ชีวิตชิวๆกับกองทัพของท่านราชาผู้พิชิต - ตอนที่ 62
Ch.62 – ราชาผู้พิชิต หยุดการต่อสู้ในท้องถิ่นได้อย่างง่ายดาย
Translator : ปลาดุกอเมซอน / Author
“…นั่นสินะ”
ขุนศึก โทคิ โฮเซหยิบจี้ที่ติดคริสตัลแปลกออกมาจากกระเป๋าเสื้อ
“แต่ว่า อย่ามาล้อเล่นนะเว้ย! วีรบุรุษ[พลังเต็ม100] ไม่ยอมไปเป็นเฉลยของพวกป่าเถื่อนที่ต่างโลกกันวะ!”
“…อะไรนะ!?”
สังหรณ์ใจไม่ดี
ตอนที่คุยเรื่องเกิดใหม่เมื่อกี้ หมอนั่นก็จับจี้นั่น
อย่าบอกนะว่านั่นเป็นคีย์ไอเทมสำหรับการเกิดใหม่?
“หยุดนะ! คิดจะทำอะไรน่ะ!?”
“หุบปากก!!”
ฟู่ม มือของหมอนั่นลุกไหม้
เพลิงของ[ปลดปล่อยเทพศาสตร]
ผมใช้[ปลุกเผ่ามังกร]ยื่นมือที่มีเกล็ดป้องกันออกไป
แต่ว่า ไม่ทันแล้ว
พลังระดับที่ทำลาย[ทหารมีจิตใจ] ถูกรวมอยู่ในมือของหมอนั่น
แล้วก็คิดจะใช้มันกระแทกไปที่จี้ ถ้าอย่างนั้น–
“ยูกิโนะ! ฝากด้วยล่ะ!!”
“รับทราบค่ะ นายของเรา!! [Freezing Coffin(หมื่นเข็มเยือกแข็ง)]!!”
พร้อมกับที่ตะโกน ผมก็กระโดดไปด้านหลัง
เพราะว่ายูกิโนะที่ขี่ม้ายิงเข็มน้ำแข็งเข้ามา
มันผ่านหน้าของผมไป–
แล้วก็แทงมือของโทคิ โฮเซไปทั้งอย่างนั้น
“อะไรอีกวะะะะะะะ!?”
กิ๊งงง
เวทน้ำแข็งของยูกิโนะทะลวงท่าของโทคิ โฮเซ จนมือของหมอนั่นติดเข้ากับกำแพง
ความเย็นแพร่กระจายจนมือของหมอนั่นติดกับกำแพงหิน ไม่สามารถดึงกดหรือขยับอะไรได้เลย
พลังเวทของหมอนั่นเอง ก็ถึงขีดจำกัดแล้ว
“อะ อะไรกัน ทำไมพลังของข้าถึงใช้ไม่ได้ตลอดเลยวะะะะะะะะะะ!!”
“…จัดการเรียบร้อยค่ะ…”
ตุบ ยูกิโนะฟุบลงบนม้า
ที่ปราสาทยูกิโนะก็ใช้พลังเวทไปนี่นะ คงจะใช้พลังเวทเยอะเกินไปแล้ว
ยูกิโนะเป็นคนที่กลับมาเกิดใหม่เหมือนกับโทคิ โฮเซ ถึงเธอจะไม่ได้เข้าร่วมระบบที่เป็นทางการของเทพธิดา แต่พลังโจมตีเวทก็แข็งแกร่ง แค่การแช่แข็งแขนของโทคิ โฮเซที่หมดสภาพก็ทำได้สบายๆ
แถม ตอนนี้พลังทำลายเวทก็เพิ่มขึ้นด้วยผลของเจ้าปราสาทด้วย พลังเวทเองก็เพิ่มขึ้น10%
เพียงแต่ไม่มีพลังกายก็เลยต่อสู้ยาวๆหรือสู้ระยะประชิดไม่ได้
แน่นอนว่า ไม่คิดจะให้ทำแบบนั้นหรอก
“เมื่อกี้ คิดจะทำลายจี้นั่นสินะ โทคิ โฮเซ”
“…อึก”
“รู้อยู่แล้วว่านั่นคือไอเทมสำหรับการเกิดใหม่ ถ้าเกิดทำลาย พลังของแกที่มีอยู่ในโลกนี้ก็จะหายไป กลับไปสู่วัฏสงสาร บางทีคงจะย้ายไป1ปีก่อนที่โลกเดิม แล้วได้รับโอกาสที่จะหลีกเลี่ยงความตายอีกครั้งสินะ?”
