ฉันเป็นเศรษฐีอสังหาฯในวันสิ้นโลก - ตอนที่ 76 เสวี่ยเตาเห่า
ตอนที่ 76 เสวี่ยเตาเห่า
ตอนที่ 76 เสวี่ยเตาเห่า
ซูเถาตบที่ขาของเขาครั้งหนึ่ง
“อะไรนะ นอกจากสติปัญญาของเขาจะไม่มีปัญหาแล้ว แต่เขายังฉลาดมากอีกด้วย เพียงแต่เขายังไม่เคยเห็นของพวกนี้มาก่อน คุณมีปัญหาอะไรอีกไหม ถ้าไม่มีแล้วก็รีบกลับไปนอนเถอะ”
สือจื่อจิ้นมองไปที่หลินฟางจืออีกครั้ง และเห็นว่าเขาไม่เข้าใจจริง ๆ จึงไม่ได้พูดอะไรอีก เพียงแค่ถามว่า “คืนนี้คุณจะให้เขานอนที่ไหน หรือให้ผมพาเขาไปไหม?”
หลินฟางจือเข้าใจแล้ว สีหน้าของเขาเปลี่ยนไป คิดอยากจะส่ายหน้าแต่ก็ไม่กล้าส่าย
ซูเถากล่าว “ทําไมเด็กถึงไม่ชอบคุณนะ เฉินซีเฉินหยางเจอคุณก็กลัวมาก คืนนี้ให้เขานอนในมิติของตัวเอง คุณไม่ต้องเป็นห่วงหรอก”
หลังจากรอให้สือจื่อจิ้นจากไปแล้ว ท่าทางของหลินฟางจือถึงค่อย ๆ ผ่อนคลาย
ซูเถาเองก็ง่วงนอนแล้วเช่นกัน เธอจึงนำผ้าห่มและหมอนขนาดเล็กที่ซักสะอาดและตากจนแห้งแล้วคืนให้เขา
“นายก็รีบเข้านอนเถอะ เดี๋ยวฉันวางน้ำไว้ให้บนโต๊ะ ตอนดึกถ้าตื่นมาก็หยิบดื่มเองนะ ถ้ามีเรื่องอะไรก็เคาะประตูห้องฉันได้เลย ราตรีสวัสดิ์จ้ะ”
หลินฟางจือพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง มองเธอเดินเข้าห้องนอนไปและปิดประตู แล้วจึงกระซิบบอกราตรีสวัสดิ์ด้วยเสียงที่มีเพียงเขาเท่านั้นที่ได้ยิน
เสวี่ยเตาดมกลิ่นเขา และค่อย ๆ เข้าไปในห้องสัตว์เลี้ยง จากนั้นล้มตัวนอนลงบนที่นอนและหลับไป
ในค่ำคืนที่เงียบสงบ แสงจันทร์กระจ่าง
หลินฟางจือมองไปที่ประตูห้องนอนของซูเถาอยู่เป็นเวลานาน เมื่อได้ยินลมเสียงหายใจสม่ำเสมอดังมาจากในห้อง เขาก็หายเข้าไปในมิติของตัวเอง
เขาโตมาขนาดนี้แล้วนี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้นอนบนเตียง ด้วยความที่เตียงนุ่มมากจนเมื่อนอนลงตัวก็สามารถจมลงไปได้ ความอบอุ่นของการถูกห่อหุ้มทำให้รู้สึกสบายตัว แต่นี่ก็เป็นครั้งแรกเขารู้สึกว่ามันเงียบเกินไป และไม่ได้ยินเสียงการหายใจที่ทำให้เขามั่นใจ
ในตอนเช้าซูเถาหาวและลุกขึ้นจากเตียงด้วยท่าทางงัวเงีย เมื่อเปิดประตูออกมา และเห็นสถานการณ์ตรงหน้าเธอก็ต้องตกใจแทบกระโดดตัวลอย
หลินฟางจือนอนขดตัวในผ้าห่มหน้าประตูห้องของเธอ
ทันทีที่ประตูเปิดออกมาอีกฝ่ายก็ตื่นขึ้นทันที ดวงตากลมโตราวกับกวางน้อยเบิกกว้าง กระโดดเข้าไปหลบอยู่ที่มุมกำแพง
ซูเถาเห็นท่าทางตื่นตระหนกนั้นจึงเขาไปปลอบโยน “ไม่เป็นไร ฉันเอง ไม่ต้องกลัว ไม่ต้อง กลัว”
ความกลัวในแววตาของหลินฟางจือค่อย ๆ จางหายไป
“ทำไมมานอนอยู่ข้างนอกนี่ล่ะ เตียงไม่สบายหรือโซฟาไม่สบายเหรอ?”
