ซวยแล้ว! ผมดันโดนเตะมาเกิดใหม่เป็นนักบุญหญิงศักดิ์สิทธิ์ - บทที่ 14 มาเรีย สาวน้อยผู้ขี้อาย
- Home
- ซวยแล้ว! ผมดันโดนเตะมาเกิดใหม่เป็นนักบุญหญิงศักดิ์สิทธิ์
- บทที่ 14 มาเรีย สาวน้อยผู้ขี้อาย
ขอพระหัตถ์ของพระองค์ส่งเรี่ยวแรงอันแสนบริสุทธิ์สู่ใบหน้าซึ่งหยาบกระด้างของข้าด้วยเถิด
ฉันท่องคำนี้ตามท่านออโรร่าซึ่งนี่มันเป็นคำที่น่าทึ่งมาก จากคำสอนของท่านอาจารย์ปิแอร์ ทำให้เรารู้แล้วว่านั่นคือคำที่ให้พวกเราตระหนักถึงตัวตนที่ช่างเล็กกระจ้อยล่อยของเรา
ฉันท่องคำนี้ไปมาด้วยความศรัทธาทั้งในตัวพระองค์ท่านและในตัวของออโรร่าที่ตอนนี้กำลังก้มสวดภาวนาด้วยจิตใจที่สงบนิ่ง
นี่เป็นการสวดภาวนาที่ฉันไม่เคยเห็นมาก่อน การก้มลงจนหัวจรดพื้นพื้นพร้อมหลับตาอยู่ตลอดเวลา นี่มันคืออะไรกัน?
“อย่าได้รบกวนท่านนักบุญเลยขอรับทุกท่าน นั่นคือท่าสวดภาวนาที่เปี่ยมไปด้วยความศรัทธาเหนือสิ่งอื่นใด และเป็นหนึ่งในท่าของท่านนักบุญที่ต้องการสอนท่านทุกคนว่าพวกเราทุกคนช่างต่ำต้อยในสายตาของพระองค์ท่าน”
สุดยอดไปเลยค่ะท่านออโรร่า นึกไม่ถึงเลยว่าจะมีท่านี้อยู่ด้วย โดยในตอนแรกก็เหมือนมีเด็กคนอื่นคิดว่าท่านหลับเลยคิดจะไปปลุกแต่ขยับเท่าไหร่ท่านก็ไม่ตอบสนอง
เมื่อท่านนักอาจารย์เห็นเลยรีบรีกมาตักเตือนเพราะว่านั่นเป็นการรบกวนท่านออโรร่าที่กำลังต้องใช้สมาธิอย่างมากในการสวดภาวนา
“รู้ไหมเด็กน้อยว่าสิ่งที่ทำไปนั้นมันแย่แค่ไหน ท่านนักบุญหาใช่จะไม่รู้สึกตัวใดๆ ท่านเพียงแค่กำลังเพ่งสมาธิทั้งหมดให้กับการสวดภาวนา การที่เจ้าไปรบกวนท่านเช่นนั้นถือเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำอย่างสูง”
เพื่อนคนนั้นของฉันเมื่อรู้จึงได้ก้มขอขมา ซึ่งเป็นเรื่องที่คาดไม่ถึงมากเพราะนอกจากไม่ว่าอะไรแล้ว ท่านออโรร่ายังอยู่ท่าก้มสวดภาวนาแบบเดิมของท่านพร้อมทั้งขมุบขมิบปากสวดภาวนาต่อไปเบาๆ เท่านั้น
ช่างสุดยอดอะไรเช่นนี้!
ถึงแม้ตัวฉันจะไม่ได้ยินว่าท่านพูดสิ่งใด แต่นั่นต้องเป็นคำภาวนาอันแสนลึกซึ้งอย่างแน่นอนค่ะ
หลายคนคิดทำตาม หวังคิดก้มลงไปสวดภาวนาแต่สุดท้ายหากไม่เผลอหลับก็ปวดขาจนสติแตกกันไปก่อน จนได้ถูกท่านอาจารย์ว่าหากไม่พร้อมก็จงอย่าทำ
ดังนั้นเมื่อทุกคนแยกย้ายกันไปแล้ว ตัวฉันที่อยู่ข้างท่านออโรร่าจึงได้แต่จ้องมองหน้าท่านอย่างมีความสุข ความสุขที่ไม่คิดว่าจะมีแล้วในชีวิตนี้
หากถามว่าทำไม….
ตัวฉันเป็นผู้ที่ไม่มีใครต้องการ….
