ซวยแล้ว! ผมดันโดนเตะมาเกิดใหม่เป็นนักบุญหญิงศักดิ์สิทธิ์ - บทที่ 10 ออโรร่าน้อยกับเมืองหลวง
- Home
- ซวยแล้ว! ผมดันโดนเตะมาเกิดใหม่เป็นนักบุญหญิงศักดิ์สิทธิ์
- บทที่ 10 ออโรร่าน้อยกับเมืองหลวง
“ดูนั่นสิ นั่นใช่รถม้าของนักบุญหญิงผู้ได้รับพรสูงสุดจากพระเจ้าใช่ไหม”
“น่าจะใช่นะ ดูสิ ขนาดขบวนรถและคนคุ้มกันเยอะขนาดนี้ ถ้าไม่ใช่พวกราชวงศ์หรือพวกพระชั้นสูงก็คงเหลืออย่างเดียวแล้วล่ะ”
ผมมาอยู่จุดๆ นี้ได้อย่างไร…
“อ๊ะ อยากเห็นหน้าจังเลยนะ ได้ข่าวว่าน่ารักเหมือนนางฟ้าบนสวรรค์เลยนี่นา”
“งั้นเหรอๆ แต่ฉันได้ยินมาว่านอกจากน่ารักแล้วเสียงยังไพเราะยิ่งกว่าเงือกน้อยทุกตัวด้วยนะ”
มาอยู่จุดที่ชาวบ้านทั่วเมืองหลวงรู้ถึงการมาของผมไม่พอแต่ยังรู้ถึงตัวตนของผมอีกด้วย นี่ถ้าจำไม่ผิดทางอาเจ้นักบวชแกบอกไม่ใช่เหรอว่าจะปิดเป็นความลับแล้วบอกแค่ทางพระชั้นผู้ใหญ่อย่างเดียวน่ะ
แล้วนี่ไม่นับเรื่องที่เล่นมีขบวนใหญ่มาต้อนรับปานงานแห่มังกรประจำจังหวัดแบบนี้ด้วยอีก ถามจริงเถอะว่าใครที่ไหนมันปากโป้ง ให้เดาเลยคนร้ายมันต้องอยู่ในหมู่บ้านผมแน่นอน ว่าแต่มันไปทำอีท่าไหนคำเล่าลือถึงผมมันถึงได้กลายพันธุ์ไปเช่นนั้น
ส่วนเจ้าฉายานั่นมันอะไร? นักบุญหญิงผู้ได้รับพรสูงสุดจากพระเจ้า? คำสาปล่ะสิไม่ว่า นี่ล่าสุดพึ่งโดนคำสาปเอาน้ำร้อนสาดหน้ามาหยกๆ เลยนะ
แต่เรื่องพวกนั้นช่างมันก่อนเถอะ เพราะตอนนี้เรื่องที่ยุ่งยากที่สุดของผมนั้นก็ไม่ใช่เรื่องอื่นใดนอกจากชุดที่แสนจะรุ่มร่ามนี่ต่างหาก
ทั้งๆ ที่ปกติชุดไปวัดไปวาจะเป็นแค่สีขาวดำเรียบๆ ความยาวก็แค่พอประมาณปิดร่างกายทุกส่วนมิดชิด แต่ว่านะ….
