ช่วงเวลาแห่งราชา (เกมออนไลน์) - ตอนที่ 69
เกลี้ยกล่อมให้ถอย
“ตงหลินคิงส์คัพ?”
การดำเนินการกิจกรรมของชมรมงานใหม่ไม่ใช่ความลับอะไร หลังจากที่การประชุมสรุปจบลงไม่นาน ข่าวเรื่องนี้ก็เริ่มแพร่กระจายไปจากปากของบรรดาผู้เข้าร่วมประชุม แต่ที่เหออวี้ได้ยินนั้นมาจากปากของเหอเหลียงพี่ชายของเขาที่ทำงานอยู่ในงานกิจการนักศึกษา ข่าวจึงแน่นอนมากกว่า เขาไม่ได้หยุดตะเกียบในมือลง เพียงแต่ถามต่ออย่างสงสัยว่า “ไม่ใช่ว่ามีการแข่งขันอยู่แล้วเหรอครับ”
“ลีกภายในมหาวิทยาลัยเป็นทีมที่นักศึกษาตั้งมาเข้าร่วมกันเอาเอง ตงหลินคิงส์คัพนี่จะเป็นตัวแทนของภาควิชาลงชื่อเข้าร่วม” เหอเหลียงอธิบาย
“อ้อ” เหออวี้เข้าใจทันที กิจกรรมพวกนี้ไม่ได้มีแต่ในมหาวิทยาลัย ตอนที่เขาเรียนอยู่ชั้นมัธยมก็มีการแข่งขันของนักเรียนเยอะแยะเหมือนกัน แม้จะไม่มีภาควิชาแต่ก็ยังมีห้องเรียน โดยรวมแล้วก็คล้าย ๆ กันนั่นแหละ
“ทางมหาวิทยาลัยน่าจะไม่มีปัญหามากนัก คงจะสามารถอนุมัติการจัดการแข่งขันแบบนี้ของพวกเขาอยู่แล้ว” เหอเหลียงกล่าว
“งั้นการแข่งขันตอนนี้ล่ะครับ” เหออวี้ถาม
“ทำทั้งสองอย่างไปพร้อม ๆ กัน ตัวแทนแข่งภาควิชาที่จริงก็มีทีมไม่มากเท่าไหร่หรอก มหาวิทยาลัยเราตอนนี้มีอยู่สิบแปดคณะ ห้าสิบกว่าภาควิชา ตอนนี้ยังไม่มีการยืนยันว่าจะแข่งกันเป็นทีมคณะหรือทีมภาควิชา สรุปก็คือรวมทั้งหมดแล้วก็มีได้อย่างมากแค่ห้าสิบกว่าทีมนั่นแหละ ระบบการแข่งขันตอนนี้ยังไม่ยืนยัน แต่ว่าก็คงจะไม่ได้ใช้เวลามากเท่าไหร่” เหอเหลียงกล่าว
“อ้อ” เหออวี้พยักหน้า เดิมทีก็ไม่ได้ใส่ใจมากเท่าไหร่ แต่เพียงพริบตาเดียวก็นึกปัญหาได้อีกข้อ
“ตอนนี้พวกเพื่อนร่วมทีมทีมเดียวกันเนี่ย หลาย ๆ คนคงจะไม่ได้อยู่ภาควิชาเดียวกันใช่ไหมครับ” เหออวี้กล่าว
เหอเหลียงพยักหน้า “ใช่ ส่วนใหญ่แล้วก็รู้จักกันผ่านทางชมรมนั่นล่ะ คงจะไม่ได้อยู่ภาควิชาเดียวกัน”
ทีมอื่นเหออวี้ก็ไปยุ่งไม่ได้ แต่แล้วก็นึกถึงคลื่น7 ของพวกเขาขึ้นมาได้ทันที รีบเปิดโทรศัพท์มือถือเข้าไปที่ห้องกลุ่มวีแชตของพวกเขา
ในกลุ่มตอนนี้นั้นมีห้าคนแล้ว ต้นเหตุมาจากงานเลี้ยงอาหารเย็นหลังจากที่ชนะทีมหวงเฉาวันนั้น จ้าวจิ้นหรานชวนไปเลี้ยง หลี่ซือเจี๋ยไม่มา ทั้งสี่คนพูดคุยกันอย่างสนุกสนานมาก จ้าวจิ้นหรานเองก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะหลังจากโพสต์ในฟอรั่มแล้วเห็นว่าทุก ๆ คนพากันไม่ให้ราคาอาเคอของเขารึเปล่า สุดท้ายแล้วก็เลยไม่ได้ยืดหยิ่งพอใจในตัวเองอย่างนั้นอีก กริยาในงานเลี้ยงค่อนข้างถ่อมตัว บังเอิญได้ยินว่ามีกลุ่มทีมด้วยก็เลยขอเข้าร่วมด้วยตัวเอง
