ซวยแล้ว! ผมดันโดนเตะมาเกิดใหม่เป็นนักบุญหญิงศักดิ์สิทธิ์ - บทที่ 12 ออโรร่าน้อยกับเพื่อนร่วมห้องแสนขี้อาย
- Home
- ซวยแล้ว! ผมดันโดนเตะมาเกิดใหม่เป็นนักบุญหญิงศักดิ์สิทธิ์
- บทที่ 12 ออโรร่าน้อยกับเพื่อนร่วมห้องแสนขี้อาย
“ถ้างั้นก็ขอเชิญหนูไปพักก่อนนะ ส่วนเรื่องห้องนั้น ถึงตัวหนูจะเป็นนักบุญ แต่กฎก็ยังคงเป็นกฎ เหล่าผู้ศึกษาในคำสอนแห่งพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ในวัยเด็กทุกคนยังไงก็ต้องพักห้องสำหรับผู้ศึกษาธรรมขั้นต้น”
ท่านสังฆราชพูดมาแบบนี้ผมก็ถึงกับชะงักไปอีกรอบ เพราะถ้าให้ไปอยู่ห้องกับคนอื่น ถึงมันจะเป็นเด็กแต่ด้วยคำสาปของผม คงได้มีอะไรไม่คาดฝันเกิดขึ้นแน่นอน
“ไม่สิ อาจเป็นการดีก็ได้ หนูจะได้เป็นแบบอย่างให้พวกเขาเหล่านั้นยังไงล่ะ”
ท่านสังฆราชพูดพลางยิ้มมาให้ผมอย่างยินดี สวนทางกับในใจผมที่ตอนนี้โคตรจะเศร้าแบบสุดๆ
“ถ้างั้นข้าจะสั่งให้คนของข้านำหนูไปที่ห้องพักเลยก็แล้วกัน”
หลังคุยกันจบ ท่านสังฆราชก็เรียกคนรับใช้เพื่อพาผมไปที่ห้องพักของตัวเอง ก่อนจากลาผมก็ได้โค้งให้ท่านตามมารยาทซึ่งท่านก็ตอบกลับมาด้วยการพยักหน้าแล้วยิ้มให้
เพียงแค่ออกจากห้องผมก็รู้สึกว่าความกดดันทั้งหลายที่ผมแบกมาตลอดมาเมื่อครู่นั้นบินหนีหายไปหมดแล้ว ทำให้ผมถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
จากนั้นตัวผมก็เดินตามคนรับใช้ประจำวิหารไปแบบไม่พูดอะไร ซึ่งมองแบบนี้แล้วอาจจะดูแปลกเรื่องศาสนสถานมีคนรับใช้ แต่สำหรับศาสนจักรเรสเวนน่าที่ศาสนายุ่งกับการเมืองแบบชัดเจนนั้น แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
ส่วนถ้าถามว่าคนพวกนี้จะมาจากไหน มันก็ไม่ค่อยต่างกับคนรับใช้ในวังหรือบ้านของพวกขุนนางชั้นผู้ใหญ่เท่าไหร่นัก แต่ถ้าอยากได้ความแตกต่างก็คงเป็นความศรัทธาล่ะมั้ง
และทุกท่านนั้นก็สามารถดูได้จากเจ้าคนที่กำลังเดินนำผมอยู่ตอนนี้
“ว้าว…นี่ข้า นี่ข้าได้เป็นคนนำทางให้กับท่านนักบุญ ไม่สิ ไม่ใช่แค่นักบุญธรรมดา แต่เป็นนักบุญที่ได้รับความรักอันสูงสุดจากพระผู้เป็นเจ้า”
เจ้าคนรับใช้ที่นำทางผมอยู่นั้นตอนนี้กำลังตัวสั่นกล่าวกับตัวเองอย่างตื่นเต้น เมื่อว่าเขาจะพยายามทำให้ตัวเองทำเสียงเบาแค่ไหนก็ตาม แต่หูขั้นเทพของผมก็ยังสามารถได้ยินมันได้อยู่ดี
ว่าแต่นายตัวสั่นไปหมดแล้วนะ ใจเย็นๆ หน่อยสิ ไม่งั้นได้หามส่งโรงพยาบาลมาใครจะรับผิดชอบ
