ซวยแล้ว! ผมดันโดนเตะมาเกิดใหม่เป็นนักบุญหญิงศักดิ์สิทธิ์ - บทที่ 11 ออโรร่าน้อยกับความศรัทธาอันมากล้น(เหรอ)
- Home
- ซวยแล้ว! ผมดันโดนเตะมาเกิดใหม่เป็นนักบุญหญิงศักดิ์สิทธิ์
- บทที่ 11 ออโรร่าน้อยกับความศรัทธาอันมากล้น(เหรอ)
“ยินดีต้อนรับเจ้าเข้าสู่มหาวิหารแห่งเรสเวนน่านะ หนูออโรร่า”
นี่เป็นสิ่งที่ผมนึกไม่ถึงจริงๆ ว่าคนที่นำทางผมในมหาวิหารแห่งนี้จะเป็นองค์สังฆราชเอง และด้วยเหตุนั้นมันถึงทำให้ผมตัวเกร็งมาก เพราะขืนทำอะไรผิดมรรยาทไป อนาคตคงซวยยาวแน่
“เอ่อ สวัสดีค่ะท่านสังฆราช”
ผมก้มตัวลงตามมารยาทที่ถูกสอนมาก่อนหน้าที่จะได้พบสังฆราช เนื่องจากซ้อมแค่ไม่กี่ครั้งทำให้ท่าของผมมันออกจะเก้ๆ กังๆ อยู่บ้างแต่ดูจากสีหน้าท่านแล้วก็เหมือนจะไม่ได้ถืออะไรมากนัก
“เอาล่ะ ก่อนอื่นเราไปคุยกันในที่เงียบๆ น่าจะดีกว่านะ พอดีข้าแก่แล้วเลยไม่ค่อยชอบที่เสียงดังเท่าไหร่น่ะ”
ผมโค้งเป็นการตอบรับ จากนั้นก็เดินตามไปโดยเมื่อเข้าไปข้างในโถงทางเดินของมหาวิหารก็มองเห็นกางเขนขนาดใหญ่ซึ่งทำมาจากทองโดยรอบข้างนั้นก็เต็มไปด้วยเหล่านักบวชที่ยืนโค้งมาให้พวกผมที่เดินผ่าน
ส่วนผมก็ไม่ได้สนใจเรื่องพิธีการพวกนี้เท่าไหร่ เพราะกำลังตื่นเต้นกับตัวมหาวิหารมากกว่า นอกจากกางเขนทองที่ดูอลังการกว่าโบสถ์ไหนๆ แล้วด้านบนเพดานยังมีโคมระย้าห้อยอยู่เต็มไปหมด แค่นั้นไม่พอตัวเพดานเองยังถูกวาดรูปเทพเจ้าและเทวดาต่างๆ จำนวนมากแบบเดียวกับวิหารในวาติกัน ตัวผมจึงรู้สึกราวกับมาท่องเที่ยวเปิดหูเปิดตา
ในขณะเดินตามสังฆราช ผมก็ได้เดินทางผ่านขบวนของเด็กกลุ่มหนึ่งที่เดินสวนพวกผมมาพอดี พวกเขานั้นใส่ชุดแบบเดียวกับที่ผมถูกจับสวมในตอนก่อนหน้า คือเป็นชุดสีขาวดำธรรมดาๆ
เด็กกลุ่มนี้ก้มตัวลงเคารพสังฆราชก่อนที่จะมองมาทางผมอย่างสนใจดังนั้นผมก็เลยยิ้มกับไปให้พวกเขาเพราะในอนาคตอันใกล้ เจ้าพวกนี้ล่ะจะกลายมาเป็นลูกน้องในโบสถ์ของออโรร่าคนนี้….หึๆ