หลินฟางจือได้แต่ส่ายหน้า ไม่สามารถให้คำอธิบายที่ชัดเจนได้
ซูเถาจึงถอนหายใจและพูดอย่างอดทน
“นอนบนพื้นมันไม่ดีต่อร่างกาย จะเป็นหวัดได้ง่าย คุณภาพการนอนก็ไม่ดี นายต้องเชื่อฟังฉันนะ ครั้งต่อไปให้นอนบนเตียงหรือโซฟา…”
ด้านหนึ่งพูดจู้จี้ อีกด้านหนึ่งก็ตรวจสอบการรั่วไหลของวัสดุก่อนเดินทาง ทันทีที่มาถึงชั้นล่างก็พบกับเฉียนหรงหรงที่กําลังหอบหายใจอยู่
“พี่เถาจื่อ โชคดีที่ยังมาทัน ฉันนึกว่าพี่จะไปรวมตัวกับพวกเขาที่ประตูหมายเลขสองแล้ว อันนี้ฉันให้พี่”
ซูเถารับกระเป๋าใบนั้นและถามอย่างสงสัยว่า “อะไรน่ะ? เอ๊ะ เธอตาแดงเหรอ เมื่อคืนไม่ได้นอนหรือยังไง?”
เฉียนหรงหรงลูบศีรษะตัวเองอย่างเขินอาย
ซูเถาเปิดกระเป๋าและพบว่าเป็นกระเป๋าหนังสำหรับใส่ปืน ดังนั้นจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ
“ขอบคุณนะ เธอทำมันเองเหรอ? เก่งจังเลย”
รูปแบบที่ทำมาให้สามารถผูกติดกับทั้งเอวและต้นขาได้ พื้นผิวของหนังเมื่อสัมผัสกลับนุ่มและแข็งแรง
ใบหน้าของเฉียนหรงหรงแดงราวกับกุ้งต้ม
“ก่อนหน้านี้ได้เรียนรู้มาบ้างน่ะค่ะ แต่ไม่ได้ชำนาญเท่าไร เลยทำมันเป็นเพียงงานอดิเรก เมื่อไม่กี่วันก่อนฉันเห็นรูปถ่ายของซองหนังใส่ปืนที่พี่ให้คุณย่าเฉิน ก็เลยคิดว่าตัวเองน่าจะทำได้ เลยลองทำดู หวังว่าพี่จะใช้งานได้นะคะ”
ไม่ใช่แค่ซูเถาใช้งานได้ แต่เธอยังชอบมันมากอีกต่างหาก เธอจึงสวมมันไว้ที่เอวและรัดไว้อย่างแน่นหนา
“ทั้งดูดีและใช้งานได้จริง ถ้านี้ไม่ใช่ยุควันสิ้นโลก หรงหรงของเราจะต้องเป็นช่างฝีมือที่มีชื่อเสียงแน่ ๆ”
เฉียนหรงหรงถูกชมจนแทบจะละลาย จึงเร่งให้เธอรีบออกไปได้แล้ว
“พี่เถาจื่อรีบไปเถอะค่ะ ฉันเห็นพลตรีสือรออยู่ที่หน้าประตูสักพักแล้ว”
เมื่อมาถึงประตูใหญ่ของเถาหยาง จวงหว่าน ผู้อาวุโสเหม่ย และคนอื่น ๆ ก็มารออยู่กับผู้เช่าส่วนใหญ่เพื่อรอส่งเธอ หลังจากกำชับกันซ้ำแล้วซ้ำเล่า เมื่อเห็นว่าเธอขึ้นไปบนรถและหายลับไปทุกคนถึงได้แยกย้ายกันไป
“เส้นทางคดเคี้ยวมากจริง ๆ” กวานจือหนิงบ่น และยังขับรถต่อไป
รถถูกนำกลับมาเมื่อคืนนี้หลังจากที่มันถูกปรับปรุงเสร็จ มีทั้งตู้เย็นที่เก็บไว้ท้ายรถ และได้เปิดใช้งานแล้ว
ชายชรายังติดตั้งผ้าม่านไฟฟ้าเพื่อความเป็นส่วนตัวที่หน้าต่างรถ ตอนจะพักผ่อนก็สามารถใช้ริโมตคอนโทรลเพื่อดึงลงมาได้ ไม่สามารถมองเห็นจากด้านนอกได้ แต่สามารถมองเห็นจากด้านในได้
ด้านหลังของเบาะหลังสามารถปรับให้ราบเป็นเตียงขนาด 1.2 เมตรได้ ชั้นบนยังมีชั้นวางของแบบเลื่อนเก็บได้ สามารถใส่เครื่องนอนและของใช้ประจำวันทั่วไปได้