“ทะ ทำไมถึงรู้เรื่องนั้น!?”
แน่นอนว่าเป็นการใช้ความรู้ในสมัยจูนิเบียว
“รู้เรื่องโอกาสที่สองที่เป็นสิทธิประโยชน์ของผู้ที่เกิดใหม่ด้วยเหรอ…บ้าเอ๊ยยยยย!”
โอกาสที่สอง…งั้นก็ไม่ใช่การสุ่มสินะ
แต่ว่า ก็พอเข้าใจแล้วล่ะ
เทพธิดามอบพลังอันเหนือล้ำให้กับผู้ที่มาเกิดใหม่ ถึงตายก็จะการันตีว่าจะได้กลับไปโลกเดิมเมื่อ1ปีก่อน
ถ้าไม่ชอบโลกใบนี้ก็ทำลายจี้ซะก็พอ การเกิดใหม่ก็จะเป็นโมฆะ ดูเหมือนจะเป็นแบบนี้
แต่มันทำลายได้จริงๆหรือเปล่า ก็ยังไม่รู้
จะว่าไปโทคิ โฮเซพูดเกี่ยวกับ[ผลงาน]ยังไงนะ
“บางที[ผลงาน]เนี่ย คงจะบันทึกอยู่ในจี้นี้สินะ!”
“…อึก”
“แสดงว่า…แกคิดจะลบความผิดพลาดงั้นสินะ? ก็จริงที่ถ้าเพิ่ม[ผลงาน]ได้ก็จะเอาสกิลกับความทรงจำกลับไปโลกเดิมได้ สามารถหลักเลี่ยงความตายในอีก1ปีต่อมาได้ จะได้กลายเป็นตัวตนอันสูงส่งในโลกอีกฝั่ง อาา ถ้าได้[ผลงาน]สูงสุด ก็จะกลายเป็นคนชั้นสูงของโลกใบนี้ แต่ว่าถ้าทำผิดพลาดไปเรื่อยๆล่ะ…?”
“ไม่ต้องให้แกมาบอกหรอกว้อย!!”
โทคิ โฮเซส่ายหน้า
เพราะทำท่าตกใจกับคำพูดของผม ก็น่าจะถูกต้องระดับหนึ่งสินะ
พวกเทพธิดาเองก็ดูจะคิดอะไรไว้มากมาย
แต่ว่า–
[ขอให้มีชีวิตอยู่รอดได้นะคะ ท่านคิริวโอ โชมะ…]
เทพธิดาลูเคียที่อัญเชิญผมมา ก็ไม่ได้ให้ความรู้สึกว่าเย็นชาเหมือนระบบแบบนั้น
“งานของผมจบแล้วล่ะ ขอบคุณที่เหนื่อยนะ ริเซ็ต”
“ริเซ็ต…ก็แค่ตามหลังของท่านพี่เท่านั้นล่ะค่ะ”
ริเซ็ตเอาผ้าคลุมของผมมาคลุมร่างกายแล้วพูดออกมา
“ยะ ยิ่งกว่านั้น…ก็อยากจะรีบ กลับไปที่ปราสาทให้ไวที่สุดค่ะ”
“นั่นสินะ”
ผมหลบสายตาจากริเซ็ต
[Naming Bless(เพิ่มอัตลักษณ์ชื่อ)]ที่ใช้กับริเซ็ต [ไร้กฎล้างคำสาป(理絶途=流呪 ริเซ็ต รูจ)]นั้นสามารถลบล้างผลของพลังเวทได้ แต่ก็แลกมากับปมขิงด้านที่ถักเป็นเสื้อต้องถูกคลายออก
