ฉันเป็นเศรษฐีอสังหาฯในวันสิ้นโลก - ตอนที่ 83 ฉวยโอกาส
ตอนที่ 83 ฉวยโอกาส
ตอนที่ 83 ฉวยโอกาส
เมื่อเฉินเทียนเจียวได้รับข้อความก็แทบจะหลั่งน้ำตา เขาฝืนยิ้มและพูดกับเจียงชิงเซียง
“พี่…เจียง ดอกไม้ในสวนของพี่สวยมากเลย”
เจียงชิงเซียงหันมามองเขาอย่างตั้งใจ เมื่อเธอได้ยินเขาเรียกเธอว่า ‘พี่เจียง’ เธอก็มีความสุขจนหาทางออกไม่ได้ แล้วเธอก็เริ่มพูดว่า
“แน่นอนสิ โส่วอัน ไม่สิ ฉันกล้าพูดเลยว่าฐานใหญ่ทั้งห้าแห่งในชิงเผิงเจียงไม่มีที่ไหนมีสวนที่อุดมสมบูรณ์อย่างนี้อีกแล้ว ตงหยางของพวกคุณก็คงไม่มีใช่ไหมล่ะ?”
เฉินเทียนเจียวอยากจะบ้าตาย
“ไม่มี มาหาพี่ที่นี่ถึงได้เห็น เหมือนโลกอีกใบหนึ่งเลย”
เจียงชิงเซียงดูภาคภูมิใจ เธอเหยียดนิ้วอวบ ๆ ชี้ไปรอบ ๆ ลาน
“ที่นี่น่ะ มีดอกไม้มากกว่า 40 ชนิด ไม่รวมพืชสีเขียว เพราะว่าฉันมีคนที่มีพลังเวทพฤกษาอยู่ที่นี่ เขาจะคอยมาฝึกฝนพืชพรรณต่าง ๆ เป็นประจำ และในทุก ๆ วันก็จะมีผู้เชี่ยวชาญด้านสวน 4 คนเขามาคอยดูแลอีกด้วย คุณสนใจไหม เดี๋ยวฉันจะเอากระถางมาให้ ดอกไม้ที่ปลูกไว้มันอยู่ได้สองเดือนโดยไม่เหี่ยวเฉา เอามันวางไว้ที่ขอบหน้าต่างที่บ้านก็ได้”
เฉินเทียนเจียวแอบสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ แล้วยกยิ้มที่สดใสและหล่อเหลาออกมา
“ขอบคุณพี่เจียงมาก ๆ ถ้าอย่างนั้นผมไม่เกรงใจแล้วนะครับ แต่ว่า..ผมชอบดอกกุหลาบสีน้ำเงินและขาว จะเป็นไปได้ไหมถ้าจะทำให้ทั้งสองสีนี้ปรากฏบนดอกเดียวกัน”
เจียงชิงเซียงโบกมือ “แน่นอนว่าทำได้ อย่าพูดถึงสองสีเลย คุณต้องการกี่สีก็ย่อมได้เท่าที่คุณต้องการ เดี๋ยวรอสักครู่ ฉันจะให้คุณเห็นกับตา”
จากนั้นเธอก็หยิบเครื่องมือสื่อสารออกมาแล้วโทรออก
ยี่สิบนาทีต่อมา ซูเถาก็ได้พบกับผู้ที่มีพลังเวทพฤกษา อู๋เจิ้น รูปร่างไม่สูง อวบอ้วนเล็กน้อย มีลักยิ้มบนใบหน้า เขามีสีหน้าที่เรียบเฉย ไม่ได้พูดหรือยิ้มออกมา เขาดูเหมือนชายวัยกลางคนที่เป็นมิตรมาก
เขาถือกล่องเครื่องมือที่ข้างในมีเครื่องมือทำสวนเล็ก ๆ ออกมา
เมื่อเจียงชิงเซียงเห็นเขาเดินมาจากระยะไกล เธอก็กวักมือเรียกให้เขาเข้ามา เธอไม่ได้ทักทายเขาอย่างสุภาพ และไม่แนะนำเขาอย่างมารยาทที่ควรเป็น เมื่อมาถึงเธอก็ออกคำสั่งกับเขา
“ดอกกุหลาบสีน้ำเงินที่นายทำให้ฉันครั้งก่อนน่ะ ทำมันขึ้นมาอีกครั้ง เอาเป็นสีน้ำเงินผสมกับสีขาวในดอกเดียวกัน และขอเป็นดอกที่บานสะพรั่ง แสดงให้พวกเขาได้ดู”
ดูเหมือนว่าอู๋เจิ้นจะคุ้นเคยกับมันแล้ว เขาพยักหน้าและเด็ดดอกกุหลาบตูมสองดอกที่ลานหน้าบ้านด้วยเครื่องมือเล็ก ๆ ดอกหนึ่งสีน้ำเงิน ดอกหนึ่งสีขาว
เจียงชิงเซียงสะกิดเฉินเทียนเจียวเพื่อให้เขาจับตาดูการแสดงข้างหน้าและพูดว่า “ดูเข้าสิ!”
