ซวยแล้ว! ผมดันโดนเตะมาเกิดใหม่เป็นนักบุญหญิงศักดิ์สิทธิ์ - บทที่ 18 ออโรร่าน้อยกับการร้องเพลง
- Home
- ซวยแล้ว! ผมดันโดนเตะมาเกิดใหม่เป็นนักบุญหญิงศักดิ์สิทธิ์
- บทที่ 18 ออโรร่าน้อยกับการร้องเพลง
ซวยแล้วไง ซวยแล้ว
ตัวผมตอนนี้กำลังมาทำภารกิจแรกของนักบุญโดยงานนี้ตอนแรกคิดว่าไม่น่ายากอะไรเนื่องจากงานนี้คืองานรักษาคนอื่นด้วยเวท ดังนั้นด้วยพลังที่มีอยู่นั้นก็สามารถทำให้เรื่องการรักษาผู้ป่วยไฟไหม้ที่ดูเป็นไปไม่ได้สำหรับคนอื่นนั้น เป็นไปได้อย่างง่ายดาย
ใช่ เป็นไปได้อย่างง่ายดาย ถ้าไม่ติดว่ามันต้องมีเงื่อนไขในการใช้ที่สุดแสนจะทรมาทรกรรมคนใช้อย่างการร้องเพลง
การร้องเพลง แถมเป็นการร้องต่อหน้าคนอื่นด้วยนะ!
เพราะแบบนั้นผมถึงได้เลือกเพลงที่สุดแสนจะง่ายต่อการร้องและออกเสียงอย่างเพลงในตำนานของหมู่มวลเด็กไทยทุกคนซึ่งก็คือเพลงช้างสำหรับเงื่อนไขการใช้พลังครั้งนี้
ถึงมันจะร้องง่ายก็เถอะ แต่นั่นมันเพลงช้างเลยนะ นั่นมันเพลงเด็กน้อยเลยนะ! ถึงร่างผมปัจจุบันจะเป็นเด็กน้อยทว่าจิตใจของผมมันก็โตเกินกว่าจะให้มาร้องเพลงแบบนี้ต่อหน้าคนอื่นได้อ่ะ
ก็มันไม่มีทางเลือกแล้วนี่นา ถ้าเลือกเพลงอื่นผมก็ทำได้แค่ดำน้ำเท่านั้นเอง เพราะงั้นถึงมันจะน่าอายแต่มันก็เป็นทางเลือกเดียวที่ผมมีอยู่
อ้ากกกก เขินอะ เขินอะ
เมื่อตระหนักได้ถึงความน่าอายของสิ่งที่กำลังจะทำ ผมก็ดิ้นไปดิ้นมาอยู่บนเบาะของรถม้าพร้อมกับใบหน้าที่แดงและร้อนมากขึ้นเรื่อยๆ
ทำใจร่มๆ ออโรร่า ทำใจร่มๆ ตอนนี้เธอยังมีเวลาให้เตรียมตัวเตรียมใจอยู่นะ เอ้า หายใจเข้าออกช้าๆ ท่องพุทโธๆ สิ ท่องไป พุททททท โ….
“ถึงที่หมายแล้วครับท่านนักบุญ!”
พุทธธธธ วะเฮ้ยยย
ไหนบอกยังพอมีเวลาไงฟะ นี่ท่องพุทโธยังไม่ถึงสามจบเลยนะพรรคพวก!
ถึงผมจะบ่นแบบนั้นไปในหัว แต่สุดท้ายก็ต้องจำยอมเดินออกจากรถม้าเพราะหากนั่งอยู่ข้างในนานไปอาจจะถูกสงสัยเอาได้
“เชิญครับ”
อัศวินคนคุ้มกันรถม้าคนหนึ่งเดินเข้ามาใกล้ ก่อนจะเปิดประตูรถม้าให้ผมพร้อมกันนั้นเขาก็ได้วางบันไดไม้หรูให้ผมเดินลงไปได้อย่างสง่างาม
ต้องบอกว่าท่านสังฆราชนั้นจัดเตรียมสิ่งต่างๆ ให้ผมได้ดีมากๆ นอกจากชุดออกงานที่คล้ายกับชุดธรรมดาที่ใส่ตอนอยู่ในมหาวิหารแต่มีผ้าสีขาวขลิบทองคลุมไหล่เสริมบารมีของนักบุญเพิ่มขึ้นมาแล้ว ตัวผมตอนนี้มีอัศวินศักดิ์สิทธิ์สิบกว่าคนยืนล้อมรอบรถม้าคอยคุ้มกันอยู่ตลอดเวลา
อัศวินศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้นั้นเป็นกลุ่มนักรบซึ่งอุทิศตนให้แก่ศาสนจักรจนไปถึงแก่นลึกของจิตใจ พวกเขาเหล่านี้ทั้งฝึกฝนฝีมือเชิงดาบและเวทมนตร์ของตัวเองมาในมหาวิหารตั้งแต่เด็กดังนั้นฝีมือคงอาจทัดเทียมเหล่าอัศวินชั้นสูงของกองทัพหรือไม่ก็เก่งกว่าเลยด้วยซ้ำ
ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าพูดถึงศรัทธาที่มีต่อตัวผมแล้ว คงไม่ต้องถามเลยว่าพวกเขาดีใจหรือเฮลั่นขนาดไหนในตอนที่รู้ว่าตัวเองได้รับหน้าที่คุ้มครองนักบุญ แค่นั้นไม่พอ เจ้าพวกที่ไม่ได้รับเลือกก็ดันเวอร์ยิ่งกว่าเพราะพวกเขาร้องห่มร้องไห้ทำหน้าตาปานถูกสวรรค์ทอดทิ้ง
เวอร์ไปไหมพวก!
