ฉันเป็นเศรษฐีอสังหาฯในวันสิ้นโลก - ตอนที่ 50 ที่โรงอาหารมีของดีมาเพิ่มอีกแล้ว
ตอนที่ 50 ที่โรงอาหารมีของดีมาเพิ่มอีกแล้ว
ตอนที่ 50 ที่โรงอาหารมีของดีมาเพิ่มอีกแล้ว
ซูเถาหั่นชิ้นเนื้อแล้วใส่ไว้ในตู้เย็น เธอทำอาหารไม่เป็น ดังนั้นเธอจะเก็บไว้ให้ลูกแมวตะกละทั้งสองตัว
จวงหว่านกล่าวว่า “ป้าชีมีความสามารถมากจริง ๆ เดิมทีทั้งสี่คนไม่มีใครเชื่อเธอ แต่ว่าเธอก็ไม่ได้โกรธ เธอมอบหมายงานทำความสะอาดให้อย่างเป็นระบบระเบียบ บอกว่าถ้าทำงานไม่เสร็จก็ไม่ต้องกินข้าว เธอก็จะทนหิวเป็นเพื่อน ถ้าทำงานไม่เสร็จก็ไม่ต้องกลับบ้าน เธอก็จะนอนบนพื้นที่โรงอาหารตอนกลางคืนเป็นเพื่อน ทำให้อีกสี่คนที่เหลือล้วนกระตือรือร้นทำงานหนักเช่นกัน”
ซูเถาจำสิ่งที่ชีอวิ๋นหลันปฏิเสธอย่างดื้อรั้นเมื่อวานนี้
“ป้าชีทำหน้าที่เป็นผู้จัดการได้ดี ทำงานเป็นลำดับขั้นตอน แต่เธอไม่รู้หนังสือ”
จวงหว่านรู้สึกว่านี่ไม่ใช่ปัญหา “ทุกวันหลังเลิกงาน ฉันจะเปิดคลาสเรียนเล็ก ๆ ถ้าเธอเต็มใจ ฉันจะสอนเธอเอง ให้เธอเรียนพร้อมกับเฉินซีเฉินหยาง”
ซูเถาคิดว่าข้อเสนอนี้น่าสนใจ “งั้นพี่ลองคุยกับป้าชีได้เลยค่ะ ป้าชีเป็นคนที่พร้อมจะเรียนรู้ ไม่แน่นะหลังจากสอนแล้ว เธออาจจะกลับมาช่วยงานพี่ก็ได้”
จวงหว่านรู้สึกว่าเธอต้องเรียนรู้อีกครั้ง แต่ก็เหมือนว่าเธอจะไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่
ซูเถาเห็นท่าทีของเธอก็อดไม่ได้ที่จะย้ำเตือน
“ป้าชีรู้ตัวอักษรอ่านออกเขียนได้ก็ไม่มีปัญหาแล้วค่ะ มันต้องค่อย ๆ เรียนรู้กันไป อีกหน่อยถ้าพี่เลื่อนขั้นเป็นผู้จัดการก็จะไม่มีปัญหา เธอรู้จักขอบคุณคน เธอจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อที่จะช่วยแบ่งเบาพี่ ไม่ต้องคิดว่าเมื่อเธอมีความสามารถแล้วเธอจะผลักไสพี่ออกไป”
หลังจากที่ได้ฟังดังนั้นจวงหว่านก็เข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง
นับวันเถาหยางก็ยิ่งขยับขยายใหญ่ขึ้น ต้องการบุคลากรเพิ่มมากขึ้นเช่นกัน ต้องมีคนช่วยจัดการหลาย ๆ ด้าน
เถ้าแก่ย้ำเตือนให้เธอเรียนรู้ที่จะเลือกผู้ช่วยของเธอโดยเร็วที่สุดและช่วยฝึกฝนเธอ
จวงหว่านเอามือปิดหน้าของเธอ ซูเถาเป็นเจ้านายวัยเยาว์ที่มองอะไรทะลุปรุโปร่ง
แต่ในขณะเดียวกันเธอก็ตระหนักได้ว่า ไม่ว่าเธอจะควบคุมดูแลงานมากแค่ไหนหรือเติบโตเร็วยังไง เธอก็ต้องพึ่งพาซูเถาอยู่ดี
เธอชอบที่จะพึ่งพาซูเถา เพราะเธอรู้สึกว่ามันปลอดภัย
ในขณะเดียวกันซูเถาก็จามออกมา ราวกับรู้ว่ามีใครกำลังพูดถึงเธออยู่
ในตอนบ่าย ซูเถาได้รับข่าวของสือจื่อจิ้นอีกครั้งว่าในวันพรุ่งนี้ตอนสายพวกเขาจะกลับมาถึงตงหยาง!