แต่ในขณะที่ผมกำลังเดินผ่านขบวนเด็กกลุ่มนี้ ผมก็ได้เห็นบางอย่างที่แปลกไป นั่นคือเด็กผู้หญิงผมสีฟ้าคนหนึ่งที่กำลังก้มหน้าก้มตาอย่างเขินอายผิดกับคนอื่นที่มันมองมาที่ผมเหมือนเห็นแพนด้าในสวนสัตว์
ผมไม่เห็นหน้าของเธอเท่าไหร่เพราะผมสีฟ้าที่ยาวลงถึงกลางหลังของเธอนั้นทางด้านหน้าของมันดันยาวจนมาปิดบังดวงตาของเธอด้วย
เหมือนเธอจะรู้สึกตัวว่าถูกผมจ้อง ดังนั้นจึงทำให้เธอสะดุ้งเล็กน้อยก่อนที่จะรีบพุ่งตัวเดินเร็วๆ เพื่อตามเพื่อนคนอื่นให้ทัน ทำให้ผมที่เห็นภาพน่ารักๆ นั่นได้แต่แอบหัวเราะในใจ
และในที่สุดการเดินชมวิหารของผมก็จบลงเมื่อท่านสังฆราชได้เดินพาผมเข้ามาถึงห้องห้องหนึ่ง ซึ่งนั่นก็ไม่ใช่ห้องอื่นใดนอกจากห้องทำงานของสังฆราชซึ่งมีขนาดใหญ่พอๆ กับห้องสูทของโรงแรมห้าดาวเลยก็ว่าได้ แถมในห้องนี้ยังมีชั้นหนังสือวางอยู่เต็มไปหมดอีกต่างหาก
รักเรียนเขียนอ่านแบบนี้ก็สมกับเป็นสังฆราชล่ะนะ
ท่านสังฆราชค่อยๆ นั่งเก้าอี้อย่างช้าๆ จากนั้นก็ผายมือออกมาแล้วชี้ไปที่เก้าอี้ที่อยู่ด้านหน้าผม
“เอาล่ะหนูออโรร่า ทำตัวตามสบายนะ”
“เอ่อ….ขอบคุณมากค่ะ”
ผมก้มหัวโค้งตามมรรยาทก่อนจะย้ายตัวเองไปนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้หรูที่แค่นั่งบนเบาะก็สบายราวกับร่างกายจมลงไปกับความนุ่มของมัน
“เรื่องของเจ้านั้นข้าได้อ่านมาจากรายงานของลิซ่าแล้วล่ะ คงลำบากน่าดูนะ”
ท่านสังฆราชพูดมาด้วยน้ำเสียงและคำพูดแบบเป็นกันเอง ทำให้ผมรู้สึกเกร็งน้อยลงเวลาพูดกับท่าน แต่ถึงแบบนั้นพอมองจากยศของท่านแล้วยังไงผมก็ยังมีเสียวๆ อยู่บ้างนั่นล่ะ…….พลาดทีเผาทั้งเป็นเลยนะเว้ย
อ้อ ส่วนลิซ่านั้นเหมือนจะเป็นชื่อของอาเจ้นักบวชแก ซึ่งส่วนใหญ่คนไม่ค่อยได้เรียกกัน จนแม้แต่ผมก็ยังเริ่มลืมๆ ไปแล้ว
ว่าแต่ว่าการที่ท่านสังฆราชพูดมาแบบนี้เท่ากับว่าเข้าใจถึงความลำบากลำบนของชีวิตที่ถูกถีบให้มาเป็นนักบุญของผมแล้วสินะ รู้สึกดีใจจนน้ำตาจะไหล
“อืมคงลำบากน่าดูนั่นล่ะนะ กับการที่ไม่มีใครเข้าใจถึงความรักของเจ้าที่มีต่อพระองค์แบบนี้”
…..
นี่เจ้เขียนเรื่องของผมแบบไหนไปฟะ!