แน่นอนว่าย่อมไม่มีใครปฏิเสธ แต่โจวม่อก็คิดว่าไม่สามารถทิ้งหลี่ซือเจี๋ยไปอย่างเย็นชาอย่างนั้นได้ ตอนที่เชิญก็เลยดึงตัวหลี่ซือเจี๋ยเข้ามาด้วยกันเลย สุดท้ายทั้งสองคนล้วนเข้าร่วมกันหมด เพียงแต่เมื่อเทียบกับจ้าวจิ้นหรานที่คึกคักมากหลังจากเข้ากลุ่มมาแล้ว หลี่ซือเจี๋ยกลับไม่ได้พูดอะไรสักคำเลย
มาตอนนี้เมื่อเปิดกลุ่มแชตขึ้นมาก็เห็นว่าหลายคนนั้นก็กำลังคุยเรื่องตงหลินคิงส์คัพอยู่ การเอาชนะหวงเฉามาได้ดูเหมือนจะจุดไฟด้าน The Kings of Glory ของจ้าวจิ้นหรานขึ้นมาจนลุกโชน กับเรื่องกิจกรรมใหม่ครั้งนี้เขาเองก็แสดงความกระตือรือร้นมาพอสมควรเลยทีเดียว หลี่ซือเจี๋ยที่ไม่เคยพูดอะไรมาก่อนตอนนี้ก็ส่งข้อความอันแรกออกมาแล้วในที่สุด “แข่งภาควิชานั่นก็ต้องเลือกห้าคนที่เก่งที่สุดในภาควิชาไป ระดับอย่างนายยังจะได้ลงแข่งด้วยเหรอ”
“เชอะ นายเองเก่งขนาดไหนกันเชียว” จ้าวจิ้นหรานดูถูก ตั้งแต่วันที่ทะเลาะกันวันนั้น จ้าวจิ้นหรานก็เลิกเคารพนักถือพี่ใหญ่ที่เคยแบกเขาขึ้นแรงค์ในสมัยก่อนไปเลย ช่วงหลายวันนี้ทั้งสองคนก็เลิกไปไหนมาไหนด้วยกันอีก หลี่ซือเจี๋ยไม่ยอมมาฝึกซ้อมกับทุกคน แต่ว่าจ้าวจิ้นหรานกลับกระตือรือร้นมาก ทุก ๆ วันมาปรากฏตัวอย่างตรงต่อเวลา ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นแค่ความร้อนสามนาทีรึเปล่า
หลังจากจ้าวจิ้นหรานด่าไปประโยคหนึ่ง ไม่เพียงหลี่ซือเจี๋ย แม้แต่เกาเกอกับโจวม่อแล้วก็เหออวี้ที่เตรียมจะพูดขึ้นมาต่างก็เงียบลงไป ในกลุ่มเงียบกริบอยู่พักใหญ่ เหออวี้ปิดกลุ่มลงเงียบ ๆ
“ทำไมเหรอ” เหอเหลียงที่นั่งตรงข้ามมองเห็นสีหน้าเขาก็คีบกับให้พลางถามออกมา ในฐานะพี่ชายร่วมสายเลือด หลังจากที่เหออวี้เข้ามหาวิทยาลัยตงเจียง* การมารับประทานอาหารเย็นด้วยกันทุก ๆ สัปดาห์กลายมาเป็นกิจวัตรประจำวันของพวกเขาสองคนแล้ว
“เปล่าครับ ผมแค่คิดถึงคลื่น7 ของพวกผม รุ่นพี่เกาเกอก็อยู่ภาควิชาฟิสิกส์ของพวกผมเหมือนกันอันนี้ผมรู้ แต่ว่ารุ่นพี่โจวม่อล่ะ” เหออวี้กล่าว
“เล่นด้วยกันมาตั้งนานขนาดนี้แล้วยังไม่รู้อีกเหรอว่าคนเขาเรียนอะไรอยู่” เหอเหลียงพูด
“แค่ก ที่สนใจเขาก็คือตำแหน่งออฟเลนกับเล่นฮีโร่ตัวไหนเก่งอะครับ” เหออวี้ว่าอย่างอิหลักอิเหลื่อ
“วันนั้นเขาเล่นหยางเจี่ยนได้ไม่เลวจริง ๆ” เหอเหลียงพูด
“พี่ดูด้วย?”