เฉินเทียนเจียวตะโกนเข้ามาในเครื่องมือสื่อสาร
“เถ้าแก่ซู ผมอยากกินข้าวกล่องเถาหยางมาก พวกเราหิวมากเลย การเดินทางครั้งนี้ไม่ง่ายเลยจริง ๆ คุณไม่รู้หรอกว่า…” พวกเราเกือบไม่ได้กลับมา
สือจื่อจิ้นตีเขาและส่งสัญญาณผ่านสายตาว่าไม่ให้เขาพูดในสิ่งที่ไม่ควรพูด
เฉินเทียนเจียวเลยกลืนครึ่งหลังของประโยคลงคอไป แล้วรีบเปลี่ยนเรื่อง
“คุณคงไม่รู้หรอกว่าผมเสียใจแค่ไหนที่ไม่ได้กินข้าวกล่องของเถาหยาง”
ซูเถาหัวเราะเสียงดัง “ได้ เข้าใจแล้ว เดี๋ยวฉันจะเตรียมเอาไว้ให้พวกคุณ ใช่แล้ว ตอนนี้มีห้องชุดแบบ 2 ห้องนอน 1 ห้องนั่งเล่นแล้วนะ ฉันเก็บไว้ให้คุณแล้วหนึ่งห้อง รอคุณกลับมาจัดการอะไรให้เรียบร้อยก็พาคุณป้าเข้ามาอยู่ได้เลย”
ข่าวนี้สร้างความประหลาดใจให้กับเฉินเทียนเจียว และเขาก็ตอบตกลง
หลังจากวางสาย ซูเถาก็ไปที่โรงอาหาร หญิงสาวมองซ้ายมองขวาแล้วรู้สึกว่าตู้แช่ข้าวกล่องนี้มันจำเจเกินไป เธอเองก็เบื่อที่จะกินมันแล้ว เปลี่ยนรสชาติอาหารให้กับกลุ่มทหารที่กำลังจะกลับมาดีกว่า เพื่อให้พวกเขาได้ลองอะไรใหม่ ๆ
ดังนั้นเธอจึงไปที่ร้านค้าของระบบ เห็นเครื่องทำบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแบบเลือกรสชาติเองได้ เลือกรสชาติเสร็จเครื่องก็จะเติมน้ำร้อนให้อัตโนมัติ รอเพียงไม่นานก็จะได้รสชาติที่แสนอร่อย
รสชาติของบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปนี้มีอยู่ทั่วไปในก่อนวันสิ้นโลก ทั้งรสเนื้อตุ๋น ผักดอง รสเผ็ด รสพริกไทย และอีกหลากหลายรสชาติที่ซูเถาเองก็ยังไม่เคยเห็น รวมทั้งหมดยี่สิบรสชาติ
เติมของหนึ่งครั้งสามารถใส่ได้ถึง 60 ถ้วย และอายุการเก็บรักษาก็นานมาก ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการเน่าเสียหากว่าขายไม่หมด
หลายปีก่อนซูเถาเคยกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปหนึ่งครั้ง คาดว่าหลี่หรงเหลียนน่าจะตุนไว้ก่อนวันสิ้นโลก รสชาติจึงแปลก ๆ เล็กน้อย หลังจากที่กินเข้าไปเธอจึงท้องเสีย
ตามคำบอกเล่าทางอินเทอร์เน็ต บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปนั้นอร่อยจริง ๆ!
