ชีวิตชิวๆกับกองทัพของท่านราชาผู้พิชิต - ตอนที่ 24
Ch.24 – การออกไปซื้อของของราชากับน้องสาว และการหาข้อมูลตามทาง
Translator : ปลาดุกอเมซอน / Author
ก่อนที่จะบุกป้อมปราการก็ต้องหาข้อมูลกันก่อน
ดังนั้นผม ริเซ็ต และฮารุกะจึงออกไปซื้อของกันที่เมืองของมนุษย์
การบุกเบิกที่ดินรอบๆหมู่บ้านเป็นไปได้ด้วยดี
แถมยังสามารถล่าอสูรได้ง่ายๆ
นี่เป็นเพราะเขตแดน อสูรไม่สามารถเข้าเขตแดนมาได้ เพราะว่าสำหรับอสูรแล้วมันก็เหมือนกับกำแพงที่มองไม่เห็น ทางนี้ก็แค่ไล่ไปให้ติดกำแพงก็พอแล้ว
จากนั้นก็ล้อมอสูรที่ติดกำแพง ระหว่างที่อสูรสนใจทางนั้นก็แทงจากด้านในเขตแดน ถึงจะโกง แต่กับอสูรที่ออกมาไม่หยุดแล้ว ถ้าไม่ทำแบบนั้นก็ไม่จบ
แถมเพราะได้ฮาร์ปี้บินดูให้จากบนท้องฟ้า ก็เลยรู้ตำแหน่งของอสูร
ทุกคนในหมู่บ้านเองก็บอกว่า“ล่าง่ายราวกับที่ผ่านมาโกหกเลย!”แล้วแสดงท่าทางยินดี
พวกชาวบ้านก็รวมตัวกันมาส่งพวกเราที่ออกเดินทาง
“เพราะล่าอสูรได้เยอะแยะก็เลยได้ผลึกเวทมามากมายเลยค่ะ”
“ต้องเอาเจ้านี่ไปแลกเงินมาซื้อของอร่อยๆให้ท่านพี่แล้วล่ะ!”
““โอ้””
ทั้งริเซ็ตและฮารุกะต่างก็มีไฟอันแรงกล้า
ที่ที่พวกเราอยู่ก็คือ ถนนที่อยู่ข้างเมือง
ใกล้กับเมืองที่ปกครองโดยมนุษย์ของ[เจ้าเมืองคิโทล]ที่เป็นอาณาเขตที่ใกล้กับขายแดนที่สุด
“ตัวคุณเจ้าเมืองเองดูเหมือนจะอยู่ในปราสาทที่อยู่ทางใต้กว่านี้ค่ะ”
“ท่าทางจะขี้ระแวงนะ ที่ิาศัยอยู่แบบสบายใจไม่ได้กับกำแพงปราสาทระดับนี้”
“แต่คิดว่าที่นี่เองก็มีกำลังคุ้มกันเพียงพอแล้วนะ”
เมืองถูกล้อมรอบด้วยกำแพงขนาดใหญ่
จากตรงนี้ก็ยังเห็นทหารถือธนูตั้งแถวอยู่บนกำแพงเมือง
เมืองนี้อาจจะมีวงเวทในสมัยจักรพรรดิมังกรอยู่ แต่จะเอามาใช้ไม่น่าจะไหว เพราะมันต้องให้ผมเป็นนายเหนือหัวนี่นา
“ท่านพี่โชมะ เหนื่อยไหมคะ?”