ผมได้แต่นั่งหน้านิ่งไปกับสิ่งที่สังฆราชพูดออกมา ในใจก็ได้แต่คิดเรื่องที่อาเจ้แกเอาเรื่องไหนของผมไปใส่สีตีไข่จนท่านสังฆราชแกเข้าใจผิดได้ปานนั้น
เข้าใจถึงความรักที่มีต่อพระเจ้างั้นเรอะ รักบ้ารักบออะไร วันๆ มีแต่จะหาเรื่องด่ามันที่ทำให้ผมซวยวันซวยคืนแต่เพราะไอ้คำสาปบ้าบอนั่นเลยทำให้…..เฮ้ย งานงอก
“อ…อย่างงั้นหรือคะ แต่สำหรับหนูแล้วนั่นหาใช่ความรักใดๆ แต่เป็นดั่งพรที่พระองค์ท่านทรงมอบให้ และช่างน่าเป็นเรื่องยินดีที่เพราะพรนั้นทำให้หนูได้พบกับบททดสอบอันแสนน่าประทับใจมากมายจริงๆ ค่ะ”
ซวยยยยย ดันเผลอลืมไปว่ามีคำสาปนี่อยู่ ดันว่าเจ้าพระเจ้าบ้านั่นไปซะได้!!!
และด้วยเหตุนั้นเอง ทำให้ผมได้หลุดปากพูดประโยคที่แสนจะตรงข้ามกับความคิดของตัวเองพร้อมกับมีการเสริมเติมแต่งประโยคเข้าไปจนคนธรรมดามิอาจเข้าใจได้แต่ว่า…….สำหรับคนธรรมดานะ!
ใช่ ทุกครั้งที่ผมเผลอพูดอะไรแบบนี้ออกมาก็โชคดีหลายรอบที่คนธรรมดานั้นแปลความหมายของประโยคที่ผมพูดกันไม่ค่อยออกเพราะคำพูดที่ออกมาส่วนใหญ่ศัพท์มันจะสูงเกินไป
แต่ตอนนี้คนที่ผมพูดด้วยไม่ใช่แค่คนธรรมดาแต่เป็นสังฆราช….สังฆราชเลยนะรู้ไหม ถ้าให้พูดแล้วก็คือคนที่เซียนเรื่องนี้ยิ่งกว่าอะไรดีเพราะงั้น….
“อา….อย่างที่ลิซ่าบอกไว้ไม่มีผิด น่าสงสารจริงๆ”
ท่านสังฆราชมองมาที่ผมด้วยแววตาสงสาร ซึ่งตอนนี้ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าสมองท่านนั้นคิดไปถึงไหนแล้ว แต่ที่แน่ๆ มันต้องไม่ใช่เรื่องดีกับผมอย่างแน่นอน
“แค่ฟังที่หนูพูดมาก็ทำให้ข้าเข้าใจถึงความรักที่หนูมีต่อพระองค์ท่านแล้ว ไม่ใช่ความรัก แต่พรนั้นคือศรัทธาอันยิ่งใหญ่และเป็นบททดสอบที่ยิ่งใหญ่ในเวลาเดียวกันของพวกเราเหล่าสาวก นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าเด็กอายุน้อยเช่นหนูจะตีความได้ลึกซึ้งถึงขั้นนี้”
นี่ท่านพูดบ้าอะไรอยู่ครับ! ขอถามจริงว่าท่านสอบแกทเชื่อมโยงมาได้คะแนนเท่าไหร่ถึงสามารถตีความว่าพรคือความศรัทธาและบททดสอบครับ นี่ผมยังไม่ได้สื่ออะไรแบบนั้นเลยนะรู้ไหม!
