ซวยแล้ว! ผมดันโดนเตะมาเกิดใหม่เป็นนักบุญหญิงศักดิ์สิทธิ์ - บทที่ 17 ออโรร่าน้อยกับภารกิจนักบุญครั้งแรก
- Home
- ซวยแล้ว! ผมดันโดนเตะมาเกิดใหม่เป็นนักบุญหญิงศักดิ์สิทธิ์
- บทที่ 17 ออโรร่าน้อยกับภารกิจนักบุญครั้งแรก
“เรื่องนั้นไม่ใช่อย่างที่ท่านคิดหรอกนะ ท่านนักบุญ”
หา ว่าไงนะ?
ผมอ้าปากอึ้งเป็นไก่ตาแตกทันทีที่ได้ยินสาเหตุของเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อสัปดาห์ก่อน หรือนั่นก็คือเรื่องหมั้นระหว่างผมกับตัวองค์ชาย
ถ้าจำไม่ผิดตอนที่หมอนั่นบอกไว้ว่าการหมั้นของผมกับเขานั้นทางท่านสังฆราชได้รับรองเป็นที่เรียบร้อย เพราะงั้นผมถึงได้รอท่านสังฆราชกลับมาจากการเดินทางค่อยมาถามท่าน
และด้วยคำตอบที่ผมได้รับมาจึงทำให้ผมอยู่มาอึ้งกินแบบในสภาพปัจจุบันที่เป็นอยู่
“ท่านหมายความว่าอย่างไรงั้นเหรอคะ ท่านสังฆราช?”
“ครับ นั่นเป็นสิ่งองค์ชายอันดับสองเป็นคนคิดไปเองล่ะมั้งครับ เพราะตอนนั้นที่ข้าไปคุยธุระกับท่านราชาที่ราชวัง เหมือนว่าเขาก็มาถามข้าเรื่องนี้อยู่ ซึ่งข้าก็ปฏิเสธไปแล้ว แต่ถ้าเขามาบอกท่านเช่นนั้น สงสัยเขาคงจะเข้าใจผิดไปเองนั่นล่ะครับ”
ถ้าเป็นอย่างที่ท่านสังฆราชว่ามา ก็คงเชื่อได้ในระดับหนึ่งเพราะถ้าดูจากความเคารพของท่านที่มีต่อผมนั้น ท่านคงไม่เอาผมมาเป็นหมากในเกมการเมืองแน่นอน แถมได้ข่าวมาเหมือนกันว่าท่านก็เป็นสังฆราชที่เล่นเกมการเมืองน้อยที่สุดแล้ว
ดังนั้นหากตั้งสมมติฐานดูก็คงจะมองได้ว่ามีขุนนางบ้าบอคนไหนสักคนมาเป่าหูราชาและเมื่อราชาพูดเรื่องนี้ องค์ชายไม่ก็พ่อของเจ้าชายมาโซคงไปถามสังฆราชแล้วตีความหมายของคำตอบไปสินะ
ถ้าเป็นอย่างงั้นแล้วทำไมมันถึงเกิดเรื่องเข้าใจผิดแบบนี้ขึ้นมาได้หว่า เท่าที่ดูองค์ชายมันก็มีสมองดีอยู่หรอก เพราะงั้นคงไม่เข้าใจคำพูดธรรมดาๆ ผิดไปได้…
เดี๋ยวนะ…คำพูดธรรมดา
ผมเงยหน้าขึ้นมองท่านสังฆราชที่ตอนนี้ยิ้มให้ผมอย่างเป็นมิตร ในใจก็แอบเริ่มหวั่นๆ ว่าคำพูดธรรมดาสำหรับท่านนั้น มันจะธรรมดาสำหรับชาวบ้านชาวช่องเขาหรือเปล่า
“เอ่อ หนูขอถามได้ไหมคะว่า ท่านตอบเขาไปเช่นไร?”