อยู่ๆริเซ็ตก็เข้ามาจ้องใบหน้าผม
“ริเซ็ตก็แค่เกาะท่านพี่เฉยๆเอง แต่ท่านพี่บินมาตลอดเลยนี่คะ”
“ไม่เป็นไร ไม่ได้เหนื่อยสักนิด พลังเวทก็ยังมีเหลือเฟือ”
จะให้ผมที่เป็นคนต่างโลกมาเดิน1วันครึ่ง(บวกค้างแรมกลางแจ้ง)มันก็ยุ่งยาก
ระหว่างทางก็เลยใช้[ปลกเผ่าปักษา]บินลดระยะทางเอาเลย
“แต่ว่า พี่ริสขี้โกงอะ”
พอรู้ตัว ก็เห็นฮารุกะเอามือแตะเอวจ้องไปที่ริเซ็ต
“เราเองก็อยากจะตัวติดกับท่านพี่บ้างแท้ๆ ทำไมเราถึงต้องมากับพวกฮาร์ปี้ตลอดเลยอะ”
“ก็ตัดสินด้วยฉลากอย่างถูกต้องยุติธรรมแล้วไม่ใช่เหรอช่วยไม่ได้นี่คะ?”
“อย่างถูกต้องยุติธรรมจริงเหรอ?”
“ริเซ็ต รูจผู้นี้ เมื่อเกี่ยวกับประเทศชาติแล้วไม่มีทางทำอะไรอย่างการโกงเด็ดขาดค่ะ!”
“แล้วเกี่ยวกับท่านพี่ล่ะ?”
“…ริเซ็ต รูจผู้นี้ เมื่อเกี่ยวกับประเทศชาติแล้วไม่มีทางทำอะไรอย่างการโกงเด็ดขาดค่ะ”
เดี๋ยวสิ
ทำไมถึงหลบตาล่ะ ริเซ็ต
“ตะ แต่ว่า ขากลับให้ฮารุกะเป็นคนกลับก็ได้ค่ะ เพื่อความเท่าเทียม”
“นั่นสินะคะ เพื่อความยุติธรรมสินะ”
ฮารุกะทำท่ากระหยิ่มยิ้มย่อง
สำหรับพวกฮาร์ปี้นั้นขอไว้ว่าตอนกลับให้มารับหน่อย
จนกว่าจะถึงตอนนั้นก็ขอให้ไป[ตรวจสอบ]ที่อื่น
“เอาล่ะ ที่นี่คือเขตของมนุษย์เหรอ”
ถึงผมเองจะเป็นมนุษย์ก็เถอะ แต่แปลกที่กลับรู้สึกเครียดกว่าตอนที่เข้าไปแดนของมนุษย์ซะอีก
ริเซ็ตใช้ผ้าโพกหัว ฮารุกะก็สวมหมวก เพื่อซ่อนเขาของตัวเอง
ถึงประตูเมืองจะมีอยู่ที่ทิศทั้งสี่ แต่พวกเราก็อ้อมไปเข้าที่ประตูทางใต้ ถ้าเข้าจากทางชายแดน–ทางเหนือ ก็จะรู้เลยว่าเป็นอมนุษย์ ถ้าเป็นแบบนั้นก็จะถูกเก็บภาษีเข้าเมืองต่างจากคนปกติ ดูเหมือนจะมีผู้รักษาประตูแบบนั้นอยู่ แน่นอนว่าคนดีก็มีอยู่บ้าง
“ประตูจะปิดตอนอาทิตย์ตก และเปิดพร้อมกับอาทิตย์ขึ้น ในระหว่างนั้นจะเข้าเมืองไม่ได้ ดังนั้นระวังไว้ด้วย”
คุณผู้รักษาประตูทางทิศใต้พูดแบบนั้นบอกมา แล้วก็ให้พวกเราผ่านไปได้ตามปกติ
“…ที่นี่คือเมืองของมนุษย์โลกนี้เหรอ”
ถึงจะแน่นอนอยู่แล้ว แต่ที่นี่มีคนมากกว่าที่[หมู่บ้านฮาซามะ]
พอผ่านประตูไป ก็เข้ามาที่ถนนสายหลักของเมืองทันที
ดูเหมือนแถวๆนี้จะเป็นบริเวณที่มีคนพลุกพล่านที่สุด ซ้ายขวาก็มีร้านรวงเรียงราย
ที่มีทหารถือดาบอยู่เต็มไปหมดก็เพราะช่วงนี้มี[ลัทธิปลุกแผ่นดิน]ออกอาละวาดอยู่ ถึงจะมีคนจำนวนมาก แต่ก็ไม่ค่อยมีชีวิตชีวาเท่าไหร่ ทุกคนไปมุงกันที่ริมถนนแล้วคุยกันด้วยสีหน้าไม่สบายใจ พอเดินไปตามถนนเรื่อยๆก็เจอเข้ากับรถม้าขนของที่มีทหารคุ้มกันมากกว่าสิบคน รถคันนั้นมุ่งหน้าไปทางใต้
พวกชาวเมืองชี้นิ้วไปที่รถม้าแล้วพูดคุยกัน ดูเหมือนทางนั้นจะมีปราสาทของ[เจ้าเมืองคิโทล]อยู่ เจ้าเมืองคิโทลอาศัยอยู่ในปราสาทที่ล้อมรอบด้วยกำแพงจำนวนมาก รอคอยเวลาที่ยุคมืดจบลง–พวกเขาพูดแบบนี้กัน
“แล้วต่อจากนี้จะเอายังไงดีล่ะ?”