“เฮ้อ ยัยเด็กน้อยแบบแกเนี่ย นึกไม่ถึงว่าจะมีได้ในตระกูลของเราเลยจริงๆ”
เสียงเหล่านี้คอยพูดบอกกับตัวฉันทุกวันคืน ไม่ว่าจะเป็นญาติพี่น้องหรือแม้แต่คุณพ่อก็ตาม พวกเขาเหล่านั้นรู้สึกรับไม่ได้ในสิ่งที่ตัวฉันเป็น
ฉัน มาเรีย ลอเลนซ์ บุตรีแห่งตระกูลลอเลนซ์และเป็นลูกคนที่สามของคุณพ่อ ซึ่งตอนที่ฉันเกิดมาคุณแม่ก็ได้เสียไป นั่นทำให้คุณพ่อรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่กับตัวฉัน
เนื่องจากตระกูลที่ฉันเกิดมาเป็นตระกูลนักรบมาทุกยุคทุกสมัย นั่นทำให้ความกดดันในการกระทำต่างรวมถึงความเข้มงวดของการเลี้ยงดูก็มากตามไปด้วย
ดังนั้นไม่ว่าจะทำอะไรก็ถูกติติงหมด พอนานวันเข้าฉันก็ไม่กล้าที่จะทำอะไรเองเพราะกลัวว่ามันจะทำให้ทุกๆ คนไม่พอใจ
ยิ่งมางานเลี้ยงน้ำชาหรืองานราตรี เวลามีผู้ใหญ่หรือแขกคนไหนมาพูดด้วย ฉันก็อายและกลัวจนไม่กล้าพูด และนั่นมันคงทำให้ท่านพ่อและท่านพี่ที่มีหน้ามีตาในการงานทหารไม่ชอบใจน่าดู
“ให้ตายสิ จะพูดอะไรก็พูด อย่าอ้ำๆ อึ้งๆ สิ เห็นแบบนี้แล้วหงุดหงิดชะมัด”
พี่ชายคนโตของฉันก็เอาแต่พูดกับฉันที่ไร้ความกล้าจนจะพูดอะไรก็เสียงสั่นไปหมดอยู่แบบนี้ นั่นทำให้ฉันยิ่งไร้ความกล้าเข้าไปใหญ่
ตอนนี้แม้แต่หน้าคนอื่นฉันยังกลัวที่จะต้องมอง ดังนั้นฉันก็เลยไว้ผมยาวให้มันยาวมากพอที่จะปิดบังใบหน้าของฉันและอีกฝ่ายได้
และเมื่อย่างเข้าอายุ 5 ขวบ ฉันก็ถูกส่งเข้ามาที่มหาวิหาร ซึ่งนั่นคงทำให้ท่านพ่อดีใจน่าดูที่สามารถตัดตัวปัญหาอย่างฉันไปได้ในที่สุด
ซึ่งมาอยู่ที่นี่แล้วชีวิตก็ไม่ได้เปลี่ยนไปจากเดิมเท่าไหร่ เพราะด้วยที่ฉันนั้นไร้ซึ่งความกล้า ทำให้ไม่กล้าเข้าไปคุยกับเพื่อนๆ และเวลาเขามาชวนฉันคุย ฉันก็อายเกินกว่าจะตอบกลับ
สงสัยนั่นคงทำให้พวกเขารำคาญฉันน่าดู เพราะสุดท้ายแล้วทุกคนก็เลิกที่จะมาคุยกับฉัน…ขอโทษด้วยจริงๆ ค่ะ
ตอนแรกฉันที่ตั้งใจว่าอยากจะลองเปลี่ยนแปลงตัวเองดู จึงได้เฝ้าภาวนาขอพระองค์ทุกวันคืนให้ฉันได้เปลี่ยนแปลงตัวเอง แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปจนฉันได้แต่ท้อแท้
แต่แล้ววันนั้นก็มาถึง วันที่ฉันได้รับข่าวว่าจะมีท่านนักบุญมาที่มหาวิหารแห่งนี้ ข่าวของท่านเป็นที่พูดคุยกันมากในมหาวิหารแห่งนี้เลยทีเดียว ไม่ว่าจะท่านอาจารย์หรือเพื่อนๆ ของฉันคนไหนต่างก็ตื่นเต้น
ส่วนฉันก็ได้แต่ถอนหายใจ เพราะแม้แต่คนทั่วไปฉันยังเป็นแบบนี้ ถ้าหากท่านนักบุญมาคุยด้วยล่ะก็ ฉันคงต้องเป็นลมแน่ๆ เลย
แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อท่านนักบวชชั้นสูงเดินมาบอกว่าฉันนั้นโชคดีมากเพราะฉันจะได้ท่านนักบุญมาเป็นเพื่อนร่วมห้อง
ท่านนักบวชกำชับฉันมากเรื่องมารยาทและสิ่งที่ควรทำ แต่นั่นมันไม่ได้เข้าหูฉันเลยสักนิด เพราะทันทีที่ได้ยินว่าท่านนักบุญจะมาอยู่ห้องเดียวกันกับฉัน หัวของฉันมันก็โล่งไปหมด
เอ๋ หมายความว่าไงกันคะ นี่เป็นเรื่องจริงงั้นเหรอคะที่ท่านนักบุญจะมาอยู่ห้องเดียวกับฉัน หวา ๆ ไม่ไหวนะคะ นี่แค่คิดว่าจะได้เจอหน้าก็หัวใจเต้นตึกๆ ไม่เป็นจังหวะแล้ว นี่ถ้าต้องอยู่ห้องเดียวกันล่ะก็ ฉันต้องเป็นลมล้มตายแน่ๆ เลย
เพราะงั้นเพื่อเป็นการฝึกเตรียมใจฉันจึงได้ไปเข้าขบวนต้อนรับท่านนักบุญในวันต้อนรับท่านซึ่งเจอหน้าแค่นั้นล่ะ……..แทบลมจับ
ตั้งแต่ที่ท่านเดินเข้ามา รัศมีของความงดงามของท่านนักบุญนั้นเฉิดฉายส่องประกายออกมาจนฉันนั้นไม่อาจคิดได้เลยว่านี่ใช่เด็กผู้หญิงอายุเท่ากันกับฉันจริงๆ อย่างงั้นเหรอ
เรือนผมสีขาวบริสุทธิ์ดุจหิมะได้สยายไปตามสายลมอ่อนๆ ที่พัดเข้ามาภายในมหาวิหาร มันได้ส่องสว่างประกายงดงามเมื่อต้องกระทบกับแสงอาทิตย์สาดส่องลงมา ทำให้เธอดูเจิดจ้ายิ่งกว่าเดิม
ยิ่งมาประกอบกับดวงตากลมโตสีท้องฟ้าสวยงามซึ่งแฝงแววออบโอ้มอารีต่อทุกสิ่งมีชีวิตซึ่งได้มองมาที่ทุกคนอย่างเท่าเทียมนั้นได้ส่งให้เธอดูน่านับถือยิ่งขึ้นไปอีก
แต่ไม่ใช่แค่นั้น เพราะที่ทำให้ฉันรู้สึกอดนับถือไม่ได้คือใบหน้าของเธอที่ไม่ใช่แค่น่ารักเท่านั้นแต่ยังเปี่ยมไปด้วยความเมตตา รอยยิ้มอันแสนโอบอ้อมอารีที่ยิ้มมาให้กับทุกคนทำเอาพวกเราทุกคนที่มองเห็นรู้สึกอยากคุกเข่าลงไปพนมมือสวดภาวนาให้กับสตรีที่เป็นตัวแทนของพระเจ้าคนนี้
นี่ฉันต้องอยู่กับคนที่เปล่งประกายขนาดนี้จริงๆ เหรอคะ ไม่ไหวค่ะ ยังไงก็ไม่ไหวหรอกค่ะ
เมื่อเสร็จงานต้อนรับ ฉันก็กลับไปที่ห้องด้วยจิตใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะ ไม่ว่าจะทำอย่างไรหัวของฉันมันก็ไม่เย็นลงสักที แถมมันยิ่งแย่ไปกว่าเก่าเมื่อได้ยินเสียงอันแสนไพเราะน่ารักดังอยู่หน้าห้อง
แย่แล้ว นี่เราควรทำไงดี ทรงผมเราจัดเรียบร้อยดีไหมเนี่ย ไม่สิมาเรีย ทรงเธอก็ยาวปิดหน้าแบบนี้อยู่แล้ว หวังว่ามันจะช่วยได้นะ
ก๊อกๆ
ว้าย! เดี๋ยวสิคะ ยังไม่ได้เตรียมใจเลยค่ะ
แต่ยังไงฉันก็รีบวิ่งไปเปิดประตูทันทีเพราะมันคงเป็นการไม่สมควรถ้าปล่อยให้ท่านนักบุญต้องรอแบบนี้ และไม่รู้ว่าทำไม ฉันถึงรู้สึกว่าเจ้าประตูตรงหน้านี้นั้นมันชวนกดดันเอามากๆ
แอ๊ดดด
