ฉันเป็นเศรษฐีอสังหาฯในวันสิ้นโลก - ตอนที่ 44 ปาร์ตี้ซาวเข่าที่ระเบียงของเถาหยาง
ตอนที่ 44 ปาร์ตี้ซาวเข่าที่ระเบียงของเถาหยาง
ตอนที่ 44 ปาร์ตี้ซาวเข่าที่ระเบียงของเถาหยาง
ในที่สุดเผยตงก็ได้พักหลังจากผ่านไปครึ่งเดือน เธอทนพวกพ้องที่เอาแต่เกาะแกะตนเองไม่ไหว จนสุดท้ายก็ได้พาพวกเธอมาเยี่ยมชมเถาหยาง
เนื่องจากเผยตงต้องการพาคนนอกเข้ามา ดังนั้นเธอจึงต้องโทรแจ้งซูเถาเป็นอันดับแรก
เมื่อซูเถาได้ฟังแบบนั้นก็ยินดีต้อนรับพวกเธอเป็นอย่างมาก “ได้สิ คนของคุณฉันเชื่อใจ ระเบียงของพวกเราเพิ่งทำเสร็จพอดีเลย มีผู้เช่าซื้อเตาซาวเข่า*[1]ก่อนยุควันสิ้นโลกมา เราเลยวางแผนจะจัดปาร์ตี้บาร์บิคิวกันคืนนี้ มาร่วมด้วยกันสิ”
เผยตงรู้สึกอึ้งเมื่อได้ยินประโยคเอ่ยชวนของอีกฝ่าย
ระเบียงอะไร บาร์บิคิวอะไร ราวกับว่าเธอและซูเถาไม่ใช่คนของโลกนี้
เมื่อหลายคืนก่อนเธอยังจ้องมองเส้นทางของซอมบี้ที่มีวิวัฒนาการด้วยความกังวลถึงอนาคตของฐาน และกังวลเกี่ยวกับการอยู่รอดของผู้รอดชีวิตในวันสิ้นโลก แต่วันนี้ซูเถากลับบอกเธอว่าจะจัดปาร์ตี้ซาวเข่าด้วยท่าทีสบาย ๆ ราวกับว่าทุกคนในเถาหยางอยู่ในยุคที่สงบสุขก่อนวันสิ้นโลก
เย่เซี่ยชิงเด็กน้อยท่าทางดูมีชีวิตชีวาที่อยู่ข้าง ๆ เผยตง เมื่อได้ยินคำพูดของซูเถาผ่านเครื่องมือสื่อสาร ก็ดีใจกระโดดโลดเต้น และตอบคำถามแทนเธอ
“ได้สิ พวกเราจะไปแน่ ขอบคุณเถ้าแก่ซูมากนะคะ”
พวกพ้องอีกหลายคนก็ขอบคุณด้วยหัวใจที่เต็มไปด้วยความปรารถนาและความคาดหวัง พวกเธอได้ยินมานานแล้วว่าเถาหยางเปรียบเสมือนแดนสวรรค์ แถมตอนนี้ยังได้ร่วมงานปาร์ตี้อีก
ซาวเข่าเหรอ? เป็นอาหารยามว่างก่อนวันสิ้นโลก ว้าว อดใจรอแทบไม่ไหวแล้ว
เผยตงยิ้มพลางส่ายหน้า ยอมใจพวกเธอเลยจริง ๆ
หากยังอยู่ในยุคก่อนวันสิ้นโลก พวกเธอก็เป็นเพียงหญิงสาวอายุยี่สิบต้น ๆ เท่านั้น ควรได้พักผ่อนและเพลิดเพลินสักหน่อยแล้ว
สองทุ่มคืนนั้น กลุ่มของเผยตงมาตามนัด โดยมีซูเถายืนรอรับอีกฝ่ายอยู่หน้าประตู
ทันทีที่ก้าวเข้ามาในเถาหยาง เผยตงก็เห็นอาคารสำนักงานที่สร้างเสร็จแล้วปรากฏอยู่ในสายตา เธอนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งและเอ่ยขึ้น
“เธอยังต้องการคนเพิ่มไหม ฉันมีเด็กที่อ่านออกเขียนได้คิดคำนวณเป็นอยู่หลายคนที่มีวุฒิมัธยมปลายจากยุคก่อนวันสิ้นโลก”