ไม่ทราบว่าด้วยเหตุผลกลใด ชุดของผมมันถึงได้ยาวจนเลยขาของผมได้ไม่รู้กี่เท่า ไอ้ผ้าที่เลยมาก็ไปกองกันอยู่ที่บริเวณพื้นของรถม้าจนดูน่าเกะกะมาก
ความยาวที่ประหลาดนี่ไม่พอ ที่หนักกว่าน่ะคือสี…ใช่ สี สีที่ควรเป็นแค่สีดำเรียบๆ ตอนนี้กลายเป็นชุดเนื้อผ้าชั้นดีสีขาวยาวบริสุทธิ์ขลิบด้วยสีทองพร้อมสลักลวดลายสวยงามราวกับจ้างจิตรกรฝีมือดีมาวาดเองโดยเฉพาะ
แล้วอีกอย่างก็คือเจ้าหมวกที่ผมสวมอยู่ซึ่งเป็นหมวกทรงสูงสีขาวทอง ตรงบริเวณด้านหน้าหมวกมีผ้าสีขาวยาวลงมาปิดไม่ให้เห็นใบหน้าของผมราวกับว่าที่นี่มันมีกฏไม่ให้ใครเห็นหน้าของผมก็ไม่ปาน
“นี่ๆ มองไม่เห็นหน้าท่านนักบุญตัวน้อยเลยอ่ะ”
พวกลุงๆ ป้าๆ พูดกันโดยพวกเขากำลังพยายามโยกตัวไปมาเพื่อมองผ่านจากช่องหน้าต่างรถม้าของผมที่เปิดให้คนทั่วไปพอจะมองเห็นนักบุญอย่างผมได้บ้าง
หากถามว่าผมมาอยู่สภาพแบบนี้ได้ยังไงก็ต้องย้อนกลับไปเป็นช่วงๆ ก่อนโดยช่วงแรกคือตอนที่คุณพ่อได้ยินมาว่าผมจะต้องถูกส่งไปที่เมืองหลวง ตอนแรกคุณพ่อก็ดูมีท่าทีคัดค้าน ไอ้เราก็อุตสาห์ดีใจแต่น่าเศร้าที่มันดีใจได้แค่แปปเดียว
“เข้าใจแล้วครับ นี่ก็เพื่อฝึกการใช้พลังสินะ”
“ค่ะ”
พอเห็นทั้งสองคนตกลงปลงใจพร้อมถีบส่งผมไปจากชีวิตสบายๆ สโลว์ไลฟ์ผมก็เลยพยายามจะคัดค้าน
“คุณพ่อคะคือหนูอยากอยู่ที่นี่ค่ะ”
คุณพ่อได้ยินแบบนั้นก็ยิ้มให้ก่อนที่จะลูบหัวผมเบาๆ
“พ่อเข้าใจว่าลูกรักบ้านแค่ไหน แต่นี่ก็เพื่อตัวลูกเองนะ ไว้ลูกคุมพลังได้เมื่อไหร่จะกลับมาที่นี่ก็ไม่สายนะ”
ไม่เลยคุณพ่อ ไอ้เรื่องคุมพลังอะไรนั่นน่ะเหลวไหลทั้งเพ ผมบอกได้เลยว่าสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดมันมาจากการกลั่นแกล้งของพระเจ้า!
แต่ตอนนั้นผมก็ได้แต่เงียบไว้ เพราะขืนพูดอะไรไปมากกว่านี้ กลัวว่าคำสาปของพระเจ้ามันจะแปลงคำพูดของผมให้สถานการณ์มันแย่ลงกว่าเดิม
ส่วนเจ้าไรน์ มันคงจะดีใจแน่นอนที่จากนี้ไปคุณพ่อจะสอนมันได้อย่างเต็มที่เพราะขนาดตอนจากลามันยังมาพูดกับผมแบบนี้
“ออโรร่า เมื่อเธอกลับมา ผมจะต้องแข็งแกร่งจนเธอไม่ต้องลำบากอีกต่อไป!”
มันพูดด้วยสีหน้าที่จริงจังไม่พอแต่ยังแสยะยิ้มแบบมีความสุขราวกับยินดีที่ผมไปได้สักที แล้วดูคำพูดของมันสิ นี่มันสื่อกันโต้งๆ เลยนี่หว่าว่ามันจะเก่งกว่าผมจนผมไม่ต้องทำอะไรเพียงแค่นอนเกาพุงรอชัยชนะพอ….หนอย แบบนี้มันดูถูกกันชัดๆ เลยนี่หว่า
เจอกันคราวหน้าแกโดนดีแน่เจ้าไรน์!