จากการปัดป่ายด้วยมือเล็ก ๆ ของเธอ ซูเถาก็ได้ซื้อเครื่องทำบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปใหม่สองเครื่อง วางไว้ข้าง ๆ ตู้แช่แข็ง
จากนั้นเธอก็เติมของจนเต็มตู้ โดยใช้จ่ายไปทั้งหมด 3,200 เหลียนปัง
เมื่อเธอคิดถึงว่าอากาศเริ่มร้อนแล้ว เธอจึงซื้อเครื่องทำไอศกรีม ซึ่งสามารถทำไอศกรีมซันเดย์ได้ถึงหกรสชาติ ซื้อแค่เครื่องเดียวก็น่าจะเพียงพอแล้ว เพราะราคานั้นค่อนข้างสูง ราคาอยู่ที่ 2,500 เหลียนปังต่อหนึ่งเครื่อง ซึ่งเป็นเครื่องที่ราคาแพงที่สุดในบรรดาเครื่องจำหน่ายอัตโนมัติ
ให้ตายเถอะ การนำเข้าสินค้านั้นก็ราคาสูงเช่นกัน 12 ถ้วย 1,000 เหลียนปัง ราคาขายต่อถ้วยอยู่ที่ 200 เหลียนปัง นี่ถือเป็นของที่ฟุ่มเฟือยที่สุดในยุควันสิ้นโลก คนส่วนใหญ่คงลังเลที่จะซื้อมัน
ซูเถาหยิบรสช็อกโกแลตออกมาหนึ่งถ้วย เธอกินเข้าไปแล้วรู้สึกสดชื่นตั้งแต่โคนผมถึงฝ่าเท้า
ว้าว เด็ก ๆ ก่อนวันสิ้นโลกคงหาของอร่อยแบบนี้กินได้ทั่วไปสินะ
หลังจากนั้นซูเถาก็ได้เพิ่มเครื่องทำน้ำแข็ง การใช้งานแต่ละครั้งต้องการเพียง 5 เหลียนปัง เพื่อรับน้ำแข็งก้อนเล็กหนึ่งแก้ว และผู้เช่าสามารถมารับน้ำฟรีได้จากตู้กดน้ำ
ในฤดูร้อน การมีน้ำเย็น ๆ ดื่มสักแก้วคงช่วยชีวิตได้ไม่น้อย
จนถึงตอนนี้พวกเครื่องที่อยู่ในร้านค้าขายอาหารและเครื่องดื่มถูกซูเถาซื้อมาหมดแล้ว
ถ้าจะซื้อเครื่องจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่มอื่น ๆ ก็ต้องอัปเกรดร้านค้า
ซูเถาตรวจสอบเงื่อนไขการอัปเกรด ซึ่งเธอต้องใช้เงินทั้งหมด 100,000 เหลียนปัง!