ที่บ้ายิ่งกว่านั้น เจ้าอัศวินคนที่เอาบันไดเดินลงจากรถม้ามาให้ผม ตอนนี้มันเริ่มส่ออาการยินดีจนเก็บไว้ไม่อยู่ชัดเจน
“นี่ข้า นี่ข้าได้เป็นผู้เบิกเส้นทางแห่งการช่วยเหลือผู้อื่นครั้งแรกของท่านักบุญผู้เปี่ยมด้วยรักอันสูงสุดของพระเจ้า นี่ข้าได้รับพระกรุณาจากพระองค์ท่านให้กระทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ อา ช่างเป็นบุญอันสูงสุดในชีวิตของข้าจริงๆ”
เฮ้ย วางถุงกาวแล้วหยิบถุงสติขึ้นมาก่อนนะเจ้าอัศวิน นายแค่เอาบันไดมาให้ผมเดินลงไม่ใช่บุกทะลวงกองทัพปีศาจให้ผมนะ!
ผมได้แต่เหลือบตามองเจ้าอัศวินด้วยความกลัวเล็กๆ แต่ก็รีบหันหน้ากลับทันทีเมื่อเห็นว่ามันทำหน้าปลื้มใจขนาดไหนตอนผมมองมัน แถมยังแอบพูดกับตัวเองเบาๆ อีกว่า
“ท่านมองข้า ท่านมองข้า! ท่านนักบุญมองตัวข้าเช่นนี้แปลว่าข้าต้องได้รับการให้พรอย่างแน่นอน!”
ไม่ยุ่งด้วยแล้ว!
จะว่าไปผมยังไม่ได้บรรยายถึงลักษณะของอัศวินพวกนี้เลยนี่นา ก็นะ ดันมาเจออะไรเพี้ยนๆ ตั้งแต่เช้าแบบนี้ ใครมันจะไปสนอย่างอื่นกันได้เล่า
ผมค่อยๆ หันไปมองพวกอัศวินที่ยืนล้อมหน้าล้อมหลังผมเอาไว้ พวกเขาแต่ละคนนั้นสวมเกราะเหล็กหนาทั้งตัวสมชื่ออัศวิน แต่มีสิ่งที่แตกต่างกันเล็กน้อยนั่นคือชุดเกราะที่พวกเขาใส่นั้นเป็นสีขาวแทบทั้งชุด ต่างกับพวกอัศวินทั่วไปที่ใส่เกราะเหล็กสีเงิน ซึ่งเรื่องนี้เหมือนจะได้ยินว่าเป็นจากเวทเสริมความแข็งแกร่งและการแปรธาตุด้วยธาตุสายแสงสว่างทำให้เกราะออกมามีสีในลักษณะนี้
ส่วนที่ต่างอีกอย่างนั้นคือผ้าคลุมของพวกเขาซึ่งปรกติแล้วทางอัศวินทั่วไปในงานพิธีการก็จะใส่ผ้าคลุมน้ำเงินปักลายตราประจำตระกูล ส่วนพวกอัศวินศักดิ์สิทธิ์จะใส่ผ้าคลุมสีขาวปักลายกางเขนสีทองของศาสนจักร
ตัวผมที่เดินลงถึงพื้นก็ได้มองไปรอบๆ สถานที่ซึ่งเป็นที่รักษาและพักฟื้นผู้ป่วยที่ถูกไฟไหม้จนไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากนอนอยู่บนเตียง ซึ่งเมื่อผมมองมันทำให้ผมรู้สึกถึงอะไรแปลกๆ
ตัวสถานพยาบาลที่นี่ก็เหมือนสถานพยาบาลทั่วไปแต่สิ่งที่มันต่างและทำให้ผมแปลกใจคือเจ้าวัตถุดิบที่เป็นโครงว่าทำไมมันถึงได้ไม่ค่อยคงทนเท่าไหร่ราวกับใช้วัสดุถูกๆ ในการสร้าง แค่นั้นไม่พอที่พีคกว่าก็คือด้านหลังของตัวสถานพยาบาลซึ่งเป็นแหล่งชุมชนที่เกิดไฟไหม้อยู่บ่อยครั้ง
