ฉันเป็นเศรษฐีอสังหาฯในวันสิ้นโลก - ตอนที่ 79 กินน้ำตาลมากหน่อย เพื่อให้ลืมความขมขื่นในอดีต
- Home
- ฉันเป็นเศรษฐีอสังหาฯในวันสิ้นโลก
- ตอนที่ 79 กินน้ำตาลมากหน่อย เพื่อให้ลืมความขมขื่นในอดีต
ตอนที่ 79 กินน้ำตาลมากหน่อย เพื่อให้ลืมความขมขื่นในอดีต
ตอนที่ 79 กินน้ำตาลมากหน่อย เพื่อให้ลืมความขมขื่นในอดีต
จากนั้นก็ได้รับค่าเช่าสําหรับเดือนสี่ของทั้งเดือน รวมแล้วทั้งหมด 215,000 เหลียนปัง และเมื่อรวมกับเงินฝากเดิมอีกกว่า 400,000 ทรัพย์สินรวมของเธอก็สูงถึง 610,000 เหลียนปัง
เพราะในมือซูเถาไม่เคยมีทรัพย์สินมากขนาดนี้มาก่อน ทําให้เธอรู้สึกตื่นเต้นอยู่ชั่วขณะหนึ่ง
เธอตื่นเต้นมากจนแทบรอไม่ไหวที่จะอัปเกรดร้านค้าทั้งหมดด้วยมือเล็ก ๆ ของเธอ
แต่สุดท้ายเธอก็ควบคุมตัวเองได้ และเริ่มใช้เหตุผลในการพิจารณาเรื่องต้นทุนในการอัปเกรด
หากจ่าย 200,000 เพื่ออัปเกรดร้านตกแต่งบ้านก็จะสามารถเปิดการใช้งานและซื้อเครื่องใช้ในบ้านที่มีความอัจฉริยะได้ เช่นหุ่นยนต์ทำความสะอาด กลอนประตูดิจิทัลที่สแกนรหัสผ่านได้ด้วยลายนิ้วมือ ตู้กดน้ำดื่มควบคุมอุณหภูมิ ผ้าม่านอัตโนมัติ ไฟควบคุมด้วยเสียง และเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็กที่มีความอัจฉริยะต่าง ๆ
เมื่อห้องพักตกแต่งด้วยของใช้อัจฉริยะก็จะสามารถเพิ่มค่าเช่าได้มากขึ้น
หากจ่าย 500,000 เพื่ออัปเกรดร้านค้าสิ่งอำนวยความสะดวกสาธารณะก็จะสามารถขยายพื้นที่ชั้นใต้ดินได้
เท่ากับสามารถเพิ่มพื้นที่ที่ดินในเถาหยางให้เป็นสองเท่าได้
ใต้ดินที่ขยายออกไปสามารถใช้สร้างโรงรถใต้ดิน หรือถนนสำหรับการค้าใต้ดินได้
เมื่อถึงตอนนั้นเครื่องจําหน่ายสินค้าอัตโนมัติทั้งหมดก็สามารถย้ายไปใต้ดินได้ และเมื่อมีความหลากหลายของเครื่องจักรและสินค้าที่เพิ่มขึ้น ย่านธุรกิจก็จะเกิดขึ้น นี่ทำให้ในอนาคตทุกคนจะสามารถมาซื้อของได้ในที่ที่เดียว
นอกจากนี้เธอยังฝันกลางวันว่า หากในอนาคตพื้นที่ของเถาหยางมีขนาดเท่ากับฉางจิง ก็จะสามารถสร้างรถไฟใต้ดินและทางเดินใต้ดินได้ เช่นเดียวกับช่วงก่อนวันสิ้นโลก เพื่อให้การจราจรในเมืองจะได้มีคุณภาพแบบก้าวกระโดด…
ซูเถาหยุดความฝันเหล่านั้นไว้ก่อน เพราะไม่ว่าร้านไหนจะอัปเกรดก็ต้องใช้เงินหลายแสน
เพราะต่อไปยังต้องใช้เงินอีกหนึ่งล้านเพื่ออัปเกรดระบบ
เมื่อคิดแบบนี้แล้ว ทรัพย์สินแค่หกแสนก็ถือว่าไม่มากเลย…
ภายใต้สถานการณ์ที่ต้องเก็บเงินไว้ในมือ จะเลือกอัปเกรดร้านค้าขนาดเล็ก หรือควรจะเก็บเงินไว้เพื่อให้ใช้อัปเกรดระบบเมื่อมีเงินถึงหนึ่งล้าน
หลังจากครุ่นคิดเรื่องนี้มาแล้วหลายครั้ง ในที่สุดซูเถาผู้ขี้เหนียวก็ไม่ได้ใช้เงินเลยแม้แต่น้อย เธอวางแผนที่จะรอจนกว่าจะถึงฐานโส่วอันเพื่อให้มีสัญญาณ แล้วค่อยโทรหาผู้อาวุโสเหม่ยและถามความคิดเห็นจากผู้เชี่ยวชาญ
