทุกคนร้องไห้
หลังจากตกอยู่ในอาการมึนงงสักพัก นักวิจัยทางวิทยาศาสตร์จากเมืองฉางจิงก็พากันเดือดดาล
ดร.ข่ง ผู้อาวุโสที่สุดของพวกเขาจากสถาบันชีววิทยาฉางจิง หนวดเคราสั่นด้วยความโกรธและชี้ไปที่หลินสิงที่หมดสติ
“แก ไอ้สารเลว…”
หลังจากพูดจบ เขาก็กระอักเลือดออกมา สถานการณ์วุ่นวายขึ้นมาทันที
ซูเถามองดูทั้งหมดนี้ พร้อมกับหายใจเข้าลึก ๆ เธอหลับตาลงแล้วเรียกเจ้าหน้าที่สองคนให้เข้ามาจัดการ
“ไปปลุกเขาสิ”
เจ้าหน้าที่ทั้งสองไร้ความปรานีเช่นกัน พวกเขาหันหลังให้ทุกคนและถอดกางเกงของหลินสิงออกเพื่อปลุกเขาให้ตื่น
หลินสิงสะดุ้งลุกขึ้นนั่ง แต่ถูกคนของเสิ่นเวิ่นเฉิงเตะจนหมดสติอีกครั้ง
“โยนตัวเขาออกไป! ถ้าเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีกในอนาคต ฉันจะฆ่าคนผู้นั้นทันที!” ซูเถาโกรธมาก
ผู้คุ้มกันสองคนลากหลินสิงและโยนเขาออกจากเถาหยาง โดยจงใจโยนเขาออกไปไกล ๆ ในถิ่นทุรกันดาร ที่มีเพียงซอมบี้เท่านั้นที่ผ่านไป ภายในสองวันจะเหลือเพียงกองกระดูก
เรื่องนี้มีผลกระทบอย่างมากต่อเสิ่นเวิ่นเฉิง เขาไม่สามารถฟื้นตัวจากอาการวิตกได้แม้จะผ่านไปแล้วหลายวัน ทุกคืนทันทีที่เขาหลับตา เขาจะฝันว่าข้อมูลสูญหาย ซึ่งทำให้เขาต้องตื่นขึ้นและไปที่ห้องปฏิบัติการด้วยเท้าเปล่า
มันมากเสียจนเขาต้องการนอนในห้องทดลองเท่านั้น เพราะเขาไม่สามารถหลีกเลี่ยงฝันร้ายได้
ซูเถาโกรธมากจนนอนไม่หลับ แม้แต่ดร.ข่งที่มีหนวดเคราสีขาวก็มาขอโทษเธอด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก
ดร.ข่งรู้สึกละอายใจ ฉางจิงไม่รู้จักคนเหล่านี้ดีนัก และได้คัดเลือกตัวร้ายที่ฉ้อฉลทางวิชาการ ที่ให้ความสำคัญกับชื่อเสียงและโชคลาภเกินไปมาให้เถาหยาง
เขาย่อตัวลงแล้วขอโทษทั้งน้ำตา เมื่อเห็นว่าเขาเป็นผู้อาวุโส ซูเถาก็ใจอ่อน และประคองเขาให้ขึ้นมานั่งดี ๆ แต่ก็ยังอดไม่ได้และพูดว่า
“คุณข่งคะ ก่อนหน้านี้ก็มีคนชื่อตั่งเหวยหราน ตอนนี้ก็เป็นหลินสิงอีก ทางฉางจิงให้ผู้มีความสามารถมาสร้างประโยชน์ หรือสร้างปัญหาให้เถาหยางกันแน่”
เธอพูดออกมาอย่างตรงไปตรงมา
เสิ่นเวิ่นเฉิงหวงแหนการวิจัยนี้มาก การทำให้เขากลัวแบบนี้ การกระทำนี้ส่งผลร้ายแรง
คนที่ฉางจิงส่งมาไม่ใช่ตะเกียงประหยัดน้ำมัน
ดร.ข่งต้องการที่จะยืนขึ้นและขอโทษอีกครั้งเมื่อได้ยินคำพูดนั้น แต่ซูเถารั้งเขาเอาไว้ พร้อมกับถอนหายใจและพูดว่า
“ฉันพูดตรง ๆ เลยนะคะ ฉันไม่ได้ตั้งใจตำหนิคุณ แต่ในช่วงเวลาวิกฤตนี้ ฉันรู้สึกเหมือนกับคุณเสิ่นว่าชีวิตมนุษย์กำลังตกอยู่ในอันตราย ความสำเร็จของเราอยู่ใกล้แค่เอื้อม เราใกล้มาถึงตอนจบอันยิ่งใหญ่ และเรากำลังจะทำการกวาดล้างซอมบี้ครั้งใหญ่นะคะ แล้วแบบนี้จะไม่ให้ฉันโกรธได้ยังไงคะ?”
หลังจากที่ดร.ข่งกลับไป เขาก็โทรศัพท์ไปที่ฉางจิง
เขาเป็นผู้อาวุโสที่สุดในทีม เขาตำหนิกลุ่มผู้นำของสถาบันวิจัยสูงสุดอย่างรุนแรงจนไม่มีใครกล้าพูดอะไร
หลังจากที่ท่านผู้นำสูงสุดรู้เรื่องนี้ เขาก็ตกใจมาก นอกจากนี้เขายังไปอบรมคนกลุ่มหนึ่งและไล่ผู้นำของสถาบันวิจัยหลายแห่งออก ในท้ายที่สุดเขาก็ได้เสนอชื่อนักวิชาการเสิ่นเวิ่นเฉิงเป็นการส่วนตัว โดยคืนผลงานการวิจัยที่ถูกหลินสิงขโมยไปในช่วงแรก และเสิ่นเวิ่นเฉิงจะได้รับเงินชดเชยห้าล้านเหลียนปัง
เมื่อเสิ่นเวิ่นเฉิงเห็นดังนั้น เขาก็ปล่อยโฮพร้อมก้มหน้าก้มตาทำงานต่อไป
นี่คือผลตอบแทนของการเฝ้าทำความดีมาโดยตลอด