ซูเถากุมขมับ “พี่เผย อาคารสำนักงานของฉันรองรับคนได้เพียงสี่คนเท่านั้น ถ้าต่อไปฉันต้องการคน ฉันจะติดต่อพี่นะ”
เผยตงพยักหน้ามองไปที่ดวงตาของซูเถาราวกับจะพูดว่า ‘ฉันจำไว้แล้วนะ พูดคำไหนคำนั้น’
เย่เซี่ยชิงมองด้วยแววตาอิจฉา สีหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกเสียดาย
“ก่อนวันสิ้นโลกฉันอายุเพิ่งจะสามขวบ ที่บ้านไม่มีฐานะอะไรจึงไม่ได้หาครูหรือโรงเรียนให้ จนถึงตอนนี้ฉันเขียนได้แค่ชื่อตัวเอง ชื่อพี่เผยและคำว่ากองกำลังปกป้องเมืองไม่กี่คำนี้เท่านั้น”
ซูเถามองแววตาที่เต็มไปด้วยความอิจฉาของเธอ ในใจรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย ตอนเด็กเธออยู่ในตระกูลซูก็ไม่มีโอกาสได้ไปโรงเรียน แต่พี่ชายสองคนกลับได้เรียนหนังสือ ซูเถาจึงแอบดูหนังสือหรือแอบฟังพวกซูเจี้ยนหมิงขณะที่ทำงานบ้าน
ตัวเองพูดติดอ่างและเรียนรู้ได้นิดหน่อย แม้ว่าจะไม่เรียนรู้ได้ครอบคลุมเท่าจวงหว่าน แต่ก็โชคดีที่เขียนได้เป็นส่วนใหญ่ และสามารถบวกลบคูณและหารอย่างง่ายได้
ในยุควันสิ้นโลก ไม่เพียงแต่สิ่งก่อสร้างและความสงบเรียบร้อยเท่านั้นที่จะถูกทำลาย แต่ยังรวมถึงการศึกษาและวัฒนธรรมด้วย ได้แต่หวังว่าในอนาคตจะมีโรงเรียนในเถาหยาง เพื่อให้เด็กที่เกิดภายหลังสามารถได้รับการศึกษา
เมื่อเมล็ดพันธุ์แห่งความปรารถนานี้ถูกหว่านเมล็ด มันก็ค่อย ๆ หยั่งรากและงอกเงยขึ้นในใจของซูเถาอย่างเงียบ ๆ
ในเวลานี้ มีคนมากกว่าสามสิบคนกำลังรวมตัวกันที่ระเบียง จวงหว่านรีบขอให้ทุกคนย้ายโต๊ะและเก้าอี้จากโรงอาหารไปที่ระเบียงเพื่อสร้างโต๊ะขนาดใหญ่
คุณแม่เฉียนก็กำลังเรียกทุกคนให้มาช่วยกันเสียบไม้ซาวเข่า
ผู้เช่าแซ่หยวนเป็นคนหาไม้มา เขาทำงานในโรงงานแปรรูปไม้และได้ไม้มาชุดหนึ่ง หลังจากใช้หมดแล้วต้องส่งคืนเพื่อแปรรูปและนำกลับมาใช้ใหม่ ทรัพยากรใด ๆ ในยุควันสิ้นโลกล้วนเป็นสิ่งมีค่า
วัตถุดิบส่วนใหญ่สำหรับเสียบไม้ย่างคืออาหารสังเคราะห์ที่มนุษย์สร้างขึ้นซึ่งผู้เช่าจัดหาเอง เป็นอาหารที่รับประทานและหาซื้อได้ง่ายที่สุดสำหรับผู้คนในยุคปัจจุบัน ราคาไม่สูง และรสชาติไม่ดี แต่สามารถเป็นอาหารที่เป็นปัจจัยพื้นฐานได้
ส่วนน้อยที่เป็นวัตถุดิบสดใหม่ที่ซูเถานำมาจากตู้แช่แข็ง
