ซวยแล้ว! ผมดันโดนเตะมาเกิดใหม่เป็นนักบุญหญิงศักดิ์สิทธิ์ - บทที่ 15 ออโรร่าน้อยกับข่าวลืออันแสนบ้าคลั่ง
- Home
- ซวยแล้ว! ผมดันโดนเตะมาเกิดใหม่เป็นนักบุญหญิงศักดิ์สิทธิ์
- บทที่ 15 ออโรร่าน้อยกับข่าวลืออันแสนบ้าคลั่ง
นี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นเนี่ย
ตัวผมได้ยืนมองสภาพเบื้องหน้าอย่างตะลึง เพราะในตอนเช้าที่ตื่นมาเพื่อสวดภาวนาตามชีวิตปกติ ดันบังเอิญไปเห็นภาพที่ไม่คิดมาก่อนว่าจะได้เห็น
ภาพตรงหน้าของผมคือภาพของเหล่านักบวชจำนวนมากที่กำลังก้มตัวกราบลงไปที่พื้น โดยทุกคนหันไปในทางเดียวกันคือทางไม้กางเขนของพระเจ้า
ซึ่งนี่มันคงไม่ผิดแปลกอะไรถ้าเกิดเป็นภาพในวัดวาอารามแถวๆ ประเทศของผม แต่นี่มันเป็นมหาวิหารซึ่งคนปกติเขาไม่มีใครมาก้มพนมมือกราบแบบนี้หรอก แล้วยิ่งกว่านั้น ไม่ใช่แค่กราบ พวกเขาทุกคนต่างหลับตาลงคล้ายกับคนพยายามทำสมาธิ
ที่ยิ่งกว่านั้น ไม่ใช่แค่ตัวพวกเขาที่มันแปลก แต่ที่บริเวณช่องว่างระหว่างเหล่านักบวชซึ่งน่าจะเป็นนักบวชระดับกลางนั้น ดันมีท่านนักบวชชั้นผู้ใหญ่ถือไม้ไล่ตีก้นของคนที่ทำหน้าตาเจ็บปวดหรือบังเอิญหลับแล้วตัวเซขึ้นมา
“อ่อนหัด! นั่งสวดภาวนายังทำไม่ได้แล้วเจ้ายังจะบอกว่าตัวเองศรัทธาในพระองค์ท่านอีกงั้นรึ!”
ท่านนักบวชพูดเป็นเชิงดุใส่เหล่าลูกศิษย์ทุกคนที่ดันเผลอทำพลาด ซึ่งพวกนั้นนอกจากจะไม่โกรธหรืออะไรแล้ว ดันมาร้องไห้สำนึกผิดขอโทษขอโพยก่อนจะกลับไปอยู่ในท่าเดิม
“หึ อายุพวกเจ้าก็วัยกลางคนแล้ว อยู่กับพระเจ้าท่านในมหาวิหารแห่งนี้ก็นานแล้ว แค่นั่งสำนึกบุญคุณพระองค์ท่านง่ายๆ แบบนี้ยังทำไม่ได้ อายท่านนักบุญไหม ท่านอายุเพียงแค่ 6 ปี แต่ก็สามารถนั่งสวดภาวนาในท่าสำนึกบุญคุณนี้ได้นานนับชั่วโมงๆ”
ท่านนักบวชชั้นผู้ใหญ่พูดเป็นเชิงสั่งสอน ซึ่งพวกลูกศิษย์ทุกคนก็ต่างพยักหน้าแล้วก้มทำต่อไป ส่วนตัวผมนั้นก็ได้แต่เหงื่อแตกพลั่กๆ ซ่อนตัวอยู่หลังกำแพง
งานงอกแล้วไง เจ้าพวกนี้ดันบ้าจี้เอาท่านั่งหลับประจำตอนเข้าค่ายธรรมะของผมไปตีความมั่วเป็นท่าสวดภาวนาไปซะแล้ว
“โอ้ นั่นท่านนักบุญนี่นา นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าท่านจะมาในช่วงเวลาเช่นนี้”
ตัวผมที่หลบอยู่หลังกำแพงก็ถึงกับสะดุ้งเมื่อถูกท่านนักบวชชั้นสูงเรียก เหตุผลนั้นไม่ใช่เพราะอะไร แต่เป็นเพราะตัวผมในตอนนี้นั้นมีความผิดติดตัวตั้งแต่หัววันยังไงล่ะ
“ข้าได้ยินว่าท่านมิได้เข้าร่วมการสวดภาวนาในช่วงเช้ากับเหล่าผู้ศรัทธาเด็ก จึงอยากถามว่าเกิดเหตุอันใดขึ้นกับท่านหรือไม่?”