เพียงแค่แง้มเปิดประตู ยังไม่ทันจะได้เห็นใบหน้าของท่านนักบุญ ฉันก็ราวกับเห็นรัศมีแสงสว่างที่เปี่ยมไปด้วยบุฐบารมีของท่านไหลทะลักเข้ามาจนล้นท่วมห้อง นั่นทำให้ฉันยิ่งตื่นเต้นหนักขึ้นไปกว่าเก่า หัวใจของฉันตอนนี้ยิ่งเต้นแรงซะจนไม่เป็นจังหวะ
“สวัสดีค่ะ ออโรร่าค่ะ”
รัศมีความน่ารักและงดงามของท่านนักบุญที่ฉันได้เห็นนั้นทำเอาพูดฉันพูดอะไรไม่ออก บทพูดทั้งหมดที่เตรียมมาเพื่อทักทายท่านถึงกับสลายหายไปทันที
นี่เราเผลอทำพลาดไปอีกแล้วสินะ….ฮือ ท่านนักบุญต้องมองเราว่าแปลกแน่ๆ เลย
ความรู้สึกย่ำแย่ที่ถูกคนอื่นผิดหวังเริ่มเข้ามาครอบงำจิตใจฉันอีกครั้ง จิตใจของฉันเริ่มรู้สึกเศร้าหม่นมองมากขึ้นเรื่อยๆ ใบหน้าของท่านนักบุญที่ผิดหวังและรังเกียจตัวฉันเริ่มโผล่มาในความคิดนั่นทำให้จิตใจของฉันยิ่งแย่เข้าไปใหญ่
แต่แล้วเรื่องก็ไม่เป็นอย่างที่ฉันคิดไว้ เพราะนอกจากท่านนักบุญจะไม่ถือสาหรือว่ากล่าวอะไรแล้ว ท่านยังยิ้มให้ฉันอย่างอ่อนโยนแล้วทำตัวเป็นกันเองอีกด้วย ช่างเป็นคนที่ประเสริฐอะไรเช่นนี้
แค่นี้มันก็ทำให้ฉันรู้สึกตื้นตันใจมาก ตื้นตันจนราวกับน้ำตามันจะไหลออกมา
แถมพอแนะนำไปท่านยังพูดคุยกันอย่างปกติโดยไม่ว่าอะไรอีกด้วย ทั้งที่ปกติคนอื่นๆ จะชอบมาพูดเปรียบเทียบฉันว่าไม่เหมือนคนในตระกูลแท้ๆ ยิ่งกว่านั้นท่านนักบุญยังจ้องมองเขม็งราวกับมองทะลุจิตใจที่เศร้าสร้อยของฉันได้อีกต่างหาก
หรือว่าท่านจะสามารถอ่านใจได้? ที่ท่านทำตาไม่พอใจเพราะว่ารู้ถึงสิ่งที่ฉันพบเจอมาอย่างงั้นเหรอคะ?
แล้วเหตุที่ไม่คาดคิดที่สุดก็เกิดขึ้นซ้ำสอง ฉันที่อาสาขอช่วยแบกของดันทำของหล่นซะเอง โดยปกติแล้วหากเกิดข้อผิดพลาดอะไรแบบนี้ขึ้น ฉันจะโดนคนในบ้านตำหนิซึ่งคราวนี้ฉันเองก็เตรียมใจไว้แล้ว
แต่ว่า…..
“ฮึก..ฮึก ขอโทษค่ะ เพ…เพราะฉันดูไม่ดีเองเลยทำให้ของ ๆ คุณเสียหาย”
“โอ๋ๆ ไม่เป็นไรค่ะๆ แค่มาเรียไม่บาดเจ็บก็ดีแล้ว”
ไม่เพียงแต่จะไม่ว่ากล่าว ท่านยังได้กล่าวปลอบตัวฉันพร้อมทั้งกอดโดยอ้อมกอดอันแสนอบอุ่น….อ้อมกอดที่ฉันไม่เคยได้รับมาก่อนในชีวิต
ไออุ่นที่เต็มไปด้วยความเมตตาได้แผ่เข้ามาในตัวของฉันจนรู้สึกได้ นั่นทำให้จิตใจเศร้าหมองของฉันหายไปในที่สุด ไม่สิ….ไม่ได้หายไปแต่ต้องบอกว่าถูกแทนด้วยความสุขครั้งแรกในชีวิต
“นี่เพราะผมที่ยาวปิดหน้านี้เลยคงไม่เห็นดีเท่าไหร่ ไม่ลองเปิดมันดูหน่อยล่ะคะ ? นี่ค่ะ ถือเป็นของขวัญการพบกันของเราสองคนนะ”
ท่านนักบุญเปิดหน้าของฉันออก นั่นทำให้ฉันตื่นตกใจมากเพราะกลัวว่าท่านจะไม่ชอบสีหน้าของฉันแบบที่พี่ๆ ทุกคนบอกว่ารำคาญ แต่ไม่เลย มันไม่ใช่แบบนั้น
“น่ารัก…น่ารักมากค่ะ!”