“อืม ช่วงนี้ก็สนใจดูนิดหน่อย” เหอเหลียงกล่าว
“งั้น…ได้ตามดูเกม KPL บ้างไหมครับ” เหออวี้ถาม ฟอลซีซั่นของ KPL เริ่มต้นขึ้นตอนที่พวกเขาเปิดภาคเรียน หลังจากนั้นก็มีการแข่งขันกันอยู่ทุกสัปดาห์ หลังจากเหออวี้หันมาเล่น The Kings of Glory ด้วยตัวเองแล้วก็ย่อมต้องกลับมาสนใจการแข่งขันระดับอาชีพอีกครั้ง แต่พี่ชายล่ะ วันแรกที่ทั้งสองคนมารับประทานอาหารกันที่โรงอาหารด้วยกันก็ได้ดูเกมการแข่งขันของเทียนเจ๋อเข้าพอดี หลังจากนั้นพี่ชายได้ดูการแข่งขันบ้างรึเปล่า จนกระทั่งถึงตอนนี้เหออวี้จึงได้ถามขึ้นมาเป็นครั้งแรก
“ก็มีดูบ้าง” เหอเหลียงพูด
เหออวี้กำลังเรียบเรียงคำพูดคิดอยู่ว่าจะถามพี่ชายยังไงให้เหมาะสม ผลก็คือเหอเหลียงกลับหันมาถามเขาก่อนว่า “การแข่งของเทียนเจ๋อนายได้ดูไหม”
“เอ๋? ดูครับ…” เหออวี้ตอนแรกก็อึ้งไป จากนั้นก็พยักหน้ารับ
“นายเห็นว่าไง” เหอเหลียงถาม
นี่คือคำถามที่เหออวี้อยากจะถามพี่ชาย ไม่คาดเลยว่าจะถูกพี่ชายถามขึ้นมาก่อน คำตอบของคำถามข้อนี้ที่จริงเขาเองก็ครุ่นคิดในใจมาหลายครั้งแล้ว ตอนนี้ไม่จำเป็นต้องคิดมากไป เปิดปากกล่าวว่า “เทียนเจ๋อตอนนี้ดูเหมือนว่าจะใช้เลนกลางกับแครี่เป็นสองดาเมจตัวหลัก แต่ว่าส่วนมากแล้วก็มีจุดศูนย์กลางอยู่แค่ตัวเดียวเท่านั้น เกมแรกดูจะให้แครี่เป็นศูนย์กลางปั้นตัวให้เกิดอย่างรวดเร็ว แต่ว่าหลายเกมหลังจากนั้นทั้งหมดต่างก็เป็นการเล่นของเลนกลางที่เป็นจุดศูนย์กลาง จูเก่อเลี่ยงของโจวจิ้นถูกส่งแบนเป็นเรื่องปกติ ตอนนี้สไตล์การเล่นของเขาเทียบกับเมื่อก่อนแล้วเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน ฮีโร่เลือกเป็นก้านเจี้ยงกับอิ๋งเจิ้งเป็นส่วนใหญ่ ทุก ๆ เกมล้วนทำดาเมจได้อย่างน่าตื่นตาตื่นใจ…เอ่อ…”
“ทำไม นายพูดต่อเถอะ…” เหอเหลียงเหลือบมองเหออวี้แล้วพูดขึ้นมา
“ปัญหาของตัวโจมตีก็ยังมีอยู่เหมือนเดิม นี่ก็เป็นสิ่งที่เมื่อก่อนผมคิดว่าเป็นปัญหาใหญ่ข้อหนึ่งของเทียนเจ๋อเหมือนกัน บ่อยครั้งที่ไปตีศัตรูจนเจ็บหนักแล้วไม่สามารถจัดการได้จนจบ” เหออวี้กล่าว
“แต่ว่าตอนนี้ดูเหมือนจะไม่เป็นปัญหาแล้วใช่ไหมล่ะ” เหอเหลียงกล่าวยิ้ม ๆ