ให้ตายสิ พระเจ้าบ้าแบบไหน สาวกมันก็บ้าแบบนั้น นี่ต้องคลั่งเจ้าพระเจ้าบ้านั่นขนาดไหนกันเนี่ยถึงสามารถมีอาการตอบสนองกับนักบุญของเจ้าบ้านั่นได้ขนาดนี้
ตลอดการเดินทางไปที่ห้องของผม ผมก็ได้แต่เดินตามคนนำทางไปอย่างเกรงกลัวว่ามันจะคลั่งแล้วจะยกผมขึ้นมาบูชาขึ้นมา แต่ก็โชคดีที่มันเป็นความคิดอย่างเดียว เพราะหลังจากเดินถึงหน้าห้องของผม เจ้านี่ไม่ได้ทำอะไรเลยนอกจากตัวสั่นแล้วกล่าวอย่างยินดีวนไปวนมา
“สำเร็จ สำเร็จ ข้าทำหน้าที่อันยิ่งใหญ่ได้สำเร็จแล้ว”
ใจร่มๆ นะพวก
“ขอบคุณมากค่ะ”
แต่ไหนๆ เขาก็ช่วยผมแล้ว ดังนั้นผมเลยยิ้มกล่าวขอบคุณเขาไปตามคนไทยใจงาม แต่แล้วนั่นคงเป็นสิ่งที่ผมคงคิดผิดไป
“ท่าน!…ขอบคุณมากครับ……ท่านนักบุญขอบคุณข้า นี่มันการให้พรชัดๆ ใช่แล้วนี่คงเป็นการตอบแทนข้าในรอบหลายสิบปีที่ทำงาน นี่ข้าต้องโชคดีแน่ๆ เลยวันนี้ ใช่แล้วข้าต้องไปซื้อหวย ข้าต้องเอาไปบอกครอบครัว ข้าต้อง….”
หลังเจ้าคนรับใช้มันตกใจแล้วก้มขอบคุณผม มันก็หันหลังไปพร้อมกับกล่าวพึมพำกับตัวเองด้วยน้ำเสียงที่ชวนสยองไม่ใช่น้อย
ว่าแต่เมื่อกี้บอกว่าไปซื้อหวยงั้นเรอะ! ไอ้อาณาจักรนี้มันมีหวยด้วยงั้นเรอะ!
ผมได้แต่มองเจ้าคนรับใช้ที่เดินจากไปด้วยอารมณ์ยากจะบรรยาย แต่ก็ต้องรีบสะบัดหัวก่อนจะหันกลับไปสำรวจหน้าห้องที่ตอนนี้มีของวางอยู่เต็ม
จำได้ว่าเราเอาของมานิดเดียวไม่ใช่เหรอ?
ตอนเดินทางออกจากหมู่บ้าน ตัวผมมีสัมภาระมาแค่กระเป๋าเพียงใบเดียวเท่านั้น แต่ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น กระเป๋าที่ควรมีอยู่ใบเดียวนั้นกลับถูกรายล้อมไปด้วยกระเป๋าซึ่งดูหรูหรากว่ามันมากจำนวนนับสิบเห็นจะได้ หากลองมองดูดีๆ บางใบนั้นถึงขั้นเป็นกระเป๋าหนังมังกรเลยด้วยซ้ำ…..นี่มันเกิดอะไรขึ้น
ผมที่ตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นก็มองเห็นว่ากระเป๋าหลายใบนั้นมีกระดาษจำนวนมากติดไว้อยู่ ซึ่งดูจากคุณภาพและสีของกระดาษแล้ว มันต้องเป็นกระดาษราคาแพงแน่นอน แถมกระดาษทุกๆ ใบนั้นก็มีตราประทับติดเอาไว้ต่างกันออกไปในแต่ล่ะแผ่น
เห็นแบบนั้นผมเลยรีบเดินเข้าไปดูว่าพวกมันคืออะไรแล้วก็ได้แต่ตกใจหนักกว่าเดิมเพราะตราแต่ละอันนั้นมันเป็นของเหล่าตระกูลชั้นสูงในอาณาจักรแห่งนี้ทั้งหมดเลย แถมอีกอย่างก็คือในแต่ล่ะใบนั้น นอกจากตราประทับแล้ว ยังมีข้อความเขียนแนะนำและแสดงความยินดีรวมถึงความเคารพมาให้ด้วย
นี่มันตราของตระกูลมหาปราชญ์ ทางนี้ก็ของท่านสมุหนายก นี่ก็ของนายพล…..เยอะไปแล้ว!