“ก่อนอื่นก็แลก[ผลึกเวท]เป็นเงินกันเถอะค่ะ”
“นั่นสินะ จากนั้นก็ไปซื้อของ”
ผมหยุดยืนที่ริมถนนแล้วคุยกับริเซ็ตและฮารุกะ
“้เข้าใจแล้ว งั้นก็นี่”
ผมหยิบกระเป๋าหนังออกมาจาก[ภาชนะแห่งราชา]แล้วส่งให้กับริเซ็ต
ข้างในกระเป๋ามีผลึกเวทใส่อยู่
[ภาชนะแห่งราชา]เป็นสกิลเก็บของ ของที่ใส่อยู่ข้างในมีแต่ผมเท่านั้นที่หยิบออกมาได้ เหมาะกับการใส่ของมีค่ามาก
“ขอบคุณมากค่ะ ถ้าอย่างนั้นริเซ็ตขอเอาเจ้านี่ไปแลกเงินนะคะ แล้วท่านพี่จะทำอะไรเหรอคะ?”
“ผมจะลองไปถามข่าวคราวแถวนี้ดูน่ะ รวบรวมข้อมูล”
“เข้าใจแล้วค่ะ ถ้าอย่างนั้นฮารุกะ ฝากคุ้มกันด้วยนะคะ”
“รับทราบ พี่ริส”
ฮารุกะพูดแบบนั้น แล้วก็เอามือกระทบปลอกดาบยาวดัง กริ๊ง
ถ้าใช้กระบองอาจจะความแตกว่าเป็นเผ่ายักษ์ก็ได้ก็เลยให้[ดาบยาวโคตรแข็ง]ที่เอนชานต์แล้วกับฮารุกะ ฮารุกะนั้นโดยพื้นฐานจะเป็นพวกเน้นแรงเข้าว่า แต่พลังต่อสู้โดยรวมก็ไม่ได้ต่างจากริเซ็ต เมื่อคิดถึงกำลังและความสามารถในการฟื้นฟูของเผ่ายักษ์แล้ว ด้านการโจมตีกายภาพแบบเพียวๆนั้นฮารุกะเหนือกว่า
“ถ้าอย่างนั้นก็มาเจอกันตอนเที่ยง ที่นี่”
“เข้าใจแล้วค่ะ ริเซ็ตก็จะระวังตัวค่ะ”
ผมกับฮารุกะลาริเซ็ตแล้วออกเดิน
“ท่านพี่คิดว่าป้อมปราการของ[ลัทธิปลุกแผ่นดิน]อาจจะมีวงเวทของชีพจรมังกรอยู่สินะ?”