“ข้าย่อมยินดีตอบอยู่แล้ว อืมขอข้านึกก่อนนะ”
ท่านสังฆราชที่เริ่มแก่ชราเริ่มหลับตาลงแล้วค่อยๆ นึกเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่นาน ส่วนตัวผมก็ได้แต่หัวใจเต้นตึกๆ กับคำตอบของท่าน
“เนื่องจากนี่เป็นเรื่องส่วนตัวที่ตัวท่านนักบุญควรตัดสินใจเอง เช่นนั้นข้าจึงตอบเขาไปว่า “เรื่องนี้หากแสงแห่งพระเจ้าทรงโปรดก็คงเป็นเช่นนั้น” ”
…..
เดี๋ยวนะท่าน นั่นคือคำพูดของท่านกับเด็กอายุ 6 ขวบอย่างงั้นเหรอท่านสังฆราช ขนาดผมที่เป็นเด็ก 6 ขวบที่มีวิญญาณอายุเกือบยี่สิบสิงอยู่ ยังรู้สึกว่ามันเข้าใจยากเลยนะ
“เนื่องด้วยองค์ชายท่านฉลาดและข้าก็ไม่อยากทำร้ายจิตใจเขาที่เป็นเด็กจึงได้พูดแบบเปรียบเปรยให้เขาค่อยๆ ครุ่นคิดก่อนเพื่อที่จะไม่ตกใจกับคำตอบมากนัก โดยแสงแห่งพระองค์ก็คือตัวท่านนักบุญที่เหมือนดั่งแสงสว่างของพระองค์ท่านที่ส่งมาให้พวกเราเหล่ามนุษย์ ดังนั้นก็หมายถึงถ้าท่านไม่ต้องการ การหมั้นนี้ก็คงเกิดมิได้”
….
ซับซ้อนไปแล้วเว้ย ซับซ้อนเกินกว่าจะให้มันนั่งกลับไปคิดแล้วได้คำตอบแล้วเว้ย
ถึงมันจะฉลาดแต่มันก็ยังเด็ก พอเจอแบบนี้ไปมันคงได้ไปมโนคิดคำตอบแบบเด็กๆ แน่นอน หรือถ้าให้เดามันคงแปลแสงแห่งพระเจ้าเป็นแสงที่ไหนสักที่แล้วบังเอิญไปเห็นแสงสว่างจ้าๆ เข้าเลยแปลออกมาว่า ใช่ แน่นอน
ฮือ ท่านสังฆราช เหตุใดท่านต้องให้คนอื่นมาสอบแกทเชื่อมโยงกับตัวท่านด้วย…….สอบกันมากจนตัวผมซวยไปหมดแล้วเนี่ย
รู้ไหมว่าถ้าข่าวมันถึงพ่อผมมันจะเป็นยังไงน่ะ!
“หนูคิดว่าประโยคที่ท่านบอกเขาไปอาจจะยากเกินกว่าที่เขาจะเข้าใจนะคะ”
“จากเหตุการณ์ครั้งนี้คงเป็นเช่นนั้น ข้าคงเผลอนำเขามาเปรียบเทียบกับท่านจนลืมวัยที่แท้จริงของเขา ตัวข้ายังอ่อนหัดจริงๆ ด้วย”
สังฆราชยิ้มเศร้าๆ ให้กับตัวเอง ก่อนที่จะเอนหลังพิงกับประตูเพื่อทำการผ่อนคลาย
“แต่เรื่องนี้ท่านไม่ต้องกังวล ตัวข้านั้นสั่งแก้ข่าวที่เกิดขึ้นภายในวิหารเป็นที่เรียบร้อย ซึ่งก็ดีที่ข่าวนั้นยังไม่หลุดไปและเรื่องทางฝั่งราชวงศ์เองข้าก็ส่งคนไปแจ้งข่าวเรียบร้อยแล้ว เพราะฉะนั้นคงมิต้องกังวลว่าจะเกิดปัญหาการเมืองตามมาได้”
ท่านสังฆราชพูดก่อนจะค่อยๆ จิบน้ำชายามเช้าของเขา ส่วนผมก็โล่งอกขึ้นมาทันทีเพราะเท่ากับว่าตอนนี้ตัวผมยังไม่มีพันธะอะไรทั้งนั้น….เดี๋ยวนะ
ถ้างั้นไอ้การวางแผนฆาตกรรมของผมเมื่ออาทิตย์ที่แล้วทั้งหมดมันก็ทำไปเพราะความเข้าใจผิดของเจ้าเด็กสายมโนคนเดียวเลยนี่หว่า
พอคิดได้แบบนั้นตัวผมก็แทบจะร้องไห้น้ำตาไหลเป็นสายเลือด เพราะมันเท่ากับผมลงทุนเจ็บตัวฟรีๆ ทั้งนั้นเลยนี่หว่า…..