“ถึงข้าจะแปลกใจว่าเหตุใดหนูถึงสามารถพูดคำชั้นสูงได้โดยอายุยังน้อย แต่นั่นคงเป็นพรจากพระองค์ล่ะกระมัง”
สังฆราชยิ้มมาที่ผมก่อนจะถามผมด้วยประโยคที่ผมไม่อยากจะได้ยินเพราะรู้ว่าหากได้ยินแล้วมันก็จะตอบกลับไปว่า
“ใช่ค่ะ เป็นพรอันแสนเลิศเลอที่พระองค์ซึ่งเปี่ยมไปด้วยความเมตตามอบให้หนูค่ะ”
ฮือออ ใครก็ได้เอาปี๊บมาให้ผมคลุมหัวที
นอกจากจะตอบประโยคที่ถูกแปลงให้เป็นศรัทธาเจ้าเทพบ้านั่นแล้ว ตอนนี้ตัวผมยังได้ส่งยิ้มไปอย่างสดใสราวกับคนมีสุขที่สุดในชีวิต
“แต่นั่นคงทำให้หนูต้องลำบากน่าดูเลยสินะ เพราะที่อันแสนห่างไกลเช่นนั้นคงมีน้อยคนที่เข้าใจถึงสิ่งที่หนูอยากจะสื่อ”
ไม่ลำบากเลยสักนิด! สบายซะกว่าอีกที่คนมันไม่รู้เรื่อง! เพราะถ้ามันรู้เรื่องล่ะก็ มิวายได้เข้าใจผิดยกใหญ่แบบที่ตัวท่านกำลังเริ่มเป็นอยู่ในตอนนี้ไงล่ะ
และที่สำคัญ
“หาได้มีความลำบากใดๆ ทั้งสิ้นค่ะ กลับเป็นความดีใจเสียอีกที่ได้เอ่ยวจนะอันศักดิ์สิทธิ์ให้กับเหล่าผู้ที่ยังมีเมฆหมอกบังตาจนมิอาจเห็นถึงพรอันยิ่งใหญ่ที่พระองค์ได้มอบไว้ให้”
เอาเข้าไป เละเทะหมดแล้วตัวผม…….ส่วนท่านสังฆราชก็….
“อ่า ช่างน่ายินดี น่ายินดีเสียเหลือเกิน”
ผมสังเกตเห็นได้ สังเกตเห็นได้ถึงดวงตาของท่านสังฆราชที่ตอนนี้เริ่มมีน้ำตาเอ่อล้นมาด้วยอารมณ์ของความยินดีจนผมรู้สึกว่ามันเวอร์เกินไปไหม
“หนูอายุยังน้อย แต่ก็ได้เห็นถึงความจริงของเรสเวนน่า เหล่าผู้ที่อยู่หมู่บ้านชายแดนอันห่างไกลนั้นช่างโชคร้ายที่พวกเขาไร้โอกาสที่จะรู้หนังสือ นั่นทำให้พวกเขาเข้าถึงคัมภีร์อันยิ่งใหญ่ได้ยากเย็น และมันก็ทำให้ศรัทธาของพวกเขายิ่งดูห่างไกล”
ศรัทธาดูห่างไกล? ไม่เลยท่านสังฆราช ถึงมันจะจริงอยู่ที่ถ้าเทียบกับผู้คนในเมืองหลวงที่ศรัทธาได้อย่างน่ากลัวจนชวนขนหัวลุกแล้ว ผมว่าพวกชาวบ้านที่หมู่บ้านผมมันก็บ้าพอตัวอยู่นะ
“การที่หนูพูดออกมาว่าอยากจะแสดงความศรัทธาของหนูต่อพวกเขาเพื่อให้เห็นถึงความจริงแท้ของพระองค์นั้น…”
ไม่อะ ไม่ได้อยากเลยสักนิด!
“สิ่งนั้นน่ะ มันแสดงถึงว่าตัวหนูนี่ล่ะคือนักบุญที่พระองค์ท่านได้ประทานมาให้กับพวกเราเหล่าสาวกอย่างแท้จริง”
ไปหมดละ สมงสมอง นี่เล่นแปลเองคิดเองเสร็จศัพท์เลยนี่นา
นักบุญอะไรนั่นน่ะขอทีเถอะ ไอ้ผมไม่อยากเป็นหรอกนะ ถ้าต้องไปเป็นตัวแทนความศรัทธาให้เจ้าพระเจ้าบ้านั่น สู้เอาเวลาไปนั่งกินขนมยังคุ้มกว่าอีก
“ไม่ค่ะ ตัวหนูหาใช่นักบุญอะไรไม่ ก็แค่สาวกผู้หนึ่งที่ปรารถนาใช้ชีวิตให้กับสิ่งที่ล้ำค่าที่สุดในชีวิตก็เท่านั้น”
ฮือ คำสาปบ้านี่มันแปลไปอีท่าไหนถึงหลุดออกมาเป็นแบบนี้ฟะ ดูดิ ตาของท่านสังฆราชแกแทบจะน้ำตาไหลเป็นสายน้ำด้วยความดีใจแล้วนะรู้ไหม ถ้าขืนเป็นแบบนี้ต่อไปล่ะก็…
“นี่ล่ะ นี่ล่ะนักบุญที่แท้จริง หาได้สนใจในยศอย่างที่ผู้อื่นสรรเสริญ แต่มุ่งสู่สิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตของพวกเราเหล่าสาวก ศรัทธาที่แท้จริงต่อพระองค์ผู้ยิ่งใหญ่….นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าในช่วงชีวิตของข้าจะได้เจอคนที่ยิ่งใหญ่อะไรเช่นนี้ ฮือออ”
ใจเย็นๆ นะท่านสังฆราช ท่านเริ่มดูจะร้องไห้แบบเด็กขึ้นไปทุกทีแล้วนะครับ! ไม่ทราบว่าไปเก็บกดมาจากไหนกัน หรือว่าภายในศาสนจักรมันจะมีการเมืองกันมากไปจนท่านสติแตกไปแล้วกันแน่!