เผยตงค่อนข้างร่ำรวยและเป็นผู้มีอำนาจที่นี่ เธอได้สั่งให้พวกพ้องทั้งนำผักถุงใหญ่มาสองถุง นั่นทำให้ทุกคนตาแดงด้วยความตื้นตัน
เย่เซี่ยชิงและอีกสี่คนถูกเชิญอย่างอบอุ่นให้ร่วมล้างผักและเสียบไม้ด้วยกัน และทำหน้าที่เป็นไมโครโฟนให้เผยตงที่พูดไม่เก่ง
“พี่เผยของพวกเราบอกว่าผักพวกนี้เป็นผักที่โตเต็มที่จากในไร่ คิดเสียว่าเป็นค่าอาหารในมื้อนี้ของพวกเรา”
คุณแม่เฉียนและกลุ่มผู้เช่าเอ่ยอย่างเกรงใจ “พวกเธอเกรงใจเกินไปแล้ว”
เนื่องจากมลภาวะและความเสื่อมโทรมของที่ดินหลังจากยุควันสิ้นโลกจึงทำได้เพียงการปลูกพืชไร้ดินเท่านั้น นอกจากนี้ พื้นที่ของไร่ในฐานมีไม่มาก ผลผลิตของผักสดก็น้อยลงตาม
ผักทั้งสองถุงใหญ่นี้คาดว่าจะใช้คะแนนสมทบแลกมา
ซูเถาก็รู้สึกว่าเผยตงเกรงใจกันเกินไปแล้ว จึงเรียกให้พวกเธอนั่งลง “วันนี้พวกคุณเป็นแขก มานั่งรอกินจะดีกว่านะ”
ควันจากการย่างอาหารลอยโขมง เสียงหัวเราะแห่งความสุขดังขึ้นทั่วบริเวณ
ห่างออกไปไม่ไกลฟ่านฉวนฮุยอดไม่ได้ที่จะยิ้ม พลางยกกล้องขึ้นเพื่อถ่ายภาพช่วงเวลาที่แสนวิเศษและมีความสุขเหล่านี้ไว้นับไม่ถ้วน
ผู้อาวุโสเหม่ยที่นั่งอยู่บนรถเข็นเห็นฉากนี้แล้วก็อดไม่ได้ที่จะเช็ดน้ำตาที่หางตา พลางถอนหายใจ
“ในชีวิตของฉัน ครึ่งแรกของชีวิตเคยราบรื่นและมั่นคง มีหน้าที่การงานที่ประสบความสำเร็จ ครึ่งหลังของชีวิตพลัดถิ่นฐานบ้านเกิด เหลือแต่ลมหายใจสุดท้าย ไม่คิดไม่ฝันเลยว่าชีวิตนี้ที่กำลังจะจบลง จะยังสามารถเสวยความสุขความพอใจ ฉันเป็นคนที่กำลังจะตายไปพร้อมกับร่างกายครึ่งหนึ่งของฉัน แต่ก็ยังมีเรื่องกังวลอีก…”
“คุณยังมีเรื่องอะไรให้กังวลคะ” เสี่ยวผานเอ่ยถาม
ผู้อาวุโสเหม่ยแสบจมูก “ฉันปล่อยวางที่นี่ไม่ได้ ฉันยังอยากเห็นอาคารสูงตระหง่าน โรงเรียน และโรงพยาบาล ถนนเรียบและกว้างถูกสร้างขึ้นที่นี่ คนแก่มีที่พึ่งพา คนหนุ่มสาวมีการศึกษา…”
มองเห็นโลกที่สงบสุขและมั่นคงอย่างช่วงครึ่งแรกของชีวิต
เพียงแต่…เขาคงมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน
น้ำตาของชายชราไหลออกมาด้วยความคับแค้นใจ
[1] ซาวเข่า แปลตรงตัวคือ ‘ปิ้งย่าง’ หมายถึง อาหารเสียบไม้ย่าง ซึ่งจะนำทั้งเนื้อหรือผักต่าง ๆ ย่างให้สุกจากนั้นโรยด้วยพริกเสฉวนหรือฮวาเจียว ซึ่งคนไทยจะคุ้นหูกันในชื่อหมาล่า