แบบนี้สินะที่เขาเรียกว่าการขาดสติทำให้คนเราคิดน้อยลง
ผมได้แต่จินตนาการตบหัวตัวเองเบาๆ พลางคิดไปว่า ออโรร่าเอ๋ย ไงแกมันโง่เช่นนี้ ทำอะไรไม่คิดเลยยยย
แต่เอาเถอะ ถ้าเรื่องเข้าใจผิดมันถูกแก้ไปเรียบร้อยแล้วก็ดี เพราะว่านอกจากเรื่องหมั้นแล้วไม่รู้ว่าทำไมบรรยากาศในห้องของผมกับมาเรียมันถึงได้ดูมาคุแปลกๆ
แถมหล่อนยังเอาแต่พูดว่า…
“เจ้าชายสินะคะ หมั้นด้วยสินะคะ”
เอาแต่พูดกับตัวเองแบบนั้น ด้วยน้ำเสียงชวนสยองแบบนั้น มันก็ทำเอาให้ตัวผมหลับไม่ได้กันพอดีน่ะสิ แถมถ้าต้องให้ฟังมาเรียพึมพำเรื่องนี้ตลอดเดือนล่ะก็ ผมคงได้ผูกคอตายหนีความเครียดแน่ๆ
“ค่ะ เรื่องนั้นหนูต้องขอบคุณจริงๆ ค่ะ”
หึๆ อยากรู้จริงๆ ว่าเจ้าชายมาโซพอมันได้ยินข่าวแสนทำร้ายจิตใจแบบนี้แล้วมันจะร้องไห้เจ็บปวดไปซุกอกแม่ไหม….ไม่สิ มันเป็นมาโซนี่หว่า เพราะงั้นตอนนี้มันคงยิ้มหน้าบานมีความสุขแน่นอน
“เรื่องนั้นข้ายินดี เพราะคงไม่ดีเท่าไหร่ ถ้าคนอื่นคิดว่าเรื่องนั้นเป็นเรื่องจริง มันจะทำให้การเมืองที่สงบอยู่ตอนนี้เกิดปัญหาขึ้นมาได้”
สังฆราชพูดเรื่องนี้ขึ้นมาก็ทำให้ผมนึกได้ว่าตอนนี้สมดุลอำนาจทางการเมืองของฝั่งองค์ชายอันดับหนึ่งกับสองมันยังไม่ค่อยมีปัญหาเนื่องจากอำนาจของทางฝั่งองค์ชายอันดับสองยังน้อยอยู่ แต่ถ้าหากมีการหมั้นของผมกับเขาล่ะก็ เท่ากับสมดุลอำนาจจะเอียงไปเนื่องจากองค์ชายสองจะได้ศาสนจักรมาหนุนหลัง
แล้วถ้าเหตุการณ์นั้นมันเกิดขึ้นก็คงทำให้บ้านเมืองวุ่นวายมากพอตัว ตัวผมคงไม่ค่อยโอเคเท่าไหร่ ถ้าตัวผมต้องมาเป็นเหตุให้ชาวบ้านชาวช่องตีกันแบบนี้
“หวังว่าเรื่องนั้นคงทำให้ท่านสบายใจลงได้นะ ท่านนักบุญ”
“ค่ะ ยินดีมากค่ะ เพราะอย่างไรตัวหนูก็ไม่อยากหมั้นอยู่แล้วค่ะ เพราะนั่นจะทำให้เกิดปัญหาได้”
ใช่ ยินดีที่ไม่ต้องแต่งกับเจ้าเด็กเปรตมาโซนั่นยังไงล่ะ ขืนแต่งไปมีหวังเจอปัญหาคนมาไล่ลอบฆ่าแน่นอน