“…พลังที่แข็งแกร่งก็ต้องมีราคา นั่นล่ะคือกฎของโลกใบนี้”
“……ฮึ่ยยย”
เฮ้ย ไม่ได้พูดกับนายสักหน่อย โทคิ โฮเซ
ริเซ็ตเอง ก็ไม่ต้องมองมาที่นี้ด้วยตาเป็นประกายก็ได้ ไม่ใช่ว่าอยากจะพูดอะไรดีๆสักหน่อย
นี่ไง [ซังคูโคคุโย]ก็กลับมาแล้ว กลับไปพักก่อนก็ได้นะ
คุณขุนศึกฮิลก้าเองก็มาแล้ว ฝากจัดการที่เหลือด้วยล่ะ
“สุดยอด…เป็นกลยุทธที่สุดยอดจริงๆ [ราชาแห่งชายแดน]”
พอพูดแบบนั้นคุณฮิลก้าก็ลงจากม้าแล้วถอดหมวกคาบูโตะออก
ผมสีทองสั่นไหล ก้มหน้าให้ผม
“ความเสียหายของทางนี้เป็นศูนย์ คนตายของศัตรูเองก็ศูนย์ แถมยังทำให้ได้ม้า600ตัวมาแบบไม่มีบาดแผลอะไร ผลลัพธ์ขนาดนี้ เป็นครั้งแรกตั้งแต่ก่อตั้งเขตเจ้าเมืองคิโทลเลยค่ะ ต้องขอขอบคุณ…จริงๆค่ะ [ราชาแห่งชายแดน]…”
“…งั้นเหรอ”
แย่แล้วสิ
ท่าทางคราวนี้จะใช้พลังมากไป
ถ้าข่าวลือของ[ราชาแห่งชายแดน]กระจายไปทั่วในเขตเจ้าเมืองคิโทล ผมน่ะขอเป็นคนธรรมดาทุกที่ก็พอแล้วนะ…
“ยังไงก็ตาม แล้วองค์หญิงซิลเวียร์กับองค์หญิงเรเนสล่ะ?”
“ค ค่ะ ทั้งสองคน…ทำตามแผนของท่านพริมเทียร์กุนซือของ[ราชาแห่งชายแดน]เรียบร้อยดี”
“หึหื้ม”
พริมที่อยู่บนม้ายืดอก
อะไรน่ะ ก็แค่อนุญาติให้เขียนจดหมายเองนะ
เธอพูดเอาไว้ว่า”ไม่ใช่ว่าจะมอบความรู้และกลยุทธของดิฉันให้คุณเอาไปใช้งานหรอก…”สินะ แล้วเป็นกุนซือตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย?
“…เพราะจะถูกโรโรยกับรุโรยโกรธเอานี่คะ”
พริมหันไปด้านข้างด้วยความกระอักกระอ่วน
โรโรยกับรุโรยเป็นเพื่อนของผม เป็นฮาร์ปี้ที่ช่วยไปรับริเซ็ตกับพริม
“ไม่ถูกอนุญาติให้หยาบคายกับองค์ราชาผู้มีพระคุณค่ะ ไม่งั้นจะไม่ให้เข้าบ้าน…ค่ะ”
“อาา”
งั้นเองเหรอ
พวกฮาร์ปี้เป็นลูกน้องของผมแล้ว
ไม่อนุญาตให้พริมรับใช้คนอื่นนอกจากผม…หรือก็คือ ศัตรูของผมสินะ
“ไม่เห็นต้องฝืนทำเลย ให้ผมคุยกับทั้งสองคนนั้นให้ไหม?”