ท่านนักบวชชั้นสูงถามมาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วง สวนทางกับความรู้สึกผิดของผมที่ตอนนี้มันพุ่งทะลวงจนจุกอยู่เต็มอก
จะ…จะบอกได้ยังไงว่าที่ไม่ได้มาเพราะตื่นสาย ขืนบอกแบบนั้นไปได้โดนไม้ฟาดก้นบานแน่นอน
แถมถ้ารู้ว่าเราตื่นสายเพราะเมื่อวานดันไปเดินสำรวจมหาวิหารเล่นจนดึกดื่นเพื่อหาต้นทางไปแอบลอบขโมยขนมจากห้องครัว รับรอง ก้นแหกแน่
ซึ่งนี่มองยังไงมันก็ความผิดผมล้วนๆ เพราะมาเรียที่ปลุกผมอยู่หลายรอบแต่ผมดันขอเวลาต่อ 5 นาทีแบบเรื่อยๆ ไม่มีหยุดจนสงสัยเธอจะทนไม่ไหวเลยออกจากห้อง แถมก่อนออกก็มีพูดกับตัวเองไว้ด้วยว่า
“หรือว่าจะเป็นการสื่อสารกับพระองค์ท่าน…..การที่ขอเวลาอีกห้านาทีนั้นก็เพื่อที่จะเชื่อมต่อทางจิตวิญญาณกับพระองค์ท่านผู้สูงส่งสินะคะ นี่ตัวฉันดันไปขัดพิธีอันศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้แต่ท่านออโรร่าก็ยังให้อภัยโดยทำแค่เหมือนเป็นการนอนไม่ตื่น…โอ้ไม่นะ….”
“ฉันมันช่างเป็นคนบาปยิ่งนัก!”
มาเรียออกไปด้วยการทิ้งน้ำเสียงอันแสนเศร้าสร้อยพร้อมเต็มไปด้วยการตำหนิตัวเองอย่างเหลือล้น
……
นี่คิดไปถึงไหนกันเนี่ย!
ไม่ๆ ตอนนี้ช่างเรื่องอดีตมันไปก่อน ตอนนี้เรากลับมาอยู่ในเรื่องปัจจุบันก่อนน่าจะดีกว่า เพราะว่าตอนนี้ผมน่ะ จำเป็นต้องหาข้ออ้างสำหรับรอดจากเหตุการณ์ตรงหน้านี้ให้ได้
มันคงไม่เป็นการดีเท่าไหร่ที่ผมจะตอบไปตามความจริง ไม่งั้นเจ้าพวกที่ซวยได้มานั่งกราบท่าเดียวกับผมนั้นอาจจะลุกขึ้นมาเอาเท้ารุมกระทืบผมเอาได้
“ก็นิดหน่อยค่ะ”
ฮือออ นี่เราตอบบ้าอะไรไปฟะเนี่ย นิดหน่อย? นิดหน่อยนี่มันใช่คำตอบอย่างงั้นเหรอออโรร่า! ตอบแบบนี้มันยิ่งทำให้ดูน่าสงสัยไปใหญ่เลยไม่ใช่รึไง?
“อ่า ต้องเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่มากแน่เลยใช่ครับ”
ไม่เลยท่าน ไม่เลย เรื่องขี้ปะติ๋วอย่างตื่นสายเอง….เฮ้ย ทำไมรู้สึกถึงอะไรแปลกๆ
เมื่อคิดได้แบบนี้ผมจึงเงยหน้าขึ้นมองท่านนักบวชชั้นสูงอีกครั้ง และนั่นก็พบกับใบหน้าของชายชราที่กำลังทำหน้าซึ้งใจอะไรบางอย่าง ทำให้ผมตกใจกับสีหน้าที่คาดไม่ถึง
“สีหน้าเช่นนั้น!….เป็นอย่างนั้นจริงๆ ด้วยสินะ พวกผมทราบเรื่องนี้แล้ว เรื่องนี้ท่านไม่ต้องปิดก็ได้นะครับ”
เอ๋ เรื่องอะไรเหรอ อย่าบอกนะว่าจับได้ว่าผมดันเผลอแอบตื่นสายน่ะ
“ต้องขอโทษด้วยจริงๆ ค่ะ หนูคงทำการไม่สมควรไปแล้วสินะคะ”
ผมรีบก้มหัวขอโทษอย่างรวดเร็ว เผื่อว่าโทษมันจะน้อยลงไปบ้าง แต่แล้วปฏิกิริยาของท่านที่ตอบกลับมาแทบทำเอาผมปากค้าง
“โอ้นี่มัน…นี่มัน ช่างเป็นบุคคลที่ประเสริฐอะไรเช่นนี้”
ห๊ะ? นอนหลับตื่นสายเนี่ยนะประเสริฐ ถ้าเป็นแบบนั้นตัวผมตอนนี้ไม่กลายเป็นพระเจ้าไปแล้วรึไง
“นอกจากพยายามติดต่อพระองค์ท่านแล้ว ท่านยังพยายามปิดเรื่องนี้ไว้เพื่อไม่ให้มีใครตื่นตกใจ ประเสริฐ ประเสริฐยิ่งนัก ไม่สนใจชื่อเสียง ไม่สนใจคำชื่นชมจากพลังที่ตัวเองมี โอ้ นี่ท่าน นี่ท่านช่างเป็นนักบุญที่ประเสริฐที่สุดในประวัติการณ์แห่งเรสเวนน่า”
“การสนทนานั่นต้องเต็มไปด้วยความดีงามแน่นอน และเพราะเหตุนั้นเพราะองค์ท่านถึงได้มอบพรอันแสนวิเศษให้ท่านนักบุญใช่ไหมครับ”
แบบนี้ก็ได้ด้วยเหรอ!