ดอกกุหลาบสองดอกในมืออู๋เจิ้น พวกมันพันก้านเข้าหากันเสมือนว่ามันมีชีวิต และพวกมันก็รวมกันเป็นหนึ่งเดียวในเวลาไม่ถึงห้าวินาที
จากดอกกุหลาบตูม ก็ค่อย ๆ บานออกเป็นสีน้ำเงินและสีขาว สวยงามมาก
ทว่าความสวยงามนี้เมื่อบานอย่างเต็มที่มันก็เหี่ยวเฉาลงอย่างรวดเร็ว ร่วงหล่นสู่พื้นและถูกสายลมพัดปลิวหายไป
ในตอนท้ายของการแสดง เจียงชิงเซียงก็รู้สึกภาคภูมิใจมากยิ่งขึ้น “น่าทึ่งใช่ไหม?”
คราวนี้เฉินเทียนเจียวพยักหน้าอย่างจริงใจ
ซูเถาเองก็อ้าปากค้างและพยักหน้า แต่เธอก็เริ่มคิดถึงอีกมุมหนึ่ง
ดอกไม้นี้บานและอยู่ได้ในเวลาอันสั้น แล้วพวกผักสดที่จะนำไปประกอบอาหาร เวลาทีเก็บเกี่ยวก็สั้นเหมือนกันหรือเปล่า?
นั่นก็หมายความว่า อู๋เจิ้นเพียงคนเดียวสามารถดูแลได้หลายชีวิต
เจียงชิงเซียงหยิบกลีบดอกกุหลาบที่เหี่ยวเฉาขึ้นมาจากพื้นแล้วพูดอย่างเสียใจ
“ความงามแบบนี้อยู่ได้ไม่นาน น้องเฉิน เดี๋ยวฉันจะให้เขานำเมล็ดพันธุ์ของกุหลาบสองสีนี้ให้คุณกลับไปปลูกที่บ้าน ดอกไม้ที่คุณเป็นคนปลูกเองจะสามารถอยู่ได้นานกว่า”
เฉินเทียนเจียวได้เมล็ดพันธุ์กุหลาบสองสีมาถุงเล็ก ๆ
เจียงชิงเซียงยิ้มและปรบมือ
“ดูไม่ออกเลยจริง ๆ ผู้ชายแบบคุณก็ชอบดอกกุหลาบ”
เฉินเทียนเจียวยังอยู่ที่เดิม เขาอยากที่จะคว้านท้องไส้เธอออกมาเพื่อแสดงความเป็นชาย
ในขณะที่พวกเขากำลังคุยกัน ซูเถาก็แอบไปหาอู๋เจิ้นซึ่งกำลังเก็บกล่องเครื่องมือของเขาอยู่
“สวัสดีค่ะ ฉันขอถามหน่อยได้ไหมคะ พ่อของคุณชื่ออู๋เจี้ยนอี้หรือเปล่า? ก่อนวันสิ้นโลกเขาเป็นสถาปนิกที่เก่งกาจและเคยดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการศูนย์วิจัยสิ่งแวดล้อมมหาวิทยาลัยโส่วตู”
อู๋เจิ้นตกตะลึงไปครู่หนึ่ง “คุณคือ?”
“ฉันแซ่ซู ผู้อาวุโสเหม่ยขอให้ฉันช่วยตามหาพ่อของคุณ เราเดินทางมาไกลจากตงหยาง คอยสืบเรื่องของพ่อคุณอยู่สักพัก จนเพิ่งมาทราบว่าพ่อของคุณ…ดังนั้นพวกเราก็เลยมาตามหาคุณ”
เมื่ออู๋เจิ้นได้ยินชื่อของผู้อาวุโสเหม่ย ดวงตาของเขาก็แสดงความเจ็บปวดทันที
“ลุงเหม่ยเป็นคนขอให้พวกคุณมาเหรอ? ไม่น่าล่ะ.. ผมก็ว่ายังมีคนจำพ่อผมได้ด้วยเหรอ เมื่อสองปีที่แล้วพ่อของผมจากไป เขาบอกให้ผมไปหาลุงเหม่ย เขาบอกผมว่าลูกของลุงเหม่ยนั้นไม่ค่อยได้เรื่องเท่าไหร่ และคงไม่ได้ปฏิบัติต่อเขาอย่างอ่อนโยน..ตอนนี้เขาเป็นยังไงบ้าง?”