“ไม่ค่ะ ดีแล้วค่ะ”
พริมส่ายหน้า
“ก็ คนที่ฟังแผนของฉันมีองค์ราชาเป็นคนแรกนี่คะ กลยุทธในคราวนี้ เป็นผลงานร่วมกันของฉันกับองค์ราชาใช่ไหมล่ะคะ? ถ้าฉันกับองค์ราชาร่วมมือกัน ยุคมืดนี่สามารถจบลงได้โดยไม่รู้ตัวแน่นอนค่ะ”
“…งั้นเหรอ”
“ใช่แล้วค่ะ”
อืมอืม พริมพยักหน้า
“ก็ จดหมายขององค์ราชา สามารถทำให้องค์หญิงเรเนส คิโทลกับองค์หญิงซิลเวียร์ คิโทลเคลื่อนไหวได้นี่คะ? ที่ทำตามแผนได้ ก็เป็นเพราะองค์ราชาค่ะ ถ้าไม่มีองค์ราชา ดิฉันก็คงเป็นแค่คลังความรู้ที่ไม่มีประโยชน์อะไรค่ะ…”
──หลายวันต่อมา ถนนที่ตรงไปยังเขตเจ้าเมืองคิโทล──
“ขอประกาศกับกองทหารปริศนาที่คิดจะมาบุกรุกเขตแดนของเรา!!”
“ทหารม้าที่บุกเป็นแนวหน้าได้ถูกจับทั้งหมดแล้ว! ทหารที่จะเป็นคนทานเสบียงไม่มีอีกแล้ว! ถ้าส่งทหารกลับไปตอนนี้จะไม่มีการโจมตีใดๆ!!”
เรเนส คิโทลกับซิลเวียร์ คิโทลส่งเสียงออกมาจากบนม้า
ที่นี่เป็นถนนที่จะไปยังเขตเจ้าเมืองคิโทล
ได้รับจดหมายจาก[ราชาแห่งชายแดน]และกุนซือของเขาแล้ว พวกซิลเวียร์ก็รีบนำทหารเคลื่อนไหวทันที
เป็นไปตามที่กุนซือคาด ตอนที่พวกซิลเวียร์มาถึง การต่อสู้ที่ฝั่งตะวันตกของเขตแดนก็จบลงแล้ว ไม่เป็นการต่อสู้ด้วยซ้ำ
“…เป็นการย่ำยีฝ่ายเดียวเลยสินะคะ ท่านพี่”
“…กลัวกลัวกลัวกลัว รั้วมาแล้ว กลัวว”
“ใจเย็นๆค่ะ ที่นี่คือที่ราบค่ะ แล้ว[ราชาแห่งชายแดน]ก็เป็นพรรคพวกค่ะ”
“น่ากลัวอะซิลเวียร์ นอนด้วยกันนะ”
“ค่าค่า”
ซิลเวียร์ลูบหลังของพี่สาวที่ทำตัวไม่ได้เรื่องแล้วก็หันกลับไปหาทหารศัตรู
งานของพวกซิลเวียร์ก็ง่ายๆ
ก็แค่ตั้งแถวรอต้อนรับหน่วยสนับสนุนกับทหารราบของศัตรูอย่างใจเย็นอยู่ข้างๆปราสาทที่การต่อสู้จบลง
นอกจากนั้น–
“ดูนี่! นี่คือสมบัติที่[สิบปราชญ์]เอามาเป็นของตัวเอง [หอกดาวเหนือ]!!”
ทหารที่อยู่ด้านข้างชูหอกตามสัญญาณของซิลเวียร์
มันคือหอกชั้นเลิศในตำนานที่มีความแข็งไร้เทียมทาน ถึงปลายหอกจะบิ่น งอไปรูปแปลกๆ แต่ก็เป็นสมบัติของชาติ
“นี่คือของที่ขุนศึกโทคิ โฮเซ[พลังเต็ม100]ครอบครองอยู่ คงจะรู้ความหมายที่มันมาอยู่ที่นี่สินะ!! แต่ถ้ายังคิดจะเข้ามา ก็จะได้เป็นโอกาสที่จะแลกชีวิตกับการได้รู้พลังของตระกูลเจ้าเมืองคิโทล ตระกูลนักรบ จะเอายังไงล่ะ!!”