อยู่ๆฮารุกะก็มองที่หน้าของผมแล้วพูดออกมา
“อา วงเวทนั้นจะอยู่ตามเมืองหรือปราสาทของสมัยจักรพรรดิมังกร ดังนั้นถ้าป้อมปราการเป็นของยุคเดียวกัน ก็มีความเป็นไปได้ที่จะมีวงเวทเหลืออยู่”
“แต่ว่า อยู่ๆจะบุกโจมตีไปเลยก็ไม่ได้สินะ”
“เพราะเราไม่รู้กำลังพลของศัตรู ถ้าเกิดที่ป้อมปราการเกิดมีทหารอยู่100คนขึ้นมาล่ะก็…”
…ไม่สิ ถ้าเป่าด้วย[Breath(มังกรคำราม)]ก็พอแล้วนี่นา
แต่ถึงผมจะทำแบบนั้นได้ แต่กับริเซ็ตและฮารุกะจะไม่ดีเท่าไหร่ ยังไง2คนนั้นก็ต้องตามมาสินะ
“อยากจะได้ข้อมูลโดยประมาณก่อน ถ้ารู้จำนวนคนที่อยู่ในป้อมปราการจะได้ทำอะไรได้ง่ายขึ้น”
“ถ้าอย่างนั้นลองไปที่กิลด์ทหารรับจ้างไหม?”
“กิลด์ทหารรับจ้าง?”
“ตามจริงก็คือสถานที่ที่องค์ราชาหรือท่านเจ้าเมืองรวบรวมทหารน่ะ ในเวลาที่มีลัทธิชั่วร้ายออกอาละวาดอย่างตอนนี้ แค่ทหารปกติไม่เพียงพอแน่นอน ก็เลยมีการจ้างคนอื่นชั่วคราว”
“เหมือนกับ[กิลด์นักผจญภัย]ที่เขาว่ากันสินะ”
“ไอ้นั่น…ไม่รู้จักหรอกค่ะ แต่ว่าที่นั่นก็มีข้อมูล[การสู้กับศัตรูในที่ต่างๆ] ดังนั้นอาจจะรู้กำลังพลของลัทธิก็ได้”
อย่างนี้นี่เอง
เหมาะกับการหาข้อมูลเลย
“เข้าใจแล้ว ลองไปกันเถอะ ฝากนำทางด้วย”
“ฝากมือได้เลยค่ะ ท่านพี่”
ฮารุกะพูดแบบนั้นแล้วก็จับมือผม
“อย่าหลงเชียวนะคะ ท่านพี่”
พอเห็นผมทำหน้าแปลกๆ ฮารุกะก็ยิ้มออกมา
“ก็ท่านพี่มาที่เมืองนี้ครั้งแรกนี่นา เผื่อเอาไว้ก่อน”
“ไม่ใช่ละ คนไม่ได้เยอะขนาดนั้นสักหน่อย”
“แต่ว่าโลกนี้มีกฎที่ว่าตอนที่น้องสาวนำทางให้พี่ชายต้องจับมือกันนะ”
“…งั้นเหรอ?”
“จะสงสัยน้องสาวไม่ได้เชียวนะ ท่านพี่”
แล้วฮารุกะก็ทำท่ากระหยิ่มยิ้มย่อง
“กลับไปแล้วต้องสอนกฎของพี่น้องให้ท่านพี่เยอะๆแล้วสิ”
แต่ว่า ดูเหมือนฮารุกะเองก็อาย
เพราะว่าช่วยไม่ได้พวกเราพี่น้องก็เลยจับมือเดินกันออกไป
ไม่นานก็เจอกับ[กิลด์ทหารรับจ้าง]ที่ฮารุกะบอก เพราะว่าอยู่ริมถนนหลักแถมรอบๆยังมีคนถือดาบกับโล่มารวมตัวกันก็เลยสังเกตได้ง่าย ที่ทางเข้าอาคารมีกระดานตั้งอยู่ ที่เขียนอยู่ก็คือ–
“ต้องการกำลังพลที่จะต่อต้าน[ลัทธิปลุกแผ่นดิน] ทหารอาสาสมัครก็ยินดีต้อนรับ–เหรอ”
“ทหารอาสาสมัครหรือก็คือแค่ทำงานให้ก็พอสินะ”
“ถ้าเป็นคนในเมืองอาจจะร่วมมือด้วยก็ได้นะเนี่ย”
“แต่ก็ไม่เกี่ยวกับพวกเรานี่นะ”
ที่พวกเราจะทำก็แค่เรื่องที่มีประโยชน์กับเราและอยากทำเท่านั้น
“อะไรน่ะพวกนาย ต้องการสมัครทหารเหรอ?”