ก็ว่าอยู่ว่าทำไมบทสนทนามันดูไม่สัมพันธ์กับเรื่องที่ผมกำลังกังวล ที่แท้ เจ้านักบวชนี่มันก็สอบเต็มแกทเชื่อมโยงแล้วเอามามโนมั่วซั่ว ถึงจะเป็นการดี แต่นี่มันก็ไปกันใหญ่แล้วนะ
ถึงตัวผมจะติดต่อกับเจ้าพระเจ้าบ้านั่นได้ก็เถอะ แต่สภาพมันไม่ได้เป็นแบบที่พวกนายคิดสักหน่อยนะ ร้อยวันพันปีมันมีมาแต่กวนตู ไม่ได้ให้พงให้พรอะไรเลย….มีแต่คำสาปล้วนๆ เฮ้ย งานงอก
“ถึงตัวฉันจะติดต่อกับพระองค์ท่านผู้มากความสามารถได้ก็จริง แต่ตัวฉันผู้ต่ำต้อยนั้นหาได้สนทนากับพระองค์ท่านเฉกเช่นที่พวกท่านคิดไม่ การพูดคุยกับพระองค์ท่านผู้ยิ่งใหญ่นั้นหาได้ต้องขอพรใดๆ หาได้ต้องให้ท่านดลบันดาลสิ่งไหน เพียงแค่ได้สนทนากับพระองค์ท่านผู้ยิ่งใหญ่ ก็นับเป็นพรสุดประเสริฐในชีวิตของหนูแล้วค่ะ”
ม่ายยยยยย
งานงอกยิ่งกว่านอก เพราะจากคำพูดที่ถูกบิดไปมาของผมนั้นมันยิ่งทำให้เรื่องมันเลวร้ายเข้าไปกันใหญ่ ดูจากท่านนักบวชชั้นสูงที่ตอนนี้ทำหน้าตาซึ้งใจยิ่งกว่าเดิม ซึ้งใจในระดับที่เรียกได้ว่าสามารถน้ำตาไหลได้เป็นสายน้ำก็พอมองออกแล้วว่าหลังจากนี้เรื่องบ้าๆ บอๆ อะไรมันจะเกิดขึ้น
“สุดยอด เยี่ยมมาก ประเสริฐที่สุด ไม่จำเป็นต้องได้รับพรใดๆ เพราะการได้พบพระองค์ท่านคือพรที่เลอค่าที่สุดในชีวิตนี้ของพวกเราเหล่าสาวก อา แค่ข้าได้ฟังก็ถึงกับซึ้งใจในคำสอนที่ท่านมอบให้ ข้า….ข้าต้องนำเรื่องนี้ไปบอกท่านสังฆราช”
อย่านะ! หยุด!