“ท่านช่างสมเป็นนักบุญจริงแท้ ไม่สนในอำนาจไม่สนในทรัพย์สิน ช่างน่ายินดียิ่งนักที่ข้าได้เกิดมาในยุคสมัยที่มีนักบุญที่แท้จริงเช่นท่านแบบนี้”
ท่านสังฆราชพูดไปน้ำตาไหลไป ส่วนตัวผมนั้นก็อยากจะบอกท่านเหลือเกินว่าผมนั้นไม่ยินดีสักนิดที่ดันมาเกิดตรงกับท่านที่แกทเชื่อมโยงเต็มสามร้อยแบบนี้
“ไม่ได้ๆ ข้าจะมาซึ้งใจ จนไม่แจ้งเรื่องสำคัญอีกเรื่องคงไม่ได้”
ว่าแล้วท่านสังฆราชก็เช็ดน้ำตาที่เต็มไปด้วยความปลาบปลื้มของเขาออก ก่อนที่จะหยิบเอกสารกองโตกองหนึ่งขึ้นมา
ตึง
ผมมองภาพเอกสารนั่นด้วยความหวาดกลัวเล็กๆ เพราะหากคิดตามคำพูดถึงที่บอกว่าเป็นเรื่องสำคัญ เมื่อนำมาประกอบกับเอกสารตรงหน้าคงจะเป็นอื่นไม่ได้นอกจากคำว่า….
“ท่านก็อยู่ที่นี่ได้มาเกือบเดือนแล้ว ดังนั้นหากจะให้ท่านอยู่เฉยๆ ไม่ทำอะไร เกรงว่าท่านนักบุญคงอาจไม่ชอบใจ เช่นนั้นข้าจึงได้นำปัญหาภายในเรสเวนน่าแห่งนี้มาให้ท่าน เผื่อท่านอยากจะจัดการมัน”
ท่านสังฆราชพูดไปพลางยิ้มให้ ส่วนผมได้แต่แอบส่ายหน้าภายในใจแล้วตอบแต่เพียงในใจไปว่า
ไม่เลยท่าน ตัวผมนั้นสุดแสนจะยินดีที่ได้นั่งกินนอนกินอยู่ภายในมหาวิหารแห่งนี้ และจะเป็นการดีมากถ้าหากท่านยกกองเอกสารนั่นกลับไปแล้วให้ผมทำความคุ้นเคยต่ออีกสักหนึ่งปีจะเป็นอะไรที่ต้องขอขอบคุณมากๆ
แต่มันน่าเศร้า เพราะจากการที่ผมแอบไปค้นในห้องสมุดมาตลอดหนึ่งเดือนนั้น สิ่งหลักๆ ที่นักบุญชอบไปทำกันในเวลาที่ไม่มีสงครามกับปีศาจนั้นก็คือการทำงานเพื่อชุมชน
มียาวไปตั้งแต่ไปช่วยเหลือผู้คนประสบภัยด้วยอำนาจที่มากล้น วิ่งไปรักษาผู้คนที่บาดเจ็บจากโรคภัยไข้เจ็บสารพัดด้วยพลังรักษาอันเหลือเชื่อ แต่ถ้าคิดว่าว่ามันยิ่งใหญ่ชวนทำยากเกินไป ก็มีตัวเลือกง่ายๆ อย่างเปิดโรงทานให้คนยากคนจนก็มี
แต่หากดูแล้วกลัวว่าอาชีพนี้ชีวิตมันจะสงบเกินไปก็มีให้เลือกไปปีนเขาตบกับมังกรที่มารบกวนชาวบ้านชาวช่อง ซึ่งงานนี้ส่วนใหญ่แล้วมักจะเป็นพวกนักบุญชายสายบ้าเลือดเลือกไปทำมากกว่า……ทำไมไม่ให้นักผจญภัยไปจัดการฟะ
นี่มันอาชีพอาสาสมัครจิปาถะชัดๆ!