ท่านพูดแบบนี้พลางเข้ามาสวมกอดฉันอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้มันแน่นมากขึ้น แน่นจนราวกับเป็นอ้อมกอดที่เข้ามาเพื่อสลายความเหงาหงอยเดียวดายของฉันให้หายไป
น่ารัก…..
เป็นคำที่ฉันไม่เคยได้ยินมาก่อนในชีวิตนี้ และไม่คิดว่าจะได้ยินไปตลอดทั้งชีวิตเพราะทุกคำที่ฉันได้ยินตั้งแต่เกิดมานั่นคือน่ารำคาญ และน่าผิดหวัง
“เอ่อ ขอโทษด้วยค่ะพอดีว่าเห็นว่าใบหน้าของคุณมาเรียมันน่ารักและงดงามมากๆ ก็เลยเผลอตัวไปหน่อย”
แค่คำกล่าวชมง่ายๆ นี้ มันก็ราวกับทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่อัดอั้นมาทั้งหมดในใจของฉันมันระเบิดออกมา จนฉันเริ่มที่จะคุมน้ำตาของตัวเองไม่อยู่
“ฉันเนี่ยนะคะน่ารัก….ฉันคนนี้เนี่ยนะคะ…ฮึกๆ”
ฉันร้องไห้แบบนั้นอยู่นานสองนานโดยมีท่านออโรร่าที่กอดปลอบใจฉันตลอดเวลา นั่นทำให้ฉันเข้าใจแล้วว่าทำไมทุกคนถึงเรียกเธอว่านนักบุญ
ไม่ใช่เพราะอำนาจที่ยิ่งใหญ่ ไม่ใช่เพราะคำกล่าวอันแสนเต็มไปด้วยศรัทธา แต่เป็นจิตใจโอบอ้อมอารีที่เข้าใจถึงความเศร้าและความสิ้นหวังของคนทุกคน และยินดีที่จะช่วยดึงทุกคนให้พ้นจากความสิ้นหวัง
และนั่นก็เป็นครั้งแรกที่ฉันเริ่มสามารถมองหน้าของคนอื่นได้อย่างมีความสุข เพียงแค่ได้เห็นดวงตาสีฟ้าครามอันงดงามที่มองเราด้วยความเมตตาจิตใจที่สั่นระรัวของฉันก็สงบและถูกแทนที่ด้วยความสุขนับไม่ถ้วน
ในคืนนั้นฉันจึงได้จ้องมองท่านออโรร่า จ้องหน้าของท่านเพื่อให้มันตราตรึงเข้าไปในจิตใจของฉัน เผื่อวันใดฉันท้อแท้ ฉันจะได้คิดถึงภาพอันแสนงดงาม เหตุการณ์อันแสนสุขนี้เพื่อเป็นแรงผลักดันให้ฉันเดินต่อไปได้
ตลอดคืนนั้นทั้งคืนฉันได้เอามือของฉันไปสัมผัสกับที่ติดผมซึ่งเป็นสิ่งที่ท่านออโรร่าให้มา แม้มันจะไม่ได้ดูมีค่าอะไรมากมาย แต่สำหรับฉันแล้วมันคือสิ่งที่ล้ำค่าที่สุดในชีวิตของฉัน
เป็นสิ่งที่เพียงแค่สัมผัสก็ทำให้สามารถเห็นใบหน้าอันแสนงดงามของเธอได้ เป็นสิ่งที่เพียงแค่สัมผัส จิตใจของฉันก็จะถูกเติมเต็มไปด้วยความสุข
จะเก็บมันไว้ไม่ให้ห่างกายเลยค่ะ
——————————————————————————–
ตอนนี้ไม่เมากาวนะครับ เป็นตอนนำเสนออดีตของตัวละครเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งเดี๋ยวเนื้อหาจะมีต่อเรื่อยๆ จ้า
ปล.ทุกคอมเม้นคือกำลังใจน้า
ปล2.เห็นถามเรื่องรูทมาเยอะว่าจะใครคู่ใคร ก้บอกว่ามีหลายรูท ถ้ามีเวลาอาจจะแต่งให้ครบ 555+
ปล3.รูทหลักสายนอมอลนะครับ