ทหารที่ยืนอยู่ทางเข้าคนหนึ่งมองมาที่ผมกับฮารุกะ
ผิดกับทหารคนอื่น ตรงเกราะหน้าอกมีตราสัญลักษณ์อยู่
“ข้าคือทหารสังกัดท่าน[เจ้าเมืองคิโทล]…อืม เจ้าสองคน ดูผอมไปสำหรับทหาร แต่ว่า น่าจะทำหน้าที่หน่วยขนส่งเสบียงได้อยู่ สนใจจะเป็นทหารอาสาสมัครไหม? หน่วยขนส่งมันเคลื่อนที่ช้า…คนก็เลยไม่พอตลอด ถ้าเป็นพวกเจ้าก็รับไว้ได้ อาหารก็มีให้ด้วยนะ?”
ทหารยิ้มอ่อนๆพูดออกมา
…อย่ามาล้อเล่นกันน่า
เคลื่อนที่ช้าคนเลยไม่พอ…ก็แปลว่าถูกศัตรูโจมตีง่ายใช่ไหมล่ะ
“นั่นสินะครับ…”
แต่ว่า ผมแกล้งทำเป็นคิดเล็กน้อย
จังหวะดี ทางนี้ก็เป็นพนักงานบริษัทที่โลกเดิมมานะ
มาใช้ความสามารถในการจัดการกับความเป็นจริงดึงข้อมูลดีกว่า
“การต่อสู้กับ[ลัทธิปลุกแผ่นดิน]คงจะกลายเป็นตำนานสินะครับ ถ้าได้เกี่ยวข้องสักเล็กน้อยก็คงจะเป็นเกียรติอย่างมากเลยครับ”
“อา ในลัทธิผู้ใช้แมลงนั่นคนที่เต็มใจสู้ก็มีแค่คนข้างบนเท่านั้นล่ะ ที่เหลือก็มีแค่ทหารชาวนาที่ถูกรวบรวมไป ถ้ามาเจอกับกองทหารอันทรงเกียรติ ก็ทำอะไรไม่ได้หรอก”
“แต่ว่าได้ยินมาว่าพวกนั้นอาศัยอยู่ที่ป้อมปราการนี่ครับ?”
“ไม่สำคัญ ต่อหน้ากองกำลังทหารของท่าน[เจ้าเมืองคิโทล]ผู้ยิ่งใหญ่แล้ว ต่อให้เป็นป้อมปราการแบบไหน ก็สามารถจัดการได้ทั้งนั้น ยิ่งกว่านั้น…”
ทหารยกริมฝีปากแล้วแสยะยิ้มออกมา
“ผู้ที่จะนำผลลัพธ์ในตอนท้ายมาให้ก็คือพวกเราทหารที่รับใช้ท่านเจ้าเมืองมาแต่ละรุ่นเท่านั้น ทหารอาสาสมัครและทหารรับจ้างจะได้รับหน้าที่ในการเปิดเส้นทาง แต่นั้นก็เป็นเกียรติยิ่งกว่าสิ่งใดแล้วล่ะนะ”
“งั้นเหรอครับ”
“สุดยอดไปเลยนะ”
ผมกับฮารุกะพยักหน้าตอบไปด้วยเสียงทื่อๆ
เข้าใจง่ายจริงๆ
ใช้ทหารอาสาสมัครกับทหารรับจ้างเปิดทาง แล้วบุกฐานศัตรูด้วยทหารในสังกัดสินะ
ที่ได้รู้อีกคืออีกไม่นานกองทัพของ[เจ้าเมืองคิโทล]อีกไม่นานจะบุกโจมตีลัทธิแล้ว
การที่เตรียมการขนาดนี้ ข้อมูลก็อาจจะรั่วไหลไปที่ลัทธิแล้ว
แต่ว่ายังไม่รู้แน่ชัดว่าคุณทหารคนนี้รู้ข้อมูลของป้อมปราการถูกหรือเปล่า
จากที่ฮาร์ปี้บอกมา ป้อมปราการของลัทธิที่อยู่บนภูเขามีขนาดค่อนข้างเล็ก
เข้าได้แค่ประมาณไม่กี่สิบคน เพียงแต่การที่อยู่บนเขาทำให้บุกลำบาก แถมกว่าจะถึงป้อมปราการก็เป็นถนนทางเดียว แค่เอาทหารไปตั้งไว้ป้องกันก็บุกยากแล้ว
ตอนนี้ก็ยังฝากให้พวกฮาร์ปี้สำรวจให้อยู่ คงจะได้รู้ข้อมูลที่ละเอียดกว่านี้
“แล้วจะเอายังไงล่ะ?”