แต่ไม่ทันที่ผมจะได้ยกมือห้าม ท่านนักบวชก็วิ่งตัวปลิวพร้อมน้ำตาที่ไหลเป็นสายของเขา โดยไม่ไปแค่ตัวแต่ยังทิ้งเสียงเอาไว้ด้วย
“พรของพระองค์ พรของพระองค์”
บ้าไปแล้ววววว
วิหารแห่งนี้มันรวมพวกบ้าขี้มโนใช่ไหม
ความซวยของผมยังไม่จบแค่นั้น หลังจากที่ท่านนักบวชไป ดูเหมือนเหล่าลูกศิษย์ของท่านที่นั่งก้มคุกเข่านานจะเริ่มทนไม่ไหว จึงได้ล้มตัวลงนอนตายกันเป็นแถวๆ
“สุดยอด….ท่านนักบุญต้องมีความศรัทธาขนาดไหนกันถึงสามารถทำการสวดภาวนาได้เช่นนี้นานนับชั่วโมง”
หึ มากขนาดที่ฝันได้ไงล่ะ
ระหว่างที่ผมกำลังค่อยๆ เดินหลบไปตามเงาเพื่อไม่ให้พวกเขาเห็นตัว ก็แอบแสยะยิ้มพร้อมส่ายหัวให้กับพวกเขาที่แอบหลับตอนทำจนโดนตีก้นแดง
เจ้าพวกอ่อนหัดเอ๋ย พวกนายน่ะมาถูกทางแล้วล่ะนะ ท่านี้น่ะจุดสำคัญมันไม่ใช่ความศรัทธา แต่เป็นการนอนหลับ ถ้านายนอนหลับได้ นายจะอยู่ท่านั้นนานกี่ชั่วโมงก็ได้ แต่ท่ามันต้องเนียนในระดับนึงนะ เพราะงั้นซ้อมกันเยอะๆ ล่ะ
หลังหนีออกมาได้ตัวผมก็ได้พบความจริงว่าเรื่องเหล่านี้มันแพร่กระจายไปกันมั่วหมดแล้ว จากแค่พูดคุยกับพระเจ้า เริ่มกลายเป็นผมสามารถขอให้พระเจ้าอวยพรใครก็ได้…..นี่มันอะไรกัน!
เรื่องพวกนี้ทำไมถึงได้แพร่มั่วไปได้ขนาดนี้…งานนี้มันต้องมีเงื่อนงำ
และพูดถึงเงื่อนงำมันต้องมีตัวต้นเหตุและนั่นคงเป็นใครอื่นไม่ได้นอกจาก….
มาเรียยยยยยยยยยยย
ผมได้เดินพุ่งพรวดๆ เข้าไปหาตัวต้นเหตุที่อาจจะอยู่ในห้อง ซึ่งนั่นก็พบว่าห้องมันว่างเปล่าทำให้ต้องเดินตามหาโดยถามคนอื่นไประหว่างเดิน
“ขอโทษนะคะ มิทราบว่าเห็นท่านมาเรียหรือเปล่าคะ”
“เห็นว่าไปต้องห้องโถงน่ะใหญ่ทางนั้นค่ะ”
ว่าแล้วผมก็เดินไปเรื่อยๆ จนถึงห้องโถงใหญ่ และภาพที่ผมเห็นนั้นก็ทำให้ผมถึงกับลมจับใส่
“จริงงั้นเหรอคะที่ว่าท่านออโรร่าติดต่อพระองค์ได้ เหตุการณ์มันตอนไหนเหรอคะ แล้วเป็นอย่างไรบ้างคะ?”
“ค่ะ….ค่ะ ตอ..ตอนเช้าฉันเห็นท่านออโรร่า…..เอ่อ แสง เอ่อ”
มาเรียที่พูดติดๆ ขัดๆ ฟังจนไม่เป็นภาษากำลังพยายามเล่าเรื่องเมื่อตัวเองถูกถาม แต่ด้วยเพราะภาษาที่เธอพูดด้วยความเขินอายนั่นล่ะที่ทำให้คนอื่นเริ่มจะฟังไม่ออก…และเมื่อฟังไม่ออก
“ว่าไงนะคะเอ่อ…ท่านมาเรียจะบอกว่าท่านออโรร่าที่ติดต่อกับพระองค์ท่านมีแสงล้อมรอบตัวเองด้วยสินะคะ?”