หากมองข้อความมันก็ดูเป็นแค่กล่าวยินดีและต้อนรับเด็กน้อยแขกคนสำคัญสำหรับการเข้าเมืองหลวงตามมารยาทที่พวกขุนนางชอบส่งให้แขกชั้นสูง แต่ว่าหากลองมองดูจุดประสงค์ที่ซ่อนอยู่ก็รู้แบบชัดเจนเลยว่าต้องการสนับสนุนทางการเมือง……เฮ้ย รีบไปมั้ง
คือเข้าใจอยู่นะว่าพวกนายเป็นขุนนางแต่เล่นมาส่งจดหมายแบบนี้ให้เด็ก 6 ขวบ มันจะไม่เร็วไปหน่อยหรือยังไง
แล้วคุณแม่ทัพครับ มิทราบว่าท่านจะแนะนำลูกชายท่านมาให้ผมทำไมครับ นี่เด็ก 6 ขวบนะครับ คิดจะจับคู่เด็กตั้งแต่ตอนนี้มันไม่เร็วไปหน่อยเหรอครับ
พอเห็นจดหมายพวกนี้แล้วผมก็ได้แต่ปวดหัวกับความคิดที่เต็มไปด้วยการเมืองของพวกเขา ก็นะ ผมเองก็พอเข้าใจอยู่หรอกว่าสำหรับศาสนจักรเรสเวนน่า ตำแหน่งนักบุญนั้นมันยิ่งใหญ่ขนาดไหน ถ้าดูจากตำราประวัติศาสตร์สมัยก่อนล่ะก็ ในทางทางศาสนาแล้วคงมีแค่ท่านสังฆราชที่ยิ่งใหญ่กว่า
ดังนั้นถ้าเทียบแล้วก็อารมณ์ประมาณเจ้าหญิงเจ้าชายล่ะมั้ง แถมนักบุญเป็นอะไรที่สามารถแต่งงานได้ง่ายกว่าตำแหน่งอื่นๆ ในศาสนา เพราะงั้นจึงเป็นที่หมายตาของพวกขุนนาง แต่ก็นะ จากประวัติศาสตร์ก็บอกมาแล้วว่าพวกบ้านี่มันชอบแห้ว
ถึงผมจะพูดแบบนั้น แต่ไหนๆ พวกเขาก็ส่งของมาให้แบบฟรีๆ ดังนั้นหากไม่ใช้ก็คงเสียดายแย่ เพราะงั้นผมเลยทำการรวบกระเป๋าชั้นดีพวกนั้นมากองกันก่อนที่จะเตรียมเข้าห้อง
ก๊อกๆ
ผมเคาะประตูช้าๆ อย่างมีมารยาท การสร้างความประทับใจแรกพบที่ดีนั้นเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะถ้าทำให้อีกฝ่ายไม่ชอบหน้าตั้งแต่แรกพบล่ะก็ อีกฝ่ายจะไล่จับผิดเรารัวๆ จนทำให้ผมที่มีสิทธิ์ทำพลาดได้ง่ายซวยเอาได้
“ค…ค่ะ มาแล้วค่ะ”
น้ำเสียงสั่นๆ ดังออกมาจากห้อง แสดงถึงความตื่นตระหนกของบบุคคลที่อยู่ฝั่งตรงข้ามของประตูได้เป็นอย่างดี ส่วนทางผมที่ได้ยินแบบนั้นก็แสยะยิ้มออกมา เพราะนั่นหมายความว่าอีกฝ่ายนั้นน่าจะอยู่ด้วยกันได้ง่ายแน่นอน
แอ๊ดดด
เสียงเปิดประตูตามมาพร้อมกับภาพของเด็กสาวผมสีฟ้าอันแสนคุ้นเคย ตอนนี้เธอกำลังค่อยๆ ผลักประตูออกมาอย่างช้าๆ พลางเงยหน้าของเธอที่ถูกผมสีฟ้ายาวปิดเอาไว้ขึ้นมา
“เอ่..เอ่อ”
“สวัสดีค่ะ ออโรร่าค่ะ”