ผมได้แต่ก้มหน้ายอมรับชะตากรรมเพราะหากปฏิเสธแล้วเกรงว่ามันจะไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เนื่องจากข้างหน้าก็คือท่านสังฆราชที่อุตส่าห์ช่วยแก้ปัญหาเรื่องหมั้นให้ แม้ต้นเหตุมันจะมาจากตัวท่านก็ตามล่ะนะ
“เอ่อ เกรงว่าอายุประมาณหนูคงทำอะไรมากไม่ได้หรอกมั้งคะ”
แต่ถึงแบบนั้นผมก็ขอตอบปฏิเสธแบบเลี่ยงๆ เอาในขนาดเท่าที่ทำได้ก่อนก็แล้วกัน ทว่าตัวผมนั้นช่างคิดตื้นเกินไป เพราะท่านสังฆราชที่อุตส่าห์เตรียมงานให้ผมเลือกมากมายขนาดนี้ มีหรือจะไม่ได้คิดถึงเรื่องนั้นเอาไว้
“ขอท่านนักบุญอย่าได้กังวล งานเกินกว่ากำลังอย่างการปราบมอนเตอร์นั้นข้าได้คัดออกไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพราะฉะนั้นในนี้จึงเหลือแค่งานง่ายๆ อย่างช่วยเหลือผู้คนในเมืองหลวงก็เท่านั้น”
ก็นับว่าดี…กับผีน่ะสิ! มองๆ ผ่านเมื่อกี้แล้วงานมันหนักๆ ทั้งนั้นเลยไม่ใช่หรือไง ทั้งงานคนงานเจ็บหนักจากตึกถล่ม ทั้งงานท้องเสียอย่างหนักที่เมืองทางเขตใต้…..หวังว่ามันคงไม่ได้ทิ้งอะไรแปลกๆ ลงน้ำนะ แล้วนี่อะไรมีงานรักษาโรคระบาดแถวบริเวณหอนางโลมที่เมืองใหญ่ฝั่งทิศตะวันตก
ดูมันๆ งานแต่ละงานไม่ใช่เบาๆ ทั้งนั้นเลยนะ ใครบ้าที่ไหนมันจะไปจัดการได้ ถ้าจะจัดการมันก็ต้องพึ่งแต่พลังรักษาขึ้นเทพทั้งนั้นเลยไม่ใช่เหรอไง……เดี๋ยวนะ พลังรักษาขั้นเทพ ก็มีอยู่นี่หว่า…
ตัวผมลืมไปซะสนิทเลยว่าตัวเองนั้นมีพลังที่เจ้าพระเจ้าบ้ามันให้มาอยู่กับมือ และพลังนั้นมันก็มากพอที่จะใช้ได้กับปัญหาทุกเรื่อง
ก็นะ ที่จริงไม่ได้ลืมหรอกแต่ปัญหาคือผมไม่อยากจำมากกว่า เพราะว่าถ้าจะใช้พลังล่ะก็ ผมก็ต้องมาท่องบทสวดสุดแสนจะน่าอายเหล่านั้น…บรึ๋ย ไม่อยากเลย
ว่าแต่ออโรร่าเอ๋ย มองในแง่ดีสิ ถ้าทำงานพวกนี้ก็เท่ากับว่าเธอสามารถออกจากวิหารไปได้นะ เพราะตามกฎแล้วขนมนั้นห้ามกินแค่ในวิหารแต่ไม่ได้บอกว่าห้ามกินที่อื่น…
หึๆ พอคิดหลักการสไตล์ศรีธนญชัยแบบนี้ขึ้นมาได้ ผมก็เริ่มที่จะแสยะยิ้มออกมาอย่างชั่วร้ายกับแผนการสุดเลิศที่จะนำพาผมไปสู่การปลดปล่อยตัวเองจากการขาดขนมหวานอันนานแสนนานเสียที
ดังนั้นออโรร่าเอ๋ย มาวางแผนกันเถอะว่าพวกเราจะรับงานแบบไหนกันดี!