รถบ้านขนาดเล็กเป็นรุ่นที่มีรายละเอียดต่ำ
ซูเถาค่อนข้างพอใจกับผลลัพธ์ของมันเป็นอย่างมาก ประกอบกับมีห้วงมิติของฟางจือจึงไม่ใช่ปัญหาที่จะทำให้คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
เธอหยิบปืนพลังงานนิวเคลียสออกจากกระเป๋าเป้สะพายหลัง และใส่เข้าไปในซองหนังที่เอว ซึ่งมีขนาดที่เหมาะเจาะ หยิบใช้หรือเก็บได้อย่างสะดวก
หรงหรงช่างเป็นนางฟ้าตัวน้อยจริง ๆ ใช้งานง่าย และยังเท่อีกด้วย
นอกจากนี้ยังมีผลึกนิวเคลียสที่ล้ำค่าสามชิ้นในกระเป๋าเป้สะพายหลัง เมื่อคิดไปคิดมาแล้วเธอจึงนำออกมาส่งให้หลินฟางจือ
“ช่วยฉันเก็บไว้หน่อย”
ถ้าใส่ไว้ในกระเป๋ามีหวังโดนปล้นหรือโดนขโมยแน่ แบบนั้นหัวใจของเธอคงจะราวกับถูกมีดกรีด
หลินฟางจือพยักหน้า และรับมันมาจากมือของเธอก่อนจะนำใส่เข้าไปในมิติ
ที่จุดนัดพบของประตูหมายเลขสอง ขบวนรถของกองทัพบุกเบิกจอดรถเรียงรายเป็นแถวเรียบร้อยรออยู่ ณ ที่แห่งนั้น
ภารกิจนี้เป็นภารกิจใหญ่ มียานพาหนะแปดคันซึ่งสี่คันเป็นรถบรรทุกขนาดใหญ่เพื่อบรรทุกวัสดุก่อสร้าง และอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่สามารถหาได้ในภายหลัง
อีกสองคันบรรทุกเสบียงสำหรับกองทัพ และอีกหนึ่งคันบรรทุกคน
คันสุดท้ายที่แปลกประหลาดที่สุด ซึ่งจอดอยู่ตรงกลางขบวน ทั้งคันถูกปิดผนึก ไม่มีหน้าต่าง และยังมีตาข่ายโลหะปิดไว้ด้านนอก
ของด้านในที่ถูกปิดผนึกไว้ น่าจะเป็นซอมบี้วิวัฒนาการ ‘โบนวิงส์’ ที่สร้างเหตุการณ์นองเลือดมาหลายต่อหลายครั้ง
สือจื่อจิ้นเดินเข้ามา เขาอยู่ในชุดเครื่องแบบทหารชี้ไปที่ที่ว่างที่อยู่ด้านหน้าของรถคันนั้น
“พวกคุณขับรถไปอยู่ตรงนั้นนะ”
กวานจือหนิงทําตาม และยังเอ่ยกับซูเถาอีกว่า
“ฉันพูดถูกใช่ไหม พลตรีสือจะต้องให้คุณอยู่กลางขบวนรถแน่ ภารกิจก่อนหน้านี้ที่อยู่กลางขบวนมักจะเป็นของที่มีค่าเสมอ แต่ตอนนี้เปลี่ยนเป็นคุณกับสัตว์ประหลาดตัวน้อยนั้นแล้ว”
ซูเถากล่าว “ดื่มชาบ่ายนี้เธอไปเชิญเขามานะ”
เมื่อรถขับเข้าที่เรียบร้อย ซูเถาก็หันไปมองรถจำนวนมากที่อยู่ด้านหลัง ภาพตรงหน้าทำให้ขนแขนลุกชันอย่างห้ามไม่ได้ เพียงหวังว่าระหว่างเดินทาง สัตว์ประหลาดที่อยู่ภายในจะหลับใหลไปอย่างเชื่อฟัง
หลังจากรถทุกคันเข้าที่ สือจื่อจิ้นเรียกให้ผู้ติดตามทั้งหมดลงมา เพื่อระดมพลในภารกิจสุดท้าย
เมื่อตะโกนคําปฏิญาณเสียงดังลั่น จู่ ๆ ซูเถาก็เห็นคนแปลกหน้าแต่รู้สึกคุ้นเคยในกลุ่มพลาธิการ—เจียงจิ่นเวย