ทัพศัตรูส่งเสียงโวกเวก
การที่พวกซิลเวียร์อยู่ที่นี่ หมายความว่าทหารม้าแพ้ไปเรียบร้อยแล้ว
การที่สมบัติ[หอกดาวเหนือ]อยู่ที่นี่ แสดงว่า[พลังเต็ม100]โทคิ โฮเซถูกจับแล้ว
การที่พึ่งพลังของพวกเขาเป็นหลัก ความช็อกตอนที่เสียไปเลยหนักหนา
ทัพศัตรูสั่นไหว ไม่ใช่สถานการณ์ที่จะต่อสู้ได้อีกแล้ว
แล้ว–ก็มีตัวแทนออกมาด้านหน้า
[พวกเราไม่ได้คิดจะสู้ มีทหารม้ากลุ่มหนึ่งเกิดคลั่งขึ้นมาแล้วก็บุกเขตเจ้าเมืองคิโทล ก็เลยมาเพื่อหยุดพวกนั้น]–พูดแก้ตัวฟังไม่ขึ้นออกมา
แน่นอน ศัตรูเองก็คงไม่คิดว่าคำแก้ตัวแบบนั้นจะฟังขึ้น
หลังจากนี้สงครามข่าวสารกับการเจรจาใต้น้ำโดยใช้อาวูธที่เป็นพยานหลักฐานที่ได้จากโทคิ โฮเซกับเสนาธิการก็จะเริ่มต้นขึ้น
สิ่งที่ซิลเวียร์กับเรเนสทำได้ในตอนนี้ ก็แค่ใช้ทหารกดดันแบบนี้
ในตอนนี้ยังไม่ทราบที่อยู่ของท่านพ่อ อัลโกส คิโทล ความไม่สงบในดินแดนก็ยังไม่คลี่คลาย การต่อสู้เต็มกำลังกับ[สิบปราชญ์]แค่กำลังของพี่น้อง2คนยังไม่เพียงพอ
ตอนนี้ทำได้แค่ถ่วงเวลา แล้วก็หาตัวท่านพ่อเท่านั้น
“ถ้าอย่างนั้น ก็กลับไปเถอะ ทหารที่บุกเขตแดนของเรา ได้ยอมจำนนเรียบร้อยแล้ว”
ซิลเวียร์ประกาศด้วยน้ำเสียงจากที่หนักแน่นที่สุดเท่าที่ทำได้จากบนม้า
“พวกทหารม้าที่บุกเขตแดนอย่างนอกรีต ขอใช้ชื่อของตระกูลเจ้าเมืองคิโทลว่าจะทำการทรมานอย่างเป็นธรรม ในส่วนผลลัพธ์ อาจจะต้องมีการมาคุยกันกับฝั่งนั้นอีกรอบ”
“…จะไปบอกคนเบื้องบนแบบนั้นให้ขอรับ”
ตัวแทนก้มหัวจนเกือบติดพื้นแล้วก็รีบกลับไป
จากนั้นทัพศัตรูก็รีบกลับไปอย่างไม่เป็นแถว
“จบแล้วนะคะ ท่านพี่”
“……อะ อาา”
“ต้องไปขอบคุณ[ราชาแห่งชายแดน]…ไม่สิ แต่ขอบคุณคงไม่พอสินะคะ”
จะมอบอะไรให้ดี
ในสถานการณ์ที่ท่านพ่อไม่อยู่ตอนนี้ ของที่พวกซิลเวียร์สามารถให้ได้ก็มีเพียงน้อยนิด
เงินส่วนตัว สิทธิทางผ่านในเขตแดนที่ซิลเวียร์ปกครอง หรือสิทธิในการค้าขาย–หรือว่า
“ของที่ดิฉันมอบให้ได้…งั้นเหรอคะ”
ซิลเวียร์มองทหารศัตรูที่จากไปแล้วก็พึมพำเบาๆออกมา