พูดว่างานดังนั้นเราต้องรับแบบมีจุดประสงค์!
เพราะงั้นแล้วออโรร่าเอ๋ย จงจำไว้เลยว่าเรารับงานเพื่อขนมดังนั้นสถานที่ซึ่งจะตอบสนองต่อความต้องการของเราได้นั้นหาใช่ที่อื่นใดแต่เป็นเมืองหลวง!
เมื่อคิดได้แบบนี้ ภาพของแผนที่เมืองหลวงก็โผล่ขึ้นมาในหัวของผมทันที โดยราวกับผมสามารถคิดภาพแผนขึ้นมาได้เหมือนราวกับสมองของผมตอนนี้กลายสภาพเป็นไอแพดก็ไม่ปานและจุดทั้งหลายซึ่งเป็นจุดสำคัญก็ถูกวงกลมสีแดงไว้อย่างรวดเร็ว
จุดพวกนั้นหาใช่จุดอะไรแต่เป็นตำแหน่งของร้านขนมหวานนั่นเอง
ก็นะ มีคนกล่าวว่าคนเราจะฉลาดและเก่งขึ้นมาทันทีเมื่อต้องการตอบสนองต่อกิเลสของตัวเอง เพราะฉะนั้นตอนนี้สมองของผมได้ปลดปล่อยพลังมาอย่างล้นหลามโดยกิเลสแห่งการเติมน้ำตาลจำนวนมากเข้าสู่กระแสเลือดเป็นต้นกำเนิดแห่งพลัง
และเมื่อผมมาร์คจุดของงานที่ต้องไปว่าใกล้กับร้านขนาดไหน พร้อมชั่งน้ำหนักกับความยากของงาน ก็จะได้งานที่ง่ายที่สุดและใกล้ร้านที่สุดซึ่งก็คงเป็น….
“ค่ะ หนูขอเลือกงานรักษาผู้คนซึ่งถูกเพลิงไหม้ค่ะ”
“ช่าง…ช่างเป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยมมากเลยครับ ท่านนักบุญ”
ท่านสังฆราชที่พอรู้ว่าผมเลือกงานอะไรก็ตะโกนร้องมาอย่างดีใจราวกับเป็นเรื่องที่ยินดีที่สุดในชีวิตของเขา…ว่าแต่นี่มันรอบที่เท่าไหร่แล้วหว่า?
ผมได้แต่มองท่านสังฆราชที่แสดงอาการเวอร์วังอลังการแบบให้ร้อยเล่นล้านอยู่ตลอดเวลา พลางเช็ดเหงื่อพร้อมๆ กับเสียวสันหลังว่าสักวันความล้านของแกมันจะย้อนกลับมาทำให้ผมซวยในภายภาคหน้าแน่ๆ
“ผู้ที่ถูกไฟไหม้เหล่านี้ช่างน่าสงสารนัก ไม่ใช่แค่ต้องทนทุกข์ทรมานจากเปลวเพลิง เพราะนอกจากแผลแล้วมันก็ได้ทิ้งร่องรอยอันแสนหดหู่ไว้ที่พวกเขา ทั้งบางคนก็โชคร้ายร่างกายมิอาจทำงานได้อีกเลย จนความน่าเศร้านั้นได้ทำร้ายทั้งเขาและครอบครัวที่ต้องดูแล หากท่านช่วยพวกเขาได้ล่ะก็นั่นนับเป็นปาฏิหาริย์โดยแท้จริง”
เรื่องนั้นผมก็เห็นด้วยนะ จากเท่าที่เคยไปค่ายบำเพ็ญประโยชน์มา เหมือนจะมีคนที่ต้องทนทุกข์แบบที่ท่านสังฆราชว่ามาก็จริง แต่นั่นมันก็ทำให้ผมแอบสงสัยว่าเหตุใดในเมืองนี้ถึงมีคนที่โชคร้ายแบบนี้กันเยอะมาก