“นี่คงเป็นหน้าที่อันยิ่งใหญ่ที่พระองค์ประสงค์จะมอบให้ข้ากระมัง ตัวข้าถึงได้ถูกรับเลือกมาเป็นสังฆราชทั้งๆ ที่ไม่ควรได้เป็น…”
นั่นไง ในอดีตท่านต้องเก็บกดอะไรมาแหงม ๆ ถึงเล่นได้พูดย้อนอดีตไหลเป็นน้ำมาแบบนี้ แต่ขอโทษเถอะนะท่านสังฆราช หน้าที่อะไรนั่นน่ะพระเจ้าไม่ได้มอบอะไรให้ท่านหรอก ท่านมั่วเองล้วนๆ!
“เช่นนั้นแล้วหนูออโรร่า ข้าเข้าใจดีว่าหนูคงต้องการรู้ลึกถึงแก่นแห่งพระองค์ท่านขนาดไหนเช่นนั้นแล้วเรื่องการเรียนในที่แห่งนี้หนูไม่ต้องห่วงนะ แม้พวกนักบวชชั้นต้นที่รับหน้าที่สอนอาจจะไม่เข้าใจลึกได้เช่นหนู แต่หากเป็นข้าล่ะก็จะต้องสอนให้หนูเข้าใจถึงศรัทธาที่มีต่อพระองค์ท่านได้มากขึ้นเฉกเช่นที่หนูหวังแน่นอน”
ท่านสังฆราชที่ตอนนี้ดูเหมือนไฟแห่งความเป็นครูและสาวกอันร้อนแรงนั้นเริ่มที่จะปะทุเดือดประดุจภูเขาไฟที่ระเบิดออกมาพร้อมกับลาวาแถมด้วยเขม่าแห่งความน่ากลัวจนเอาผมแทบอยากเดินถอยหลังไปหลบอยู่มุมห้อง
อย่ามาโมเมนะ! ผมไม่ได้หวังอะไรแบบนั้นซะหน่อย
แล้วนี่อะไร ให้ท่านสังฆราชมาสอนผมด้วยตัวเองเลยงั้นเรอะ? บ้าไปแล้ว นี่ขนาดแค่อาเจ้นักบวชยังเคร่งกับพวกลูกศิษย์เด็กวัดขนาดนั้นแล้วท่านสังฆราชจะเคร่งกับผมขนาดไหน ถ้ากินขนมมันคือสิ่งต้องห้ามแล้วตอนนี้แค่มองมันจะไม่กลายเป็นความผิดใหญ่หลวงไปแล้วรึไง
โอ้ ไม่นะ แค่คิดถึงอนาคตตอันใกล้ก็แทบน้ำตาจะไหลเป็นสายเลือด ใครก็ได้ช่วยเอาผมออกไปจากที่นี่ที!