ถ้าอีกฝ่ายมัวแต่เขินอยู่แบบนี้ ท่าทางกว่าผมจะได้เข้าห้องคงตกกลางคืนเป็นแน่ ดังนั้นผมจึงรีบชิงกล่าวทักทายออกไปพลางก้มหัวของตัวเองลงอย่างช้าๆ นั่นทำให้เด็กสาวผมฟ้าตกใจมากพอตัว
“เอ่อ…เอ่อไม่ค่ะ คือฉัน คือฉัน สวัสดีค่ะ”
เธอรีบก้มหัวของตัวเองลงพร้อมกับถอยห่างออกจากประตูทันที ทางผมเมื่อเห็นว่าทางสะดวกแล้วเลยทำการค่อยๆ ย้ายสัมภาระของตัวเองที่มีมากขึ้นเข้าไปในห้องอย่างค่อยเป็นค่อยไป
เด็กสาวผมฟ้าซึ่งเห็นผมลากของเข้าไปอย่างทุลักทุเลก็เดินเข้ามาหาด้วยอาการสั่นๆ
“คือ…คือ ขอช่วยได้เหรอไม่คะ?”
“ยินดีมากค่ะ”
โห ถึงจะขี้อายแต่ก็เป็นเด็กดีมากเลยนะเนี่ย
ผมพูดพลางยิ้มให้เธอซึ่งนั่นก็ทำให้เธอสะดุ้งก่อนจะรีบเดินหลบไปหยิบของข้างนอกห้องเข้ามาวางไว้ร่วมกับกองกระเป๋าของผม
“ขอบคุณมากนะคะ เอ่อ…..”
จะว่าไปผมยังไม่ได้ถามชื่อเธอเลยนี่หว่า ดังนั้นผมจึงหยุดชะงักเพราะไม่รู้จะพูดอะไรต่อดี ขืนถามว่าเธอชื่ออะไรนะ คงจะเป็นการเสียมารยาทพอตัว
“ขอ…ขอประทานโทษด้วยจริงๆ ค่ะ ทั้งๆ ที่ท่านแนะนำตัวมาแล้วแต่ฉันยังไม่แนะนำตัวเองแบบนี้ ต้องขอประทานโทษด้วยจริงๆ ค่ะ”
เด็กสาวผมฟ้าตรงหน้าก้มหัวขอโทษผมรัวๆ จนตัวผมทำอะไรไม่ถูก คือก็เข้าใจอยู่ว่ามารยาทการแนะนำตัวมันประมาณนั้น แต่ไม่เห็นต้องขอโทษขนาดนี้ก็ได้นะ
“ไม่เป็นไรนะคะ ใจเย็นๆ แล้วค่อยพูดก็ได้ค่ะ เรื่องเล็กๆ น้อยๆ เอง”
ผมรีบไปหยุดเธอทันที เพราะยิ่งเธอขอโทษผมมากเท่าไหร่ ไม่รู้ทำไมผมถึงรู้สึกผิดมากเท่านั้น
ผมจับบ่าเธอเพื่อเป็นการเรียกสติเธอที่ตอนนี้เอาแต่พูดขอโทษผมรัวๆ ซึ่งเมื่อผมจับไปเธอก็ได้สติก่อนที่จะเงยหน้ามองผมอย่างช้าๆ
“เอ่อคือ…..ขอ…”
“ไม่ต้องขอโทษหรอกค่ะ แนะนำตัวมาตามปกติเถอะค่ะ”
เพราะถ้าเธอมัวแต่ขอโทษแบบนี้ มันจะไม่จบสักทีอะนะ
ไม่รู้ทำไมพอผมพูดไปแบบนั้นเธอถึงได้อ้าปากค้างไปนิดนึง ก่อนจะก้มหัวลงแล้วถูมือไปมาราวกับคนที่กำลังเขินอายอยู่
“มะ…ไม่นึกฝันว่าจะมีคนพูดแบบนี้…ส..สมกับที่เป็นนักบุญจริงๆ ค่ะ”
เธอพูดกับตัวเองราวด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมไปด้วยความสุขอย่างเหลือล้นจนราวกับว่านี่เป็นความสุขครั้งแรกในชีวิตของเธออะไรประมาณนั้น
เวอร์ไปแล้ว!