หลังจากเอาลากันเสร็จเรียบร้อยแล้วผมก็ถูกจับขึ้นรถม้าในทันทีก่อนที่จะถูกขนไปยังเมืองใหญ่ในภูมิภาคนี้ โดยเมื่อไปถึงก็พบว่ามีขบวนรถขนาดใหญ่มารอต้อนรับอยู่แล้ว ซึ่งคนนำก็เป็นตาลุงอ้วนซึ่งจากที่ฟังน่าจะเป็นหัวหน้านักบวชในเขตนี้
ทำงานเอาหน้าจริงๆ
“อา…ข้าสัมผัสได้ถึงพรอันแสนศักดิ์สิทธิ์จากตัวของท่านเลยท่านนักบุญ”
นักบวชคนนี้ทำหน้าโคตรจะปลื้มปริ่มเวลามองมาที่ผมพร้อมยกมือพนมแล้วขยับบิดตัวไปมาได้แบบที่รู้สึกอยากคายของเก่าออกมา
ว่าแต่ว่านะ ถามจริงเถอะตาลุงนักบวช นี่แอบไปโกงอะไรชาวบ้านมาใช่ไหม ทั้งตัวถึงได้มีแต่เสื้อผ้าหรูๆ ใส่เต็มไปหมดเนี่ย…ไม่สินี่อาจเป็นของประจำตำแหน่งก็ได้ แต่ว่าไอ้แหวนทองที่เต็มนิ้วนั้นคงดูแล้วไม่น่าจะใช้ของประจำตำแหน่งแล้วมั้ง
แต่เอาเถอะ เรื่องนี้มันเรื่องของเจ้าหน้าที่รัฐ ขืนผมยุ่งไป ชีวิตอันแสนสุขของผมจะล่มจมเอาง่ายๆ ได้ ดังนั้นผมเลยเดินสลับขึ้นรถม้าอีกคันซึ่งเป็นคันที่จะส่งผมไปเมืองหลวง
แล้วนี่ล่ะมีถึงจุดอันน่าสยองที่สุดของเรื่องราว เพราะเมื่อตอนผมเดินขึ้นไปที่รถม้านี้ ตอนแรกก็กำลังดีใจที่ในรถม้ามันดูทั้งหรูหราวางของตบแต่งไว้เยอะมาก แล้วที่สำคัญคือมีขนมรองรับ ขนม!
แต่แล้วอารมณ์ดีใจของผมก็ระเบิดสลายกลายเป็นปุ๋ยเมื่อมองมาพบกับเจ้าชุดที่วางไว้ตรงหน้า ตอนนั้นเกือบโวยวายออกไปว่าให้เอาชุดรุ่มร่ามบ้าๆ นี่ไปทิ้งเถอะ แต่พอพูดออกไปแล้วมันก็กลายเป็น
“ชุดนี้มันดูยิ่งใหญ่เกินกว่าหน้าที่ของเสื้อผ้าไปนะคะ มิทราบว่าพอจะนำออกไปได้หรือไม่ ตัวหนูนั้นไม่ค่อยรู้สึกดีเท่าไหร่ที่ต้องใส่ชุดนี้”
ใช่ มันโดนเปลี่ยนเป็นคำสุภาพไม่พอ ไอ้คำว่ารุ่มร่ามก็ดันกลายเป็นคำครึ่งๆ กลางๆ อย่างยิ่งใหญ่เกินกว่าหน้าที่ แล้วทีนี้ก็ไม่ต้องสืบเลยว่าอีกฝ่ายมันจะตอบมาแบบไหน
“ได้ข่าวว่าตอนได้รับชุดพิธีการของนักบุญมา ท่านนักบุญวัยเยาว์ท่านนี้ถึงกับหลั่งน้ำตาออกมาเพราะต้องใช้ของฟุ่มเฟือยเลยนะ”
“โห คนอะไรนอกจากกายงามแล้ว จิตใจยังจะงามอีก”
เอ่อ…มิทราบว่าเล่ากันอีท่าไหน ข่าวลือมันถึงได้เพี้ยนไปขนาดนั้น นี่ผมแค่ยื่นชุดออกมาแล้วบอกคนข้างนอกดีๆ นะ ไหงมันดันมีฉากหลั่งน้ำตาเพิ่มขึ้นมาได้อีกเล่า ฝีมือป้าขาเมาท์คนไหนมิทราบ!