“เฮ้อแต่ก็น่าเศร้า ตามกฎของเหล่านักบุญแล้วการฝึกของพวกเขานั้นจะให้เริ่มก็อายุย่างเข้า 10 ปีเพื่อรอให้พลังได้ตื่นอย่างสมบูรณ์ แต่หนูดันตื่นขึ้นมาก่อน ข้าล่ะตัดสินใจยากจริงๆ”
ได้ยินท่านสังฆราชบ่นพึมพำขึ้นมาแบบนี้ก็ทำเอาผมหูผึ่งทันที เพราะนี่เป็นสัญญาณรอดของผมเลยทีเดียว หากบอกว่าให้ฝึกอีกตอนอายุ 10 ปี ตามกฎแล้วล่ะก็นั่นหมายถึงผมมีเวลารอดไปอีก 4 ปี แล้วช่วงนั้นผมก็น่าจะโตพอดูแลตัวเองได้
และก็หมายถึงการที่ผมมีความพร้อมที่จะหนียังไงล่ะ!
“ไม่สิ แต่หนูออโรร่าน่ะนับเป็นกรณีพิเศษซะด้วย นอกจากพลังนักบุญที่ตื่นเร็วกว่าปกติแล้ว ยังฉลาดหลักแหลมเข้าใจในแก่นแท้แห่งพระองค์โดยไม่ต้องอ่านพระคัมภีร์ด้วย หากจะเว้นไว้ก็คงไม่มีใครค้านอะไร”
แต่ผมค้าน!
ความดีใจของผมแทบดับวูบลงทันทีที่ได้ยินท่านสังฆราชเปลี่ยนใจมาคิดข้อยกเว้นให้ ดังนั้นผมต้องรีบหาทางยังไงก็ได้เพื่อจะหยุดความคิดของท่าน
“ไม่สิ แต่กฎนี่ก็คือความพร้อม คนที่จะตัดสินว่าพร้อมได้ก็คงไม่ใช่ใครอื่น นอกจากเจ้าตัวเองนั่นล่ะ”
ยังมีทางรอด!
เอาล่ะออโรร่าเอ๋ย ได้ยินแบบนี้แล้วก็จงรีบตอบกลับท่านสังฆราชไปเลยสิ ตอบกลับไปเลยว่าขอเวลาเพิ่มอีก 4 ปี และด้วย 4 ปีนี้ล่ะที่จะทำให้ผมมีอิสรภาพถาวร!
“เอาล่ะออโรร่า หนูล่ะว่ายังไง”
ตอบไปเลยออโรร่า ตอบไปเลยว่าขอเวลาเตรียมความพร้อมเพิ่ม ทั้งหมดนี้เพื่อเวลาขนมหวานอันสุขสันต์ของผม ผมจะเสียเวลาอย่างเปล่าประโยชน์ในที่แห่งนี้ให้กับไอ้พระเจ้าบ้านั่นไม่ได้!!!
“ค่ะ เพื่อสิ่งที่ล้ำค่าที่สุดในชีวิตนี้ของหนู เพื่อพระองค์ท่านผู้ยิ่งใหญ่แล้วหนูไม่ขอให้เสียเวลาอย่างเปล่าประโยชน์ค่ะ”
แล้วประโยคข้างหน้ามันหายไปไหนล่ะเว้ย
ไหนคำพูดปฏิเสธ แล้วไหงมันเหลือแต่วรรคท้ายที่พูดถึงขนมซึ่งดันโดนสาปของพระเจ้าแปลงมั่วไป ขนมกลายเป็นสิ่งสำคัญ แต่สำหรับท่านสังฆราชแล้วสิ่งสำคัญของผมมันก็คือความศรัทธา
ถ้าเป็นแบบนี้มันก็หมายความว่าผมอยากจะฝึกในทันทีเลยไม่ใช่หรือไงกัน!!!
“เยี่ยม เยี่ยมมาก ถ้าเช่นนั้นเรามาเริ่มตั้งแต่วันพรุ่งนี้เลยดีกว่า”
ใครก็ได้ เอามีดมาตัดลิ้นผมที!
——————————————————————————————-
จบไปแล้วอีกตอนหนึ่งนะครับ ช่วงนี้ก็ยุ่งๆ เล็กน้อย พอดีงานที่คณะมันมาแบบไม่ให้พักไม่ให้ผ่อนอะไรเลยด้วยครับ 555+
ตอนนี้ก็เอากาวเบาๆ ไปก่อนแล้วกันนะครับ
ปล.ทุกคอมเม้นคือกำลังใจจ้า