แล้วที่จริงไอ้เรื่องแบบนี้ต่อให้ไม่ใช่นักบุญ มันก็ทำกันทุกคนนั่นล่ะ เล่นขอโทษรัวๆ ซะแบบนี้ จะมีผีบ้าที่ไหนยืนมองแบบมีความสุขได้ฟะ
“ค่ะ…คือฉัน ฉันชื่อมาเรีย ลอเลนซ์ ค่ะ”
การพูดแนะนำชื่อของตัวเองของเธอ หากฟังจากน้ำเสียงแล้ว มันราวกับว่าต้องรวบรวมกำลังใจมหาศาลเพื่อพูดออกมา
เดี๋ยวนะ…ลอเลนซ์?
รู้สึกคุ้นๆ ว่าเคยได้ยินที่ไหนมาหว่า
ระหว่างที่ผมสงสัยอยู่นั้นเอง ผมก็เหลือบมองเห็นกระเป๋าใบหนึ่งที่ถูกประทับตรารูปดาบไขว้ซึ่งเป็นตราเดียวกันกับตราของท่านแม่ทัพที่ส่งจดหมายแนะนำลูกชายของตัวเองมาให้ผม
“ลอเลนซ์? ตระกูลของท่านแม่ทัพสูงสุดงั้นเหรอ”
เอาจริงๆ เรสเวนน่าไม่มีตำแหน่งแม่ทัพสูงสุดแบบตายตัวหรอก แต่ว่าคนที่เก่งที่สุดในการบัญชาแผนการรบส่วนใหญ่ดันมาจากตระกูลนี้ คนตระกูลนี้จึงถูกจับยัดไปในตำแหน่งบัญชาการทหารอยู่บ่อยครั้ง
“ค่ะ….แต่ แต่ฉันคงเป็นได้ไม่เหมือนพวกท่านพี่หรอกค่ะ”
มาเรียพูดไปพลางก้มหน้าไป น้ำเสียงของเธอดูสั่นมากเมื่อพูดชื่อตระกูลของเธอออกมา ดูท่าว่าคงจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นแน่นอน
“ไม่เป็นไรนะ พวกเราอยู่ที่วิหารดังนั้นเรื่องพวกตระกูลอะไรอย่าไปคิดมากเลย”
ใช่ ไม่ต้องคิดเลยเรื่องพวกตระกูล หากผมทำไรพลาดไปอย่าเอาไปฟ้องหรือข่มขู่นะ แล้วก็เรื่องที่พ่อของเธอคิดจับผมกับพี่ชายเธอหมั้นน่ะ อย่าไปสนเลย!
“ค่ะ!”
ไม่รู้ว่าทำไมเธอถึงดีใจที่ผมพูดแบบนี้นะ แต่เอาเถอะเรื่องพวกนั้นช่างมันก่อนก็แล้วกัน ผมมาจัดของของผมดีกว่า
ว่าแล้วผมก็จัดการเปิดกระเป๋าที่พวกขุนนางให้มา ซึ่งภายในนั้นมีข้าวของเครื่องใช้ชั้นเลิศใส่อยู่เต็ม ไม่ว่าจะน้ำหอมหรือเครื่องสำอาง ไม่เว้นแม้แต่ชุดชั้นเลิศ
เอ่อ….นี่ถามจริง มั่นใจนะว่าคนที่พวกคุณคิดส่งมาให้คือนักบุญที่อยู่วิหารน่ะ!