เธอปิดแผงระบบและเตรียมตัวเข้านอน แต่จู่ ๆ ซูเถาก็ได้ยินเสียงจากรถด้านหลัง เธอจึงปีนไปที่กระจกหลังเพื่อดู
แล้วก็เห็นว่าก็เป็นสือจื่อจิ้นที่พาลูกน้องสองคน มาเปิดรถที่เจ้า ‘โบนวิงส์’ อาศัยอยู่ และกระโดดผ่านหลังคาซันรูฟเข้าไปด้านในทีละคน
หัวใจของซูเถาเต้นเร็วขึ้นพลางหันไปหากวานจือหนิงที่กําลังหลับอยู่ และกระซิบว่า
“เมื่อกี้ฉันเห็นพลตรีสือเข้าไปในรถคันข้างหลัง ทำไมพวกเขาต้องเข้าไป มันไม่อันตรายไปเหรอ”
กวานจือหนิงสะลึมสะลือตื่นขึ้น และกดเธอให้นอนลงด้วยกัน
“นอนเถอะ ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เขาแค่จะให้สารละลายธาตุอาหารกับสัตว์ประหลาดตัวนั้น เพื่อให้มันยังมีชีวิตอยู่ คนยังต้องกินข้าว ซอมบี้ก็ต้องกินเหมือนกัน ไม่อย่างนั้นถ้ามันตายไป เราจะอธิบายกับฉางจิงว่ายังไง”
ซูเถาโล่งใจ แต่หัวใจก็ยังเต้นรัว “ตึกตัก” อยู่ไม่หยุด
เธอดึงเสื้อของกวานจือหนิง “มันจะไม่หนีไปใช่ไหม?”
กวานจือหนิงรําคาญเธอ จึงหันไปพูดด้วยความเลอะเลือน
“ไม่ รีบนอนเถอะ ถ้ายังพูดอีกฉันจะตีคุณ”
ซูเถาเตะตูดของเธอก่อนเพื่อความได้เปรียบ
ทั้งสองเล่นกอดรัดฟัดเหวี่ยงกัน คนขับรถที่มาเปลี่ยนกะหันมองเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้สนใจพวกเธอนัก
เสวี่ยเตาขยับใบหู และนอนหลับต่อไป
แต่ทันใดนั้นหลินฟางจือก็โผล่ออกมาจากมิติ และดึงกวานจือหนิงออกไปจากซูเถา เลิกคิ้วมองกวานจือหนิงเหมือนเฮยจือหม่า
ซูเถารีบลูบผมอีกฝ่ายพลางเอ่ยปลอบ “ไม่เป็นไร เรากําลังเล่นกัน ไม่ใช่การทะเลาะ”
หลังจากเกลี้ยกล่อมอยู่นาน หลินฟางจือก็เข้าใจว่าซูเถาไม่ได้ถูกรังแก เขาจึงสงบและกลายเป็นเด็กดีอีกครั้ง
ความง่วงนอนของกวานจือหนิงหายไป และเหลือบมองหลินฟางจืออย่างกังวล ก่อนจะพึมพําว่า “เหมือนลูกหมาป่าไม่มีผิด”
หลังจากผ่านค่ำคืนไปอย่างทุลักทุเล วันรุ่งขึ้นยังคงพบระลอกซอมบี้เล็ก ๆ อยู่สองสามครั้ง แต่ก็สามารถจัดการปัญหาไปได้ทุกครั้ง เธอกินข้าว แล้วดูทีวีเพื่อฆ่าเวลา จนกระทั่งประมาณห้าโมงเย็น ขบวนรถจึงหยุดเพื่อจัดระเบียบเป็นครั้งสุดท้าย
ซูเถาเริ่มเห็นกลุ่มผู้รอดชีวิตในชุดมอมแมมเดินไปทางฐานโส่วอัน เมื่อผู้คนเหล่านี้เห็นขบวนรถก็ตื่นตกใจมาก ดวงตานั้นเต็มไปด้วยความหวัง
ขบวนรถจอดไม่ถึงยี่สิบนาที ก็มีหญิงร่างสูงผอมห้าหกคนพาลูก ๆ ค่อย ๆ เข้ามาใกล้ท่อน้ำเสียที่เพิ่งถูกระบายออก นั่นล้วนเป็นน้ำเสียจากขยะที่ทำอาหาร และน้ำที่ทุกคนทําความสะอาดร่างกายของพวกเขา
พื้นดินที่แห้งแล้งและร้อนอบอ้าวค่อย ๆ ดูดซับน้ำ และเพราะเกรงว่าในไม่ช้ามันจะระเหยไป ดังนั้นผู้หญิงเหล่านั้นจึงอดทนต่อความกลัวของขบวนรถแปลก ๆ และรีบเดินเข้ามา นอนราบลงกับพื้น แลบลิ้นออกมาเลียพื้นพร้อมกับใช้ภาชนะเล็ก ๆ ตักน้ำจากแอ่งเล็ก ๆ ขึ้นมา