“ใช่ครับ…” เหออวี้พยักหน้า “ตอนที่อีกฝ่ายเจ็บหนักต้องกลับไปที่บ่อเติมเลือด เทียนเจ๋อใช้โอกาสได้ยอดเยี่ยมที่สุด แทบจะทุก ๆ รอบเลยที่สามารถดึงการเงินให้ออกห่างจากคู่ต่อสู้ได้ เกมนั้นที่แข่งกับซานกุ่ยยิ่งเห็นได้ชัดเป็นพิเศษ ดังนั้นสุดท้ายแล้วแต้มคิลถึงมีกันอยู่แค่ 4 ต่อ 1 ยิ่งไปกว่านั้น สามคิลในจำนวนนั้นยังมาจากตอนสุดท้ายที่ไปดันป้อมในจนแตกอีกด้วย หรือบอกได้ว่าสถานการณ์ของเทียนเจ๋อไม่ได้มีคิลสักเท่าไหร่ก็สามารถจะสร้างความได้เปรียบอย่างที่สุดขึ้นมาได้แล้ว”
“ดังนั้นแล้ว พวกเขาก็หาวิธีแก้ไขสิ่งที่นายเรียกว่าจุดอ่อนได้แล้วใช่ไหม” เหอเหลียงพูด
“ครับ…” เหออวี้พยักหน้าอย่างไม่เป็นธรรมชาติอยู่บ้าง ตามที่เขาเคยคิดมาแต่ก่อน ถ้าอยากจะแก้ปัญหานี้ก็ต้องใช้พี่ชายของเขา สิ่งที่ต้องการก็คือให้เทียนเจ๋อเชื่อมั่นในตัวเหอเหลียงมากขึ้น ให้ฮีโร่แอสซาซินของเขาจัดการโจมตีจนสำเร็จ
แต่ตอนนี้ทีมเทียนเจ๋อไม่จำเป็นต้องมีเหอเหลียง แล้วก็ไม่ได้ใช้หนทางที่เหออวี้คิดขึ้นมา พวกเขาใช้วิธีการของตัวเอง — การควบคุมที่แม่นยำเพื่อแก้ความผิดหวังที่ “ดาเมจน้อยไปหน่อย” นี้
ดาเมจน้อยไปหน่อยหรือ
งั้นก็หาการเงินให้มากหน่อยสิ
“รูปแบบการเล่นของพวกเขาตอนนี้หลาย ๆ ทีมก็กำลังศึกษากันอยู่ แล้วก็มีชื่อเรียกแล้วด้วยนะ เรียกว่าเกลี้ยกล่อมให้ถอย**” จากนั้นเหอเหลียงก็กล่าวต่อ “จะยังไง The Kings of Glory ก็เป็นเกมดันป้อม ไม่ใช่เกมฆ่าคน”
“แต่ว่าการฆ่าก็เป็นวิธีการหนึ่งที่ทำให้ได้รับชัยชนะไม่ใช่เหรอครับ” อยู่ดี ๆ เหออวี้ก็เงยหน้าขึ้นพูดกับพี่ชาย “ก็แค่วิธีเล่นเอง ใครจะไปเหนือกว่าคนอื่นงั้นเหรอ ถ้าคว้าเอาชัยชนะมาได้ก็กลายเป็นคนถูกแล้ว!”
เหอเหลียงยิ้มขื่นเล็กน้อย ที่จริงเขาก็รู้ถึงจิตใจของเหออวี้มาแต่แรกแล้ว พอเห็นเขาเล่น The Kings of Glory ก็ดูออกถึงความมุ่งมั่นที่ซ่อนอยู่ในใจ เขาไม่อยากให้เหออวี้ต้องแบกรับสิ่งนี้จริง ๆ แต่ดูเหมือนว่ายากมากที่จะชักจูงเขา แต่เมื่อหันกลับไปคิดดูแล้ว ตัวเองก็เหมือนกันไม่ใช่หรือไง ถ้าไม่ใช่ว่าในใจมีความยึดมั่นถือมั่นอยู่แล้วเพราะอะไรตัวเองถึงไปเกาะติดอยู่กับเทียนเจ๋อถึงห้าปีและพยายามที่จะพิสูจน์ตัวเองล่ะ
โชคร้ายที่สุดท้ายแล้วเขาก็ล้มเหลว
โดยเฉพาะที่หลังจากเขาวางมือเทียนเจ๋อก็ได้รับแชมป์ทันที ทำให้เขากังขาขึ้นมาว่าการดันทุรังของตัวเองตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันนั้นมันถูกต้องรึเปล่า
ถ้าคว้าเอาชัยชนะมาได้ก็กลายเป็นคนถูกแล้ว!