จากนั้นผมก็ค่อยๆ รื้อของต่อไป โดยบางอันก็ดูใช้ได้เลย มีพวกของน่าสนใจอย่างดาบแถมมาให้ด้วย ดูแล้วน่าจะเป็นของดีด้วย
ระหว่างที่ค้นไปมันก็ทำให้ผมหน้าบูดขึ้นเรื่อยๆ หากถามว่าทำไม เหตุผลมันก็ง่ายแสนจะง่าย เพราะว่าภายในกระเป๋าพวกนี้นั้นดันไม่มีของที่ผมต้องการที่สุดไงล่ะ!
ขนมไง! ไหนล่ะขนม ไหนล่ะสิ่งที่สำคัญที่สุดในการดำรงชีวิตของมนุษย์!
ทีกับพวกของหรูหราชวนผิดกฎวิหารพวกนี้ยังกล้าส่งมาให้ แล้วทำไมกับของเล็กๆ น้อยๆ อย่างขนมพวกแกถึงส่งมาให้ผมไม่ได้
พอคิดถึงแล้วผมก็ได้แต่คอตกพร้อมทำน่าเศร้า ฮือๆ นี่แค่มาวันแรก สัญญาณแห่งความหวังก็แทบจะดับแล้วอย่างงั้นเหรอ ไม่นะชีวิตผม
จ้องงง
รู้สึกเหมือนมีใครกำลังจ้องมอง ผมจึงรีบหันไปตามความรู้สึกของตัวเอง ก็ได้พบว่ามาเรียกำลังจ้องตัวผมอย่างไม่วางสายตา และเพราะผมที่ยาวลงจนปิดตา ทำให้ผมไม่รู้ว่าเธอจ้องมองผมด้วยเหตุผลกลใด
หรือว่าจะจับผิด!
จู่ๆ ความคิดนี้ก็พุ่งขึ้นมาแบบหยุดไม่ได้ และหากมองเชื่อมต่อกับการที่พ่อของเธอหวังจะเคลมผมให้พี่ชายมันก็จะเริ่มพอมองออก
นี่หรือว่าเธอกำลังจ้องจับผิดผมแล้วเอาไปใช้ข่มขู่…
จู่ๆ ภาพของตัวผมที่เผลอทำพลาดไปต่อหน้าเธอในห้องก็วิ่งเข้ามา โดยสภาพในตอนนั้นเป็นภาพที่ผมกำลังเผลอสวาปามขนมที่แอบขโมยมาจากห้องครัวแล้วเธอจับได้
“หึๆ นักบุญอะไรหน้าไม่อาย มาแอบทำผิดกฎทานขนมในห้องแบบนี้ หากไม่อยากถูกเผาทั้งเป็นก็จงหมั้นกับพี่ชายฉันซะดีๆ ค่ะ”
ม่ายยยยยย มันต้องเป็นอย่างงั้นแน่นอน ถ้าเป็นแบบนั้นผมคงหนีไม่รอดแน่!
ความคิดของผมเริ่มที่จะตีกันมั่วไปมั่วมาขึ้นทุกที หนักยิ่งกว่านั้น ไม่รู้ทำไมผมถึงเห็นภาพของเธอกำลังแสยะยิ้มอย่างสะใจมองผมที่ทำขนมหล่นจากมือด้วย
“ยังกินอยู่อีกนะคะ แบบนี้คงต้องแต่งงานอย่างเดียวแล้วล่ะค่ะ”
ไม่อ้าววววววววว
“อ๊ะ ขอโทษค่ะ พอดีฉันเหม่อไปหน่อย ต้องขอโทษด้วยจริงๆ ค่ะ”
ภาพของมาเรียในจินตนาการได้สลายไป แล้วแทนที่ด้วยมาเรียแห่งความเป็นจริงที่ขี้อายเหมือนเดิม ดูเหมือนว่าตอนนี้เธอจะตกใจเมื่อเห็นว่าผมมองที่เธอซึ่งกำลังเหม่อจ้องผมอยู่
“งั้นฉันจะช่วยไปจัดของนะคะ”
มาเรียหลังก้มหัวขอโทษผมไปนับสิบครั้งก็รีบขอตัวหนีออกไปโดยอ้างว่าจะช่วยผมเก็บของ
นี่มัน…….นี่มันอาการของพวกสายลับตอนถูกจับผิดได้นี่หว่า
ไม่ดีแล้วๆ วันที่ผมจะถูกจับหมั้นจะต้องมาถึงอย่างแน่นอน ทำไงดีๆ
ไม่สิ นายอย่าคิดมากเกินไปสิออโรร่า มาเรียที่ขี้อายคนนี้ไม่มีทางทำอะไรแบบนั้นแน่นอน….แต่เราจะรู้ได้ไงล่ะว่ามันจะไม่เป็นงั้น
ตอนนี้ในหัวของผมเริ่มมีนางฟ้าและจอมมารเถียงกันไปมาแบบไม่หยุดหย่อน
ใช่แล้ว เราเก่งเรื่องจับอารมณ์คนอื่นได้ ขอแค่เห็นแววตาของเธอผมก็จะรู้ว่าเธอคิดอะไรอยู่…..