ซูเถาตกตะลึง ทันใดนั้นก็รู้สึกราวกับว่าเวลานั้นผ่านไปเป็นนานแล้ว ฉากในตระกูลซูดูเหมือนจะค่อย ๆ เลือนหายไปในความทรงจําของเธอ
เธอเกือบลืมเจียงจิ่นเวยคนนี้ไปแล้ว พลันนึกขึ้นได้ว่าถ้าตอนนั้นไม่มีเธอเข้ามาแทนที่ เจียงจิ่นเวยก็คงต้องเข้าร่วมกองทัพแล้ว การปรากฏตัวของเธอในครั้งนี้ก็ไม่ได้น่าแปลกใจนัก
ท่ามกลางเสียงความวุ่นวาย เจียงจิ่นเวยก็เห็นเธอเช่นกัน
เพื่อนร่วมทีมข้าง ๆ มองตามสายตาของเธอ และเมื่อเห็นซูเถาจึงหันหัวไปถามเจียงจิ่นเวยทันที
“ไหนคุณบอกว่าเธอเป็นน้องสาวของคุณไง? ทำไมไม่เรียกให้เธอมาหาล่ะ? หรือคุณไม่ไปอยู่ที่รถคันนั้นด้วยล่ะ การป้องกันเต็มกำลัง ไม่แน่ว่าอาจจะได้กินอาหารชั้นเลิศ”
เจียงจิ่นเวยรู้ว่าเพื่อนร่วมทีมของเธอไม่ได้หวังดีกับเธอ แต่จงใจเยาะเย้ยเรื่องของเธอให้เป็นเรื่องตลก
เจียงจิ่นเวยพูดด้วยรอยยิ้ม “ฉันไม่ได้สนใจ ถ้าพวกคุณมีใครอยากทำก็เชิญไปดมเท้าเหม็นๆ ของเธอซิ”
เพื่อนร่วมทีมไม่ได้ชอบเจียงจิ่นเวยมากนัก เพราะรู้สึกว่าอีกฝ่ายอวดดี เรื่องมาก และปากเสีย
เมื่อทุกคนได้ยินอย่างนั้นก็พากันกลอกตา และหยุดให้ความสนใจกับเธอ
ซูเถามองออกไปทางอื่นราวกับว่ามองไม่เห็น คนแปลกหน้าที่คุ้นเคย ไม่จําเป็นต้องให้ความสนใจมากนัก
คําพูดระดมพลที่สือจื่อจิ้นเอ่ยขณะยืนอยู่บนหลังคารถใกล้จะถึงจุดสิ้นสุดแล้ว ทุกคนเต็มไปด้วยพลัง และเขาก็พูดประโยคสุดท้ายออกมา ‘แม้ตายก็ไม่เสียดาย’ เลือดของซูเถาก็เดือดพล่านด้วยความตื่นเต้น
ในขณะที่แตรสัญญาณของ ‘การออกเดินทาง’ กําลังจะดังขึ้น เสวี่ยเตาซึ่งนอนนิ่งอยู่ จู่ ๆ ก็ลุกขึ้นยืน และเห่าเสียงดังลั่นไปในทิศทางที่แน่นอน
ในหัวซูเถามีเสียงระฆังดังขึ้นปลุกให้ต้องตื่น เมื่อเธอนึกถึงคํากำชับของเผยตง มันได้รับการฝึกฝนการดมกลิ่นมาอย่างดี และคุ้นเคยกับลมหายใจของกู้หมิงฉือมาก และมันจะเห่าก็ต่อเมื่ออีกฝ่ายอยู่ใกล้ภายในร้อยเมตร
เธอมองไปในทิศทางที่เสวี่ยเตาเห่าโดยอัตโนมัติ และเห็นชายคนหนึ่งยืนอยู่บนกําแพงเมืองตงหยาง ด้วยระยะทางที่ไกลจึงไม่สามารถมองเห็นใบหน้าเขาได้ชัดเจนนัก เขาสวมชุดสีดํายืนนิ่งอยู่บริเวณนั้น
ทันใดนั้น สือจื่อจิ้นก็เข้ามาใกล้ ปิดตาของเธอไว้ กอดเธอและผลักเธอเข้าไปในรถ
เสวี่ยเตายังคงแยกเขี้ยวเห่าไม่หยุด แต่ก็ถูกดึงเข้าไปในรถด้วยเช่นกัน
เสียงแตรดังขึ้น รุ่งอรุณทางทิศตะวันออก ดวงอาทิตย์โผล่ขึ้นมาผ่านมวลเมฆา ประกาศศักดาการมาถึงของดวงอาทิตย์ที่สว่างไสว
ขบวนรถขนาดใหญ่เคลื่อนตัวกันอย่างครึกโครม และมุ่งหน้าไปยังทิศทางที่อ้างว้างและลึกลับ