“ครับ?”
“เรื่องทหารอาสาสมัครน่ะ”
อา คุยเรื่องนั้นอยู่สินะ
“ตอนนี้จำนวนทหารอาสาสมัครมีน้อย ถ้าดวงดีอาจจะไปต้องตาองค์หญิงที่ดูแลกองทัพอยู่ก่อได้ เอาไงล่ะ เขียนแค่ชื่อกับที่อยู่ก็พอแล้ว–”
“ท่านพี่!”
อยู่ๆฮารุกะก็ดึงชายเสื้อของผม
ใช้กำลังดึงผมออกจากด้านหน้าของทหาร
“ขออภัยที่แทรกระหว่างที่คุยค่ะ!”
มันกะทันหัน
สาวน้อยที่มาโผล่ด้านหลังพวกผมส่งเสียงออกมา
“ทหารที่สังกัดท่านเจ้าเมืองคิโทลสินะ”
“…ก็ใช่หรอก”
“มีเรื่องจะมาบอกให้ฟังค่ะ”
เด็กสาวสะบัดผมสีฟ้าแล้วพูดออกมา
เป็นเด็กสาวที่ตัวเล็ก จากที่เห็น ก็ประมาณเด็กประถมปลาย
ที่สวมอยู่คือผ้าคลุมโทรมๆ ที่มือมีดาบสั้น มือและขาเต็มไปด้วยดิน ท่าทางก็ดูเหนื่อยสุดๆ
แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังเงยหน้าขึ้นแล้วมองตรงไปยังทหาร
“…ฉันคือนักรบที่มาจากเมืองหลวง นามว่ายูกิโนะค่ะ กำลังเดินทางไปตามที่ต่างๆเพื่อตามหานายที่แท้จริงผู้ควรจะรับใช้ค่ะ อยากจะมาทดสอบว่า[เจ้าเมืองคิโทล]มีความสามารถนั้นหรือเปล่าค่ะ”
เด็กสาวชูนิ้วหนึ่งนิ้วขึ้นมาที่ด้านหน้า
“ท่านเจ้าเมืองเป็นคนขอมาใช่ไหมล่ะคะ
ถ้าทำตามแผนของเราล่ะก็ แค่ป้อมปราการของ[ลัทธิปลุกแผ่นดิน]ก็จัดการได้ภายในพริบตาค่ะ!”
ยืดอกเต็มที่พูดไปทางทหาร
จากนั้น–
“ตัวเล็ก ผอมเพรียว ไม่รู้สึกว่าที่พูดเป็นจริงสักนิด แถมยังอวดดี เอามาใช้งานจะเป็นปัญหาซะเปล่าๆ ดังนั้นไม่รับ”
“เอ๊ะ?”
ตุบ
เด็กสาวคนนั้นก็ถูกโยนออกมาจาก[กิลด์ทหารรับจ้าง]