เพราะเท่าที่อ่านในตำราหรือรายงานในห้องสมุด เหตุไฟไหม้ที่เมืองหลวงนั้นเกิดขึ้นบ่อยมากเมื่อเทียบกับเมืองอื่นๆ แถมเกิดแต่ละทีแทบเรียกว่าเป็นหายนะประจำเมือง
“ค่ะ หนูยินดีเช่นกันค่ะ”
เมื่อแยกย้ายกันแล้ว ท่านสังฆราชก็บอกว่าจะเตรียมการเดินทางไปให้และให้เวลาผมเตรียมตัวเพื่อที่จะเดินทางไปเขตไฟไหม้ของเมืองหลวง
หึๆ งานนี้นับว่าสบายมาก แค่เราอดทนร่ายเวทซึ่งเต็มไปด้วยคำสรรเสริญเจ้าบ้านั่นนิดเดียวเราก็สามารถทานขนมหวานแก้อยากได้ ชั่งน้ำหนักเทียบกันแล้วมันช่างเล็กน้อยเหลือเกิน
เนื่องด้วยว่าตอนนี้ร่างกายของผมขาดน้ำตาลอย่างหนัก ทำให้น้ำหนักบนตราชั่งของขนมหวานมันมากมายจนแซงทะลุทุกอย่างที่ขวางหน้าไปซะแล้ว
“ก็แค่ร่ายคำชม”
“อ๊ะๆ ไม่ใช่แค่ร่ายคำชมนะเออ”
จู่ๆ เสียงที่ไม่พึงประสงค์ที่สุดก็โผล่มาจากด้านหลังของผม ทำให้ผมหันไปผมทำหน้าซังกะตายประดุจเจอสิ่งที่น่าเบื่อที่สุดในชีวิต
พระเจ้าตอนนี้กำลังนั่งบนไม้กางเขนซึ่งเป็นสัญลักษณ์แทนตัวของเขาพร้อมยิ้มมาให้ผมด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเจ้าเล่ห์อยากกลั่นแกล้งชาวบ้านเต็มที่
“หมายความว่าไงกันคะ? ที่บอกไม่ใช่แค่ร่ายคำสรรเสริญท่าน?”
ผมเสียวสันหลังวาบขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินเจ้าพระเจ้าบอกถึงเงื่อนไขเพิ่มเติมของการใช้เวทในครั้งนี้ นั่นเพราะเวลามันมีเงื่อนไขอะไรมาบอกผม มันชอบมีเรื่องชวนน่าอายหรืองานงอกทุกทีเลยน่ะสิ
“ถูกต้อง นายรู้ไหม? ไม่ว่าจะที่ไหนหรือตำนานใด เวลาที่นักบุญจะรักษาคนทีเดียวหมู่มากน่ะมันต้องมีพิธีศักดิ์สิทธิ์อยู่ด้วย”
พิธีศักดิ์สิทธิ์? รักษาคนหมู่มาก? เฮ้ย อย่าบอกนะว่า!
ผมได้อ้าปากค้างมองหน้าเจ้าพระเจ้าที่ตอนนี้แสยะยิ้มออกมาอย่างเจ้าเล่ห์เมื่อรู้ว่าผมนั้นได้ทราบคำตอบของมันแล้วว่าเงื่อนไขที่ว่านั่นคืออะไร
“ถูกอย่างที่นายคิดเลย…….ไม่ว่าจะตำนานไหนหรือนักบุญคนใด ไม่สิยิ่งเป็นนักบุญหญิงด้วยแล้วสิ่งสำคัญที่สุดเวลารักษาคนหมู่มากก็คือ…..”
“ร้องเพลงยังไงล่ะ”
พระเจ้าพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่เข้มแข็งและหนักแน่นประดุจว่าเขานั้นกำลังพูดชื่อท่าไม้ตายของพวกพระเอกการ์ตูนสายโชเน็นก็ไม่ปาน
นั่นไง ว่าแล้ววว นี่มันข่มเหงรังแกกันชัดๆ!