ซูเถายิ้มและพูดว่า “คุณลองโทรหาเขาดูไหม แล้วถามเขาด้วยตัวเอง”
ในขณะที่เธอพูด เธอก็ให้ข้อมูลการติดต่อของผู้อาวุโสเหม่ยกับอู๋เจิ้น
สีหน้าอู๋เจิ้นเต็มไปด้วยอารมณ์ เขาเอาแต่ตำหนิตัวเอง
“คิดไม่ถึงเลยว่าสุดท้ายลุงเหม่ยจะเป็นฝ่ายตามหาเราก่อน ผมผิดเอง ทุกครั้งผมเอาแต่หาข้ออ้างต่าง ๆ นานาให้กับตัวเองแล้วไม่ได้ไปหาเขา และผมก็ต้องขอโทษพ่อของผมที่ไม่เชื่อฟังเขา”
ซูเถาถาม “คุณมีเรื่องยากลำบากอะไรหรือเปล่าคะ?”
อู๋เจิ้นไม่รู้จะตอบอย่างไร เขามีคำพูดนับพันอยู่ภายในใจ และเขาก็ถอนหายใจออกมาในที่สุด
เขาจะมีความยากลำบากอะไรได้ ถ้าไม่ใช่เพราะความสามารถของเขานั้นหาได้ยากและเป็นที่ต้องการ เขาถูกกักบริเวณไว้ในบ้านจากพวกกองกำลังแบ่งแยกดินแดน ทำให้เขาไม่สามารถติดต่อกับโลกภายนอกได้เลย
ต่อมาเมื่อตระกูลเจียงมีอำนาจ เขาก็ตกอยู่ในความดูแลของเจียงชิงเซียง เขาถึงได้มีอิสรภาพและชีวิตที่ดีขึ้นมา
ซูเถาไม่ได้ถามถึงหัวข้อนี้ต่อ เธอเปลี่ยนเป็นถามว่า
“ความสามารถของคุณเรียกว่าอะไร มันน่าทึ่งมาก”
หลังจากที่ได้รับการยอมรับ อู๋เจิ้นก็เชื่อใจเธอมากขึ้น
“มันเรียกว่า สื่อพฤกษา คนภายนอกบอกว่าผมสามารถสื่อสารกับพืชได้ แต่จริง ๆ แล้วผมสามารถรับรู้ความต้องการของพืชและแนะนำให้พวกมันเปลี่ยนแปลงเพื่อปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อม คุณสามารถใช้ความสามารถของผมสื่อสารกับพืชพรรณต่าง ๆ ได้”
หลังจากพูดจบ เขาก็หยิบดอกเดซี่ที่ร่วงโรยอยู่บนพื้น
“ตอนนี้มันบอกว่าร้อนและกระหายน้ำมาก แต่ต้องมีคนช่วยชีวิตมันเท่านั้น มันแข็งแรงมาก ปรับตัวเข้าได้กับสภาพแวดล้อมที่มีอุณหภูมิสูงเช่นนี้ ถึงแม้ว่าจะขาดน้ำก็ออกดอกได้อย่างสมบูรณ์ สักพัก…”
ซูเถาเพียงแค่เฝ้าดูอย่างช่วยไม่ได้ ในขณะที่เขากำลังเรียกดอกเดซี่ที่หลุบต่ำลง “เงยหน้าขึ้น!”
สุดยอด
อู๋เจิ้นมอบดอกเดซี่นี้ให้เธอ “ให้คุณ”
ซูเถารับมันไว้และถามว่า “นำมันไปปลูกได้ไหม?”