ให้ตายสิ คิดว่าอาเจ้นักบวชที่หมู่บ้านว่าหนักแล้ว มาอยู่เมืองหลวงยิ่งหนักกว่าเก่า คนทั่วทั้งเมืองแทบบ้าพอๆ กับอาเจ้นักบวชเลยนี่หว่า หรือว่าเพราะใกล้แหล่งของศาสนจักรมากไป ความเชื่อพวกนี้มันเลยซึมเข้าถึงระดับย่อยของเซลล์สมอง
คิดแบบนี้ผมก็ได้แต่ยกมือขึ้นมากุมขมับ แต่ก็ยิ่งกุมขมับยิ่งกว่าเก่าเมื่อได้ยินเสียงที่แว่วเข้ามาในรถม้า
“นั่น นางกำลังยกมือขึ้นให้พรกับพวกเรา รีบยกมือขึ้นรับเร็ว”
ไม่รู้ว่าใครมันจินตนาการว่าการยกมือกุมขมับของผมเป็นการให้พร แต่เพราะคำพูดของเจ้านั่น ทำให้ผู้คนที่ได้ยินยกมือคุกเข่ากันยกใหญ่ แค่นั้นไม่พอ พวกชาวบ้านที่ไม่ได้ยินแต่อยู่ใกล้ๆ เมื่อเห็นว่ามีคนคุกเข่าแล้วพนมมือก็ดันบ้าจี้ทำตามแล้วก็ลากพวกข้างๆ ทำกันตามไปเรื่อยๆ คล้ายกับโดมิโนล้มใส่กัน
มันชักจะไปกันใหญ่แล้วนะเมืองนี้ แกทเชื่อมโยงพวกนายสอบกันได้ 300 หรือไงกัน
คงต้องขอบคุณเจ้าผ้าบังหน้านี่ เพราะไม่งั้นพวกชาวบ้านคงได้เห็นว่าตอนนี้ผมกำลังทำหน้าเอือมระอาขนาดไหนกับความมโนขั้นโหดของพวกเขา
แต่ในความโชคร้ายยังมีความโชคดีอยู่ ต้องขอบคุณเจ้านักบวชชั้นสูงที่เมืองก่อนหน้านี้ที่เอาขนมชั้นเลิศมายัดไว้จำนวนมากทำให้ผมสามารถกินพวกมันเพื่อคลายเครียดได้เป็นอย่างดี
หุๆ ไหนๆ ถ้าถูกจับยัดเข้าโบสถ์แล้วโดนงดทานขนม ก็ขอกินคราวนี้ให้มันหนำใจเลยแล้วกัน
ว่าแล้วผมก็จัดการฟาดเจ้าขนมที่หน้าตาเหมือนมาการองเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย โดยเพียงแค่คำแรกที่เข้าปากมันก็เหมือนราวกับน้ำตาลมันได้ละลายไปกับลิ้น
ความสุขของรสหวานค่อยๆ แพร่กระจายผ่านไปทั่วทุกประสาทรับรสของผม สมองที่กำลังเครียดจากเรื่องอันแสนน่าปวดหัวก็หายเป็นปลิดทิ้งทันที
จากนั้นความสุขยิ่งกว่าก็ตามมา เมื่อผมกัดเข้าไปอีกคำ ไส้ข้างในแสดงความอร่อยที่ถูกเก็บงำเอาไว้ออกมาโดยรสหวานของครีมได้พุ่งเข้าไปทะลวงจิตใจอันแสนบอบช้ำของผมจนก่อเกิดเป็นรสแห่งความสุขในที่สุด
ฟินเวอร์!