เฮ้ย ผมเธอปิดตาอยู่นี่หว่า แบบนี้ก็มองไม่ออกน่ะสิ แล้วนี่ขืนไปเปิดดูเลยมันก็จะดูสงสัยเอาได้!
“โอ้ย!”
มาเรียที่กำลังแบกกองหนังสือที่ทางนักปราชญ์ให้ผมมาดันเผลอสะดุดเข้ากับพื้นทำให้เธอล้มลง นี่คงเป็นเพราะผมที่บังตาเลยมองให้เห็นพื้นลำบากล่ะมั้ง….
เดี๋ยวนะ นี่ไงโอกาส…นี่ไงล่ะข้ออ้าง!
ว่าแล้วผมก็รีบพุ่งตัวเข้าไปหามาเรียก่อนจะก้มลงแล้วกอดลูบหลังเธอเบาๆ เมื่อรู้สึกได้ยินเสียงสะอื้นมาทีละนิดๆ จากตัวของเธอ
“ฮึก..ฮึก ขอโทษค่ะ เพ…เพราะฉันดูไม่ดีเองเลยทำให้ของ ๆ คุณเสียหาย”
“โอ๋ๆ ไม่เป็นไรค่ะๆ แค่มาเรียไม่บาดเจ็บก็ดีแล้ว”
เอาล่ะ พูดตามพิธีการจบลงไปแล้ว ต่อไปก็ถึงเวลาทำตามเป้าหมายของเราที่วางเอาไว้
“นี่เพราะผมที่ยาวปิดหน้านี้เลยคงไม่เห็นดีเท่าไหร่ ไม่ลองเปิดมันดูหน่อยล่ะคะ? นี่ค่ะ ถือเป็นของขวัญการพบกันของเราสองคนนะ”
ผมค่อยๆ เสยผมของมาเรียไปด้านข้างก่อนจะคว้าที่ติดผมซึ่งเอามาจากกระเป๋าที่ขุนนางคนหนึ่งส่งมาติดเข้าไป และด้วยการที่ผมบอกว่าเป็นของขวัญ ทำให้อีกฝ่ายขอไม่คิดจะถอดมันออกเท่าไหร่หรอก เพราะมันดูจะเป็นมรรยาทที่ไม่ดีเท่าไหร่สำหรับของขวัญที่มาจากนักบุญซึ่งเปรียบมือเครื่องรางนำโชคของพระเจ้า
และสิ่งที่ปรากฏขึ้นมาหลังจากที่ผมรวบผมของเธอขึ้น ก็คือดวงตาสีเขียวมรกตกลมโตสวยที่ตอนนี้กำลังเอ่อล้นไปด้วยน้ำตา
ผมที่มองอยู่ก็ถึงกับตะลึง เพราะใบหน้าที่เผยออกมาของมาเรียนั้นมันช่างน่ารักมากๆ ดวงหน้ากลมสวยงามพร้อมกับดวงตาสีเขียวที่เข้าได้ดีกับผมสีฟ้าสวยของเธอ ทั้งสองสิ่งนี้ยิ่งส่งให้ใบหน้าของเธอนั้นน่ารักขึ้นไปอีก
“น่ารัก…น่ารักมากค่ะ!”