อู๋เจิ้นพยักหน้า “ได้สิ ผมก็ปลูกมันไว้ที่ระเบียงห้อง พวกมันไม่กลัวอุณหภูมิสูงหรือความแห้งแล้ง มันสามารถเติบโตได้ดี ไว้ถ้ามีโอกาสผมจะพาคุณไปดู”
ซูเถาแทบรอไม่ไหวที่จะพาตัวเขากลับไปที่เถาหยางด้วยกัน
แต่เธอก็ต้องอดทนไว้
เธอไม่สามารถพูดแบบนั้นได้ เธออยากจะให้อู๋เจิ้นเป็นคนเอ่ยปากกับเธอมากกว่า
ซูเถาเปลี่ยนเรื่องแล้วถามเขาว่า
“แล้วคุณเคยคิดอยากจะดูแลพื้นที่เพาะปลูกด้วยตัวเองหรือเปล่า? แทนที่จะมาอยู่ในลานสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ เหมือนในตอนนี้ ฉันคิดว่าคุณก็คงไม่ชอบการเป็นนักแสดงให้กับพวกคนรวยหรอกใช่ไหม?”
อู๋เจิ้นบีบมือแน่น พยายามที่จะปกปิดความคิดที่แท้จริงของตนเอง “คุณซู ผมคิดว่าชีวิตของผมในตอนนี้นั้นดีแล้ว ผมไม่คิดที่จะเปลี่ยนแปลงมัน”
ซูเถายิ้มจาง “ไม่รู้สิคะ”
เมื่อออกมาจากบ้านของเจียงชิงเซียง เฉินเทียนเจียวก็โยนถุงเมล็ดพันธุ์กุหลาบไปให้ซูเถา เหมือนกับการโยนระเบิด
“ผมไม่ชอบเสียงเจื้อยแจ้วของพวกผู้หญิงหรือดอกไม้เลยจริง ๆ”
แต่ว่าซูเถาชอบ เธอจึงเก็บมันไว้อย่างมีความสุข และกะว่าเมื่อกลับไปที่เถาหยางเธอจะนำมันไปปลูก
ระหว่างทางกลับไปที่พัก ซูเถาเท้าคางแล้วมองออกไปนอกหน้าต่างรถ
สือจื่อจิ้นถามเธอ “คิดอะไรอยู่?”
กวานจือหนิงตอบแทนเธอ “คงกำลังคิดว่าจะไปเกลี้ยกล่อมเขายังไงดี”
ซูเถาทุบตีเธอ “ฉันกำลังคิดว่า คนที่มีพลังวิเศษอย่างอู๋เจิ้น จะมีคนเห็นแก่ตัวกี่คนกันในโส่วอันที่อยากจะได้ตัวเขาไว้ เพื่อทำผลประโยชน์ให้ตัวเอง ถือเป็นการฉวยโอกาส”
กวานจือหนิงเห็นด้วย
“เห็น ๆ กันอยู่ว่าอู๋เจิ้นสามารถทำให้โส่วอันกลายเป็นฐานที่มีอาหารอุดมสมบูรณ์ได้ เป็นประโยชน์ต่อคนส่วนใหญ่ แต่เขากลับถูกนำตัวไปใช้ประโยชน์ส่วนตัว มันเข้าใจได้ แต่นี่ก็ไม่ใช่ยุคแห่งความเห็นแก่ตัว มันมีไม่กี่คนหรอกที่เหมือนกับอดีตผู้นำกองทัพของเรา หรือคุณ ที่เมื่อพบพรสวรรค์อันล้ำค่าก็คิดแต่ว่าจะทำอย่างไรให้เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น”
สือจื่อจิ้นกล่าวว่า “น่าจะมีไม่น้อย ไม่ใช่แค่ที่โส่วอันเท่านั้น แต่ยังมีฐานอื่น ๆ อีกที่มีสถานการณ์คล้ายกัน หากตงหยางไม่ถูกปราบปรามโดยอดีตผู้นำกองทัพ ก็คงมีคนที่คิดจะทำแบบนี้ ผู้นำของเราเริ่มจากโรงพยาบาลตงหยาง เขาทำงานอย่างหนักเพื่อสรรหาบุคลากรทางการแพทย์ที่มีพรสวรรค์ประสบการณ์สูง ใช้เวลาเตรียมถึงหกเจ็ดปีจึงจะเสร็จสมบูรณ์ และตอนนี้ฐานใหญ่ทั้งห้าแห่งในชิงเผิงเจียง มีเพียงตงหยางเท่านั้นที่มีโรงพยาบาลของรัฐ”
ซูเถาถอนหายใจ เธอตั้งหน้าตั้งตารอ หวังว่าเถาหยางและตงหยางจะดีขึ้นเรื่อย ๆ เธอจะสร้างชื่อให้ตัวเอง เพื่อดึงดูดผู้ที่มีความสามารถมาร่วมงานด้วย