แน่นอนว่านั่นไม่ใช่สิ่งมาเรียจะพูด หากให้เดาก็คงบอกว่าตอนนั้นไปตั้งแต่แสงอาทิตย์ยังไม่ขึ้น แต่ด้วยความอายจนพูดไม่ออก มันเลยมาแค่นั้นแต่แน่นอนว่ามาเรียที่ถูกถามพุ่งเสร็จมาซะขนาดนั้นคงจะไม่ตอบอย่างอื่นนอกจาก
“ค่…ค่ะ”
จะไปตอบตกลงทำไมเล่ามาเรีย แบบนี้มันก็เหมือนว่าผมเป็นตัวประหลาดเรืองแสงได้ตอนกำลังคุยกับพระเจ้าสิเฮ้ย นี่ตัวผมมันจะเริ่มไม่ใช่คนไปใหญ่แล้วนะ
แค่นั้นไม่พอ เมื่อมีคนเห็นว่ามาเรียผู้เห็นเหตุการณ์โผล่มาจึงได้สนใจพุ่งเข้าไปถามกัน ประดุจถูกคุณป้าขาเมาท์ที่ตลาดเข้าสิง
“ถ้างั้นท่านมาเรียพอบอกได้ไหมคะว่าท่านออโรร่าได้พูดอย่างไรบ้าง”
“เอ่อ ขอ….ขอ…..ห้า…”
“ว่าไงนะคะ ขอ? ห้า? หรือว่าจะเป็นห้าผู้คุมแห่งประตูสวรรค์”
“นี่มันสุดยอดมากไปเลยนะคะ ท่านออโรร่าสามารถอัญเชิญให้ห้าผู้คุมแห่งประตูสวรรค์มาปรากฏกายได้แบบนี้ ตามตำนานแล้วได้ข่าวว่าพวกท่านจะโผล่มาเมื่อจอมมารปรากฏ…หรือว่าท่านออโรร่ามองเห็นอนาคตได้เลยคิดเตรียมการอะไรบางอย่าง”
“อย่างงั้นเหรอคะ? ….น่ากลัวมากเลยค่ะ”
เฮ้ย ไอ้ห้าผู้คุมประตูนี่มันใครกัน? ที่ผมพูดมันขออีกห้านาทีเว้ย แล้วมิทราบว่าพวกท่านๆ จะถามมาเรียทำบ้าบออะไรถ้าจะฟังแค่คำสองคำแล้วสรุปเอามาเองขนาดนั้นน่ะ
“เป็นอย่างนั้นสินะคะ ท่านมาเรีย?”
“อ๊ะ…เอ่อ ค่ะ”
แล้วยังจะไปตอบรับเขาทำไมเล่ามาเรีย ก็เห็นๆ อยู่ว่าเรื่องมันเลยเถิดไปเกินกว่าความจริงขนาดว่าโลกกับดาวพลูโตยังใกล้กว่าแล้ว!
มั่วไปหมดแล้ว มั่วมาก นี่มันมั่วจนไม่รู้ว่าจะหาอะไรที่มันมั่วกว่านี้ได้อีกแล้ว…ต้องหยุด ผมต้องหาทางหยุดมัน
ระหว่างที่ผมกำลังเดินเข้าไปหาเพื่อหยุดเจ้าพวกเรื่องบ้าๆ นี้นั้น จู่ๆ ก็มีใครไม่รู้มาคว้ามือของผมเอาไว้
“เจอตัวแล้ว! ตามหาตัวตั้งนานครับ”
มือของผมถูกดึงไปอย่างเบามือแต่ก็ยังเต็มไปด้วยแรงที่มากพอจะทำให้ผมหมุนไปหาทางที่ดึงไปและนั่นทำให้ผมพบกับเด็กหนุ่มหน้าตาคุ้นเคย……
“ว่าแล้วว่าท่านต้องอยู่ที่นี่ ตั้งแต่วันนั้นมาผมหวังที่จะเจอท่านมาโดยตลอด”
มันคือไอ้เด็กหัวทองตอนเดินขบวนนี่หว่า แล้วตอนนี้ไอ้เจ้าเด็กหัวทองนั่นมันก็โผล่มาต่อหน้าผมที่กำลังต้องจัดการเรื่องอันแสนสำคัญ แถมไม่ได้มาเปล่า มันมาพร้อมกับประโยคสุดแก่แดดเกินวัย
“อาจเป็นการเสียมารยาทต่อท่านนักบุญแต่ตัวผมที่ดีใจมากจึงมิอาจห้ามได้ที่จะต้องมาด้วยตัวเอง”
คำพูดสุดแก่แดดได้ถูกพ่นออกมาอย่างไม่หยุดหย่อน พร้อมกันนั้น เจ้าเด็กนี่ก็ทำหน้าตาซึ่งใจประดุจได้พบของที่อยากได้มานาย
รู้สึกได้กลิ่นไม่ชอบมาพากล
“ตัวผม ชาร์ล เรสเวน องค์ชายอันดับสองแห่งราชวงศ์เรสเวน ขอประกาศสถานะการหมั้นหมายของพวกเราอย่างเป็นทางการครับ”
งานนี้ต้องมีคนตาย!
*********************************************************************************
เอาล่ะจบไปแล้วกับตอนสบายๆ ไม่เมามากนะครับ 555+
งานนี้หนีเสือปะจระเข้…ไม่ดิ ยังไม่ทันหนี ทั้งเสือและจระเข้ก็พุ่งมา เอาล่ะครับมาดูกันเถอะว่าออโรร่าน้อยของเราจะทำไงต่อ