โดยไม่สนหน้าตาหรือว่าใครจะว่าอะไรผมได้จับยัดสารพัดขนมที่มีอยู่ในรถม้าเข้าไปในปากต่อทันที ไม่ว่าจะเป็นชูครีม เค้กและขนมอื่นๆ อีกมากมายที่หากินไม่ได้เลยในหมู่บ้านผม
เมืองใหญ่มันดีงี้นี่เอง!!
ก็ได้ข่าวมาเหมือนกันว่าร้านขนมจำนวนมากมันตั้งอยู่ที่พวกเมืองใหญ่ๆ ของอาณาจักรแต่มากที่สุดก็คือที่เมืองหลวง ซึ่งก็น่ายินดีที่ผมได้เข้าถึงแหล่งแบบนี้ แต่มันก็น่าเศร้าเมื่อสาเหตุที่ผมได้มาเมืองหลวงคือการเข้ามหาวิหารของศาสนจักรราสเวนนา
อ๊ะ…..เฮ้ยยยย เพลินกับขนมจนลืมไปเลยว่าเราโดนส่งมาที่โบสถ์นี่หว่า
ตุบ
เมื่อนึกได้ทำให้ผมช็อคจนเผลอที่ขนมมาการองในมือหล่นไปแบบน่าเสียดาย แต่เรื่องนั้นขอช่างมันก่อนตอนนี้ผมต้องหาทางรอดให้ทำไงก็ได้ที่ไม่ต้องบวชเป็นนักบวชหญิง
ขอยื่นเป็นนักรบศักดิ์สิทธิ์ได้มะ…..
แต่นั่นก็น่าเศร้า เพราะไอ้ของแบบนั้นมันก็ต้องผ่านการเป็นนักบวชหญิงมาก่อนเหมือนกัน โธ่ หลักสูตรโคตรจะไร้ความหลากหลายเลยที่นี่
ระหว่างที่ผมได้แต่บ่นในใจ จังหวะนั้นเอง รถม้าก็ได้หยุดลงก่อนที่ผมจะแอบชำเลืองมองข้างนอกว่ามันเกิดอะไรขึ้น
และสิ่งที่ผมได้พบก็คือขบวนที่ยิ่งใหญ่ไม่แพ้กันกับขบวนของผม แต่ว่าสิ่งที่แตกต่างออกไปนั้นคงจะเป็นชุดของเหล่าทหารที่นำขบวนมา เพราะในขณะที่ทางผมเป็นชุดสีขาว ทางฝั่งนั้นกลับเป็นสีน้ำเงินซึ่งแน่นอนว่าฝ่ายที่เป็นเจ้าของขบวนคงเป็นใครอื่นไม่ได้นอกจาก
ราชวงศ์!
‘ ฮืออออ จู่ๆ มาขวางขบวนผมงี้ต้องการอะไรกันเนี่ย อย่าบอกนะว่าเห็นผมเป็นตัวเกะกะขั่วอำนาจของฝั่งราชา ก็นะ ใครๆ เขาก็รู้ว่าทางราชวงศ์กับทางศาสนจักรไม่ค่อยจะกินเส้นกันสักเท่าไหร่
ยิ่งตัวตนของผมที่เป็นนักบุญโผล่มาแบบนี้ แถมชาวบ้านยังเมาก้มลงกราบกันซะขนาดนี้ สมดุลอำนาจคงมีเอนเอียงได้แน่นอน
แง้ อย่าลากผมเข้าการเมืองเลย ขอผมอยู่เป็นสุขเถอะ
ขณะที่ขบวนทั้งสองได้หยุดลง ทางฝั่งอัศวินที่เดินนำหน้าสุดของขบวนก็ได้ก้าวออกมาก่อนจะชูดาบของตัวเองขึ้น
“ตัวข้า หัวหน้าหน่วยอัศวินองครักษ์ที่หนึ่งขอเป็นตัวแทนขององค์กษัตริย์มาทำความเคารพและต้อนรับท่านนักบุญผู้ได้รับพรสูงสุดจากพระเจ้าสู่ราสเวนน่าแห่งนี้”
ขอร้องล่ะ อย่าพูดฉายานั่นให้ผมได้ยินเถอะ!