“ร้อง..ร้องเพลง นี่พูดจริงเหรอคะ?”
ผมถามมันด้วยน้ำเสียงสั่นๆ ซึ่งมันก็แสยะยิ้มประดุจรู้อยู่แล้วว่าจุดอ่อนที่สำคัญที่สุดของผมอย่างหนึ่งมันคืออะไร
ใช่ จุดอ่อนที่สำคัญที่สุดของผมก็คือร้องเพลงยังไงล่ะ! ยิ่งร้องเพลงต่อหน้าคนอื่นด้วยยิ่งแล้วใหญ่ เพราะสำหรับผมแล้วนั่นมันโคตรจะน่าอายขนาดเอาหน้าไปซุกปี๊บยังไม่พอ
ไหนจะเรื่องที่ผมชอบร้องเสียงหลงคุมโทนเสียงไม่ได้ จนเวลาไปคาราโอเกะทีไร เวลาผมได้จับไมค์เมื่อไหร่เพื่อนสนิทมิตรสหายทุกคนของผมถึงขั้นจะต้องปิดหู
และความซวยซ้ำซวยซ้อนของผม นั่นคือผมชอบจำเนื้อเพลงไม่ได้ ดังนั้นการแก้ไขของผมก็คือการดำน้ำยาวไปจนแทบเรียกได้ว่าจนจบเพลงผมก็ดำน้ำมันเกือบทั้งเพลงนั่นล่ะ
“นี่ นี่เอาจริงงั้นเหรอคะ?!”
“แน่นอนข้าเอาจริง เอาจริงมากด้วย!”
นี่มันแกล้งกันชัดๆ!
เอาไงดีล่ะออโรร่าเอ๋ย งานก็รับมาแล้ว แผนก็วางมาแล้ว ขืนล้มเลิกไปได้ซวยต้องมาหาข้ออ้างอีก แถมดูจากความคาดหวังของท่านสังฆราชแล้วหากไม่มีข้ออ้างดีๆ ล่ะก็ ซวยแน่นอน!
เอาฟะเป็นไงเป็นกัน
ตัวผมคนที่ดำน้ำยาวจนจบเพลง ตัวผมที่ร้องเสียงหลงจนเพื่อนทุกคนต้องปิดหูคนนี้ล่ะจะร้องเพลงเพื่อรักษาเหล่าผู้คนที่ถูกไฟไหม้และนำขนมมาสู่ท้องให้จงได้!
“ถ้างั้นขอถามหน่อย ตัวนายที่ร้องเพลงไม่ได้เนี่ยจะไปร้องเพลงอะไร”
พระเจ้าหันมาถามหาคำตอบแบบคาดคั้น ส่วนผมที่ตอนนี้เล็งเพลงไว้ในใจเป็นทีเรียบร้อยนั้นก็ได้หันกลับไปด้วยสีหน้าที่มุ่งมั่นโดยยึดขนมหวานเป็นสรณะทางความกล้า
“แน่นอนอยู่แล้วค่ะ เพลงที่ฉันร้องนั้นต้องเป็นเพลงที่โด่งดังที่สุด รู้จักมากที่สุด แล้วก็ร้องได้ง่ายที่สุด!”
“แล้วเพลงนั้นคือ?”
ผมรวบรวมลมปราณทั้งหมดในรอบบรรยากาศ ก่อนจะค่อยๆ สูดพวกมันเข้าไปในปอดจนปอดพองสุดความสามารถและจากนั้นก็ระเบิดพลังเสียงออกไปด้วยความแน่วแน่ว่า
“เพลงช้างยังไงล่ะ!”
————————————————
จบไปแล้วนะครับกับอีกตอนสบายๆ ของหนูน้อยออโรร่า เรามาดูกันเถอะว่าหนูน้อยออโรร่าจะช่วยผู้คนแบบไหนและร้องเพลงช้างยังไงให้มันไปรอด