ครั้งหนึ่งเขาก็เคยคิดเช่นนี้
แต่เขาลืมไปแล้วว่าไม่เคยมีชัยชนะที่ได้มาร้อยเปอร์เซ็นต์เต็ม ดังนั้นจึงไม่มีวิธีการเล่นที่ถูกต้องร้อยเปอร์เซ็นต์เต็ม
เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับความถูกความผิดสักนิดเลย ก็แค่มีแพ้มีชนะ
ตัวเองแพ้แล้ว ล้มเหลวแล้ว
แต่ว่าสไตล์การเล่นของตัวเองล่ะ มันจำเป็นที่จะต้องถูกปฏิเสธโดยสิ้นเชิงด้วยหรือ
ไม่! สไตล์การเล่นของตัวเองมันจะไปร้อยแพ้ไร้ชนะ ถูกปฏิเสธอย่างสิ้นเชิงได้อย่างไรกัน
ดังนั้นมันก็เป็นเหมือนกับประโยคที่ตัวเองพูดมาเสมอนั่นแหละ : เป็นตัวเขาที่ไม่ดีพอ
แต่ว่าบางคนก็อาจจะทำได้ดีกว่า
“กินข้าวเถอะ!” อยู่ ๆ เหอเหลียงก็หยิบชามขึ้นมายิ้มกว้างให้กับเหออวี้
“เอ๊ะ?” เหออวี้สีหน้ามึนงง
“หวังว่าจะได้เห็นนาย Rampage คว้าชัยมาได้นะ” เหอเหลียงกล่าว
…………………………………………….
*อยู่ดี ๆ คุณผีเสื้อก็เปลี่ยนชื่อมหาวิทยาลัยจากตงเจียงเป็นตงหลินเฉย ๆ เลยจ้า ตอนนี้ก็เลยสงสัยแล้วว่าตงหลินคิงส์คัพเนี่ยมันต้องหลินหรือเจียงกันแน่ด้วย แต่ว่าเท่าที่อ่านมา (เสิร์ชต่อไปถึงตอนล่าสุด) ก็เขียนเป็นตงหลินคิงส์คัพหมดเลยอะนะ (ความจริงก็ไม่ได้พูดถึงมากเท่าไหร่แต่ก็มีเขียนในตอน 41 เลยด้วยนะ) ดังนั้นก็จะเขียนเป็นตงหลินคิงส์คัพไปก่อนแล้วกันค่ะ
ตงเจียง (东江) แปลว่าแม่น้ำตะวันออก
ตงหลิน (东林) แปลว่าป่าตะวันออก
**เกลี้ยกล่อมให้ถอย (劝退流) อันนี้เป็นสไตล์การเล่นที่มีกันจริง ๆ นะคะ โดยสรุปก็คือเขาจะไม่มีตัวดาเมจมาก แต่ว่าตัวหนาถึก เติมเลือดเยอะ ตีเขาไปเท่าไหร่เขาก็ไม่ตาย ฟูมาจนเต็มตลอด ๆ มีแต่เราที่เลือดหายไปทีละนิดต้องกลับบ้าน ชนะได้แต่ต้องเล่นกันเป็นครึ่งชั่วโมง โมโหมากกดยอมแม่งเลย
Rampage เป็นศัพท์เกม หมายความว่าฆ่าเขาได้สี่ตัวโดยที่ตัวเองไม่ตาย
ส่วนคิงส์คัพ ศัพท์ที่ใช้คือ 王者杯 —- 王者 คือ conqueror/The kings แปลว่าราชา 杯 ก็คือถ้วยนั่นแหละ แปลรวม ๆ เป็น คิงส์คัพที่ฟังคุ้นหูกว่า
สงสัยน้องจะพัฒนาไปเป็นสุดยอดแครี่สายคิลซะแล้ว แต่ตอนนี้ก็ยังไม่เห็นวี่แววเลยอะนะ