เสร็จสิ้นคำพูดของเขา เหล่าอัศวินทั้งหมดก็แยกทางออกเป็นสองฝั่ง เปิดเส้นทางให้ขบวนของผมสามารถไปต่อได้ นั่นทำให้ผมถอนหายใจอย่างโล่งอก
ที่แท้ก็พิธีทั่วไปนี่เอง
ระหว่างขบวนของผมได้เดินผ่านเหล่าอัศวินในชุดสีฟ้า ผมก็ได้เหลือบไปเห็นสิ่งที่ดูผิดแปลกไปจากปกติ นั่นคือในขบวนของเหล่าอัศวินในชุดเกราะนั้น มีเด็กน้อยผมสีทองตาสีฟ้าคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่บนม้าสีขาวจ้องมองมาที่ผมอย่างสนใจ
เด็กคนนี้นั้นบอกได้เลยว่าถ้ามันไปอยู่ในโลกของผมล่ะก็ สาวๆ ได้กรี๊ดกันจนสลบเพราะนอกจากใบหน้าที่ดูคมน่ารักส่อแววหล่อตั้งแต่วัยเด็ก ร่วมกับดวงตาสีฟ้าสวยน้ำทะเลที่แม้จะเทียบดวงตาอันแสนสดใสของออโรร่าไม่ได้แต่ว่าก็จัดอยู่ในชั้นดีทีเดียว
ส่วนผมสีทองที่ตัดสั้นไม่เกินหูแบบที่เด็กน้อยควรไว้นั้นก็ส่งให้หน้าของเจ้านี่มันดูหล่อขึ้น ทั้งๆ ที่ทรงผมมันดูธรรมดาแท้ๆ ….นี่สินะที่เขาเรียกว่าคนมันจะหล่ออะไรมันก็ฉุดไม่อยู่ อิจฉาเว้ย!
ในขณะที่รถของผมกำลังผ่านหน้าเจ้าหมอนี่ มันก็ยิ้มให้อย่างอ่อนโยนในระดับที่ถ้าเหล่าคุณป้าๆ ได้มาเห็นคงได้หยิบเงินซื้อพวงมาลัยมาห้อยคอกันยกใหญ่ในงานวันปีใหม่แล้วล่ะ
แต่ว่านะ ผมน่ะไม่หลงกลหรอกเฟ้ย ไอ้พวกตัวละครเสน่ห์แรงแต่เด็กพร้อมหน้าตาดีบวกกับมีอัธยาศัยที่ดีด้วยแล้ว ไอ้พวกนี้น่ะมันเสือซ่อนเล็บทั้งนั้น เพราะงั้นผมจึงหันไปจ้องมองหน้าของมันแล้วแล้วค่อยๆ แอบเปิดผ้าของตัวเองขึ้นมาให้พอแค่เห็นมุมปากที่แสยะยิ้มของผม
หึๆ เจ้าหนูขุนนางเอ๋ย จงดูรอยยิ้มแสยะของผมซะ แล้วจงเข้าใจซะว่าเสน่ห์อันน้อยนิดของแกน่ะมันสู้ไม่ได้เลยกับออโรร่าคนนี้เฟ้ย
แต่ก็ไม่รู้ทำไมแทนที่มันจะก้มหน้าแบบยอมแพ้ มันดันตกใจเพียงแวบเดียวก่อนที่จะหันมายิ้มให้ผมซะยกใหญ่…
ไหงมันไม่เป็นแบบที่คิดหว่า นี่นายต้องซึมเซ๊ะไม่ใช่ยิ้ม! เป็นมาโซตามเจ้าไรน์อีกคนรึยังไง!