แต่ว่าตอนนี้เธอมีทรัพย์สินมากกว่า 100,000 เหลียนปังเล็กน้อย ถ้าเธออัปเกรดร้านค้า เธอสามารถก้าวไปสู่ความยากจนได้เลย
ขอโทษด้วย ไว้มีเงินแล้วค่อยกลับมาแล้วกัน
เธอต้องประหยัดเงินเพื่อสร้างน้ำพุขนาดใหญ่ในคืนนี้
เฉินซีและเฉินหยางกำลังกินข้าวอยู่ที่นอกโรงอาหาร ซูเถาจึงเรียกพวกเขาเข้ามาแล้วให้ไอศกรีมแก่พวกเขาคนละถ้วย
เด็กทั้งสองไม่เคยเห็นของว่างที่สวยงามน่ากินขนาดนี้มาก่อน พวกเขาถือมันไว้ในมือและทำตัวไม่ถูก
เฉินหยางลองชิมก่อนหนึ่งคำ มันมีรสหวานเย็นละลายปาก อร่อยจนตาของเขาเป็นประกายแวววาว
“พี่เถาจื่อ นี่มันคืออะไรเหรอ? อร่อยมากเลย”
ซูเถาลูบหัวของเขา “ไอศกรีม ของเราเป็นรสบลูเบอร์รี ส่วนของซีซีเป็นรสสตรอว์เบอร์รี ลองสลับกันกินสิ จะได้ลองรสที่แตกต่าง”
สองพี่น้องสลับกันกินตามที่ซูเถาบอก ดวงตาของพวกเขาเป็นประกาย และพวกเขาก็ยังมีน้ำใจยื่นให้ซูเถาชิมด้วย ซูเถาส่ายหัวและบอกว่าเธอกินแล้ว เมื่อเห็นเฉินซีถอดหน้ากากอนามัยออก ก็เผยให้เห็นใบหน้าที่มีรอยฟกช้ำ ซูเถาจึงถามอย่างเป็นทุกข์
“ยังเจ็บอยู่หรือเปล่า?”
เฉินซีส่ายหัว “ไม่เจ็บแล้วค่ะ แต่ว่าคันมาก”
ซูเถารู้สึกว่าเธอต้องได้รับการรักษาโดยเร็ว มิฉะนั้นมันอาจจะสายเกินไปถ้าเนื้อเยื่อมันสมานกันเรียบร้อยแล้ว
ไว้เธอต้องหาเวลาคุยกับจวงหว่าน
เด็กทั้งสองกระโดดโลดเต้นไปมา พร้อมกับมองหาแม่ของพวกเขาในขณะที่ถือถ้วยไอศกรีมอยู่ในมือ
จวงหว่านมองไปที่ถ้วยไอศกรีม “เอามาจากไหนเหรอ?”
ผู้อาวุโสเหม่ยที่กำลังวาดภาพอยู่แถวนั้น เขามองลอดแว่นตาแล้วจ้องไปรอบ ๆ
“ไอศกรีมเหรอ? แม่หนูคงทำออกมาอีกแล้วล่ะสิเนี่ย?”
เฉินหยางพยักหน้า “พี่เถาจื่อให้พวกเรา ดูเหมือนว่าจะมีเครื่องใหม่ ๆ สองสามเครื่องที่โรงอาหาร มีเครื่องทำอาหารอร่อย ๆ และสามารถเลือกรสชาติได้ด้วย แม่ลองชิมดูสิ อันนี้เป็นรสบลูเบอร์รี”
“แม่ลองชิมของหนูสิ ของหนูรสสตรอว์เบอร์รี”
เฉินหยางเฉินซีผลัดกันป้อนแม่ของพวกเขาคนละคำสองคำ
จวงหว่านยอมรับในความใจดีและมีน้ำใจของเด็ก ๆ ทันทีที่ไอศกรีมละลายในปากเธอ พลันทำให้คิดถึงตอนเรียนอยู่ชั้นมัธยม ช่วงฤดูร้อนแม่ของเธอจะพาไปกินไอศกรีมซันเดย์ที่ร้านไก่ทอด เธอหวนรำลึกถึงความสุขและความสงบในวัยเด็ก
ผู้อาวุโสเหม่ยเรียกหลิวพ่านพ่าน “เสี่ยวพ่าน ฉันได้ยินมาว่าหนูเถาทำเครื่องขายไอศกรีมออกมา เธออยากกินหรือเปล่า? ถ้าอยากกินบอกฉันนะ ฉันจะซื้อให้เธอเอง แล้วเธอก็เอามาเผื่อฉันสักถ้วยด้วยนะ”