ผมรีบคว้าตัวเธอเข้าไปกอดอีกทีหนึ่ง เพราะถึงผมจะกลายเป็นผู้หญิงไปแล้ว แต่ใช่ว่าจิตวิญญาณลูกผู้ชายของผมมันยังจะดับวูบไปหรอกนะ เห็นอะไรสวยๆ งามๆ มันก็ชอบเป็นธรรมดา!
“อ๊ะ!”
มาเรียดูตกใจเล็กน้อย มันก็แน่ล่ะ มีใครที่ไหนไม่ตกใจที่ถูกผีบ้าที่ไหนไม่รู้คว้าตัวเข้าไปกอดพร้อมตะโกนว่าน่ารักแบบนั้น
ไม่ดีล่ะ แบบนี้เราอาจได้โดนข่มขู่เรื่องการสำรวมอาการ ต้องรีบแก้ตัวเล็กน้อย
“เอ่อ ขอโทษด้วยค่ะพอดีว่าเห็นว่าใบหน้าของคุณมาเรียมันน่ารักและงดงามมากๆ ก็เลยเผลอตัวไปหน่อย”
…..
นั่นมันใช่ข้อแก้ตัวไหมออโรร่า นั่นเขาเรียกว่าความในใจชัดๆ! ตายแล้ว ตายๆ งานนี้โดนข่มขู่สั่งหมั้นแน่นอน!
“ฉันเนี่ยนะคะน่ารัก….ฉันคนนี้เนี่ยนะคะ…ฮึกๆ”
น้ำตาที่ไหลอยู่แล้วของมาเรียเริ่มไหลหนักกว่าเก่า ผมซึ่งชักจะตามสถานการณ์ไม่ทันเลยได้แต่ลูบหลังปลอบเธออย่างงุนงงอย่างเดียว
ก็กว่าหนึ่งชั่วโมงได้กว่าเธอจะหยุดร้องไห้ และนั่นก็ทำให้ผมเห็นแววตาของเธอแล้วว่าไม่ใช่แววตาของพวกสายลับอะไร เป็นแค่แววตาของเด็กน้อยธรรมดา
แต่ไม่รู้ทำไม ถึงแม้ดวงตาของเธอจะดูสดใสขึ้นและมีแววที่เศร้าหมองน้อยลงแต่ผมที่เป็นเพื่อนร่วมห้องซึ่งควรจะยินดีกับสิ่งนี้กลับรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่
เพราะว่าตั้งแต่หยุดร้องเธอเล่นเอาแต่จ้องมองผมไม่มีหยุด จ้องหนักยิ่งกว่าก่อนหน้านี้แบบไม่ทราบสาเหตุ ถึงแม้แววตานั้นจะไม่ใช่แววตาสายลับแต่เป็นแววตาที่เต็มไปด้วยความสุข ถึงแม้เธอจะยิ้มให้ผมตลอดเวลา แต่ไม่รู้ทำไมผมถึงรู้สึกกดดันยิ่งกว่าตอนที่คิดว่าเธอเป็นสายลับอีก…
“เอ่อ มาเรีย เราจะนอนกันแล้วนะ ถอดที่ติดผมออกก็ได้”
และตอนนี้ผมก็รู้สึกว่ามันจะดีกว่ามากถ้าผมมันบังหน้าของเธอ
“ไม่ค่ะ…นี่เป็นของที่ได้รับมาจากออโรร่า ฉันขอเก็บมันไว้ข้างกายดีกว่า”
แล้วแบบนี้ผมจะได้นอนไหมเนี่ย เล่นจ้องมันทั้งคืนแบบนี้
จะหมั้นจะอะไรก็ได้มาเรีย แต่ขอร้องล่ะ เลิกจ้องผมแบบนี้เถอะ!
———————————————————————————–
จบไปแล้วอีกตอนนะครับ ตอนนี้ก็ขอเปิดตัวละครใหม่เล็กน้อย และลดความเมากาวไปบ้าง เพราะหลายท่านคงจะได้เจอกาวไปเยอะแล้วจากตอนที่แล้ว
ปล.ทุกคอมเม้นคือกำลังใจจ้า