แต่ผมก็คิดได้แวบเดียว เพราะตอนนี้ขบวนของผมได้ผ่านหน้ามันไปแล้ว เลยทำให้ไม่เห็นต่อว่าหลังจากนี้เจ้าตัวเขาจะทำสีหน้าออกมาแบบไหน
หึๆ ไม่สิ เมื่อกี้มันคงพยายามยิ้มใจดีสู้เสือ แต่หลังจากนี้มันคงกลับบ้านซึมร้องไห้ซุกอกแม่เพราะเจอรอยยิ้มข่มขู่ของออโรร่าคนนี้แน่นอน
และสุดท้ายรถของผมก็จอดลงก่อนที่จะมีคนมาเปิดประตูรถม้าให้ผมพร้อมกับหยิบเก้าอี้มาเนื่องจากขาของผมมันสั้นเกินกว่าที่จะก้าวลงได้แบบธรรมดา และหากจะอุ้มมันก็ดูเป็นภาพที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เพราะงั้นเลยได้ของแถมงานพิธีมาเป็นเจ้าเก้าอี้เสริมตัวนี้
ผมค่อยๆ ก้าวลงอย่างช้าๆ ซึ่งสาเหตุที่ต้องก้าวแบบนี้นั้นไม่ใช่เพราะต้องการให้ท่ามันสวยสง่างามอะไร แต่ว่าที่ทำไปทั้งหมดก็เพราะชุดบ้าๆ นี่ที่มันยาวยังกับงูอนาคอนด้า ดังนั้นหากผมไม่ก้าวดีๆ ล่ะก็ หน้าคว่ำแน่นอน
เมื่อผมก้าวลงถึงพื้น ผมก็เงยหน้าขึ้นและได้พบกับสถาปัตยกรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่ผมได้เคยเห็นมาในมิตินี้
มหาวิหาร…..ก็สมกับคำว่า มหา ที่อยู่ข้างหน้าของมันล่ะนะ เพราะมันเป็นอาคารขนาดใหญ่ที่ราวกับเกิดมาจากโบสถ์จำนวนมากประกอบเข้าด้วยกัน ซึ่งตัวอาคารละอันนั้นต้องเรียกได้ว่าสิ้นเปลืองงบประมาณมากแน่นอน เพราะไม่ใช่หินที่ทำมาจากหินขัดชั้นดี แต่หน้าต่างยังมาเป็นแบบภาพโมเซคอีกด้วย
นี่ยังไม่นับกับพวกสวนขนาดใหญ่ที่ล้อมตัวโบสถ์เอาไว้อีกนะ แถมอาคารนี้ก็ไม่ใช่อาคารที่แค่เดินตรงเข้าไปแบบธรรมดา แต่ยังมีบันไดที่ยกสูงให้เดินขึ้นไปอีกไม่รู้กี่สิบขั้น และเนื่องจากเป็น งานพิธีขนาดใหญ่เพราะงั้นทางเดินจึงถูกปูพรมแดงเอาไว้อย่างดี
และที่ปลายทางของบันไดนั้นได้มีชายชราที่หน้าตาดูใจดีคนหนึ่งกำลังยิ้มมาให้กับผมด้วยท่าทีอันแสนอบอุ่นราวกับต้อนรับลูกหลานกลับบ้าน
สถานที่แบบนี้ควรจะถูกเรียกว่าสวรรค์แห่งที่สองก็ไม่ปาน และหากมองในมุมมองคนทั่วไปแล้วชายชราคนนั้นซึ่งน่าจะเป็นพระสังฆราชก็คงเหมือนเทวฑูตที่มารอรับคนขึ้นไปสวรรค์
แต่ไม่รู้ทำไม สำหรับผมแล้วผมเหมือนจะเห็นภาพของปีศาจร้ายที่ยิ้มแสยะมาทางผม และปีศาจตนนั้นก็พร้อมจะฉุดกระชากผมลงจากสวรรค์แห่งขนมหวานนี่
———————–
จบไปแล้วกับอีกตอนเบาๆ ในที่สุดออโรร่าน้อยของเราก็เดินทางมาถึงเมืองงหลวงแล้ว ชีวิตใน รร.เตรียมนักบวชของเธอจะเป็นอย่างไร จะอดกินขนมหรือไม่ มาให้กำลังใจเธอกันเถอะทุกท่าน
ปล.ทุกคอมเม้นคือกำลังใจจ้า