ลูก ๆ ส่วนใหญ่ของพวกเขาอายุเพียงสี่หรือห้าขวบ ก็นอนอยู่บนพื้นกับแม่ของพวกเขาเพื่อดื่มน้ำ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยโคลนและฝุ่น ครั้นเมื่อพวกเขาเงยหน้าขึ้น ใบหน้ากลับมีรอยยิ้มที่ไร้เดียงสา
สือจื่อจิ้นและทีมของเขาดูเหมือนจะประหลาดใจกับฉากดังกล่าว แม้จะไม่ได้ขับรถแต่พวกเขาก็ไม่ได้ใส่ใจ และยังคงให้ผู้รอดชีวิตเหล่านั้นเก็บขยะและดื่มน้ำสีเทาที่อยู่ด้านหลังขบวนรถต่อไป
ซูเถาทนไม่ไหว จึงดึงม่านลงเพื่อปิดกั้นสิ่งเหล่านั้น
กวานจือหนิงถามเธอว่า “อยากช่วยพวกเขาไหม”
ซูเถาส่ายหัว “ฉันช่วยไม่ได้ ถ้าฉันให้น้ำคนคนหนึ่งไป ทีมของเราก็จะไม่สามารถเดินทางต่อไปได้แล้ว”
ผู้รอดชีวิตที่หิวกระหายน้ำจะถูกปฏิบัติเหมือนฟาง ที่ยึดติดและจับไม่ปล่อย
เมื่อมองไปรอบ ๆ จะเห็นว่ามีผู้รอดชีวิตหลายร้อยคนแม้ว่าจะไม่ได้สร้างความเสียหายต่อขบวนรถ แต่ก็จะทําให้การเดินทางช้าลงและก่อให้เกิดปัญหาที่ไม่จําเป็น
เธอไม่ได้มีความเห็นอกเห็นใจมากขนาดนั้น
กวานจือหนิงเลิกคิ้ว “คุณนี่มีจุดยืนจริง ๆ สหายร่วมรบของเราบางคนในกองทัพชายแดนที่ปฏิบัติภารกิจเป็นครั้งแรก ตอนที่เห็นคนพวกนี้ก็มักจะเอาของกินให้ สุดท้ายการบังคับปราบปรามเป็นวิธีเดียวที่จะทำให้สถานการณ์มีเสถียรภาพมากขึ้น พลตรีสือจึงต้องฆ่าผู้รอดชีวิตไปสองคน”
ซูเถาถอนหายใจ เอื้อมมือไปแตะเส้นผมยาว ๆ ของหลินฟางจือ
เมื่อเธอเห็นเด็ก ๆ เหล่านั้นต้องนอนอยู่บนพื้น ก็นึกถึงหลินฟางจือตอนที่ยังเด็กมาก ๆ เขาไม่มีแม่ด้วยซ้ำ
ยิ่งคิดก็ยิ่งทุกข์ใจ ซูเถาหยิบลูกอมขึ้นมาเม็ดหนึ่งแล้วแกะเปลือกมันและยัดเข้าไปในปากของหลินจือฟาง
กินลูกอมให้มากหน่อย แล้วลืมความขมขื่นในอดีตเถอะ
ความหวานละลายในปากของเขา หลินฟางจือเผยรอยยิ้มซื่อให้ซูเถา
ช่วงหนึ่งทุ่มก่อนพระอาทิตย์ตกดิน ในที่สุดขบวนรถก็มาถึงฐานโส่วอัน
นี่เป็นครั้งแรกที่ซูเถาได้เห็นฐานอื่นนอกจากฐานตงหยาง และเธอก็รู้ด้วยว่าไม่ใช่ทุกฐานที่จะกังวลเกี่ยวกับชีวิตและความปลอดภัยของคนธรรมดาเท่ากับตงหยาง
ตงหยางยังมีกําแพงเตี้ย ๆ เป็นเขตแดน และมีทหารยามประจําการอยู่รอบฐานตลอดเวลา เพื่อป้องกันความปลอดภัยรอบฐาน
แต่โส่วอันนี่อะไร
ฐานที่มีคนอาศัยอยู่ถึงห้าหมื่นคน แต่กลับไม่มีแม้ประตู นับประสาอะไรกับกําแพงที่จะช่วยป้องกันการบุกรุกจากภายนอก
บ้านของคนยากจนบางหลังถูกสร้างขึ้นรอบนอกเพื่อเป็นกําแพง ทั้งพังและทรุดโทรม ซ้ำยังได้เห็นศพหลายศพที่มีแมลงวันตอมหึ่ง จนสามารถได้กลิ่นศพมาจากระยะไกล
ซูเถาอ้าปากค้างด้วยความตกใจ เพราะต้องทนกับความปั่นป่วนในท้อง จึงถามกวานจือหนิง
“พวกเขาไม่กลัวความตายบ้างเหรอ? ซอมบี้ที่มีวิวัฒนาการคงจะชอบพวกเขามากใช่ไหม? เพราะไม่มีกำแพงแบบนี้ ก็เข้ามาฆ่าคนได้ง่าย ๆ เลยสิ”
กวานจือหนิงเอ่ย “ไม่นานมานี้พวกเขาเสียชีวิตไปหลายราย พวกคนรวย ๆ ก็ย้ายเข้าไปอยู่กลางฐานแล้ว ด้านในมีการป้องกันด้วยอาวุธ”