ถามว่ามันพีคแบบไหน ความพีคและความน่ากลัวคือที่อยู่อาศัยของเขตนี้นั้นแทนที่จะสร้างด้วยหินหรือปูนแบบเขตอื่นๆ ในเมืองหลวง แต่มันกลับสร้างด้วยไม้แถมที่หนักกว่านั้นมันยังสร้างแบบติดกันจนสามารถเรียกได้ว่าบ้านชนบ้านกันเลยทีเดียว
แบบนี้ไฟมันจะไหม้บ้านพวกลื้อง่ายก็ไม่แปลกอะไรแล้ว นี่เล่นสร้างบ้านให้มาเป็นเชื้อเพลิงชั้นดีเลยไม่ใช่เหรอไง ถามจริงนี่สิ้นคิดหรือว่าวางแผนสร้างกันมาแบบนี้ ถ้าเป็นแผนล่ะก็ต้องเป็นแผนสร้างบ้านเรือนกินหัวคิวค่าซ่อมแซมแบบถนนในประเทศแถวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แน่นอน!
“ขอเชิญท่านเคาท์เฮอรแมน หนึ่งในสี่แม่ทัพแห่งเรสเวนน่า ผู้ช่วยเหลือแห่งเขตเซาท์เรสเวนเข้าพบท่านนักบุญ”
พูดถึงโจโฉ โจโฉก็มา หากเจ้าหมอนี่มันคือผู้ช่วยเหลือของเขตนี้แล้ว แปลว่าเงินทุนทั้งหมดที่จะซ่อมบ้านเรือนและแผนการซ่อมทั้งหมดจะต้องผ่านมือเจ้าแม่ทัพชื่อเฮอร์แมนแน่นอน ซึ่งคงง่ายต่อการคอร์รัปชันแน่ๆ!
เมื่ออัศวินขานชื่อจบ ก็ปรากฏร่างของชายวัยกลางคนคนหนึ่งซึ่งมีผมสีแดงอมส้มผูกเปียยาวลงเกินหลังคอ ที่ใบหน้าไว้หนวดเคราหนาเตอะแบบพวกจอมยุทธ์จีน หากมองโดยองค์รวมแล้วนั้นก็ดูส่งเสริมความเป็นตัวร้ายเกรดบียิ่งขึ้นไปอีก
งานนี้แน่นอนเลย เจ้าหมอนี่ต้องมีเงื่อนงำอะไรแน่นอน!
“ตัวข้าเคาท์เฮอรแมนขอกล่าวต้อนรับท่านนักบุญและขอเป็นตัวแทนของเหล่าผู้คนในเขตเซาท์เรสเวนกล่าวขอบคุณท่านที่ได้กรุณามาช่วยรักษาเหล่าผู้ประสบภัย”
เคาท์เฮอร์แมนก้มหัวขอบคุณผมซึ่งก็ไม่ผิดแปลกอะไรไปจากเหล่าคนของเรสเวนน่าเท่าไหร่ ทั้งไม่ออกอาการพิรุธอะไรออกมาด้วย
สงสัยนักสืบออโรร่าต้องค้นหาอย่างใจเย็นแล้วสิ แต่ตอนนี้เราต้องทำเนียนไปก่อน อย่าเพิ่งทำตัวกระโตกกระตาก ไม่งั้นเจ้านี่จะไหวตัวทัน
“ตัวหนูมีความยินดีที่จะช่วยให้พวกเขาเหล่านั้นพ้นทุกข์เช่นกันค่ะ”
ผมตอบไปพลางยิ้มให้เหล่าชาวบ้านที่มายืนมุงกัน ซึ่งพวกเขานั้นต่างร้องไห้ปลาบปลื้มในคำพูดของผมกันใหญ่ แต่ก็คงไม่มีใครจะปลื้มเท่ากับพวกอัศวินที่ตอนนี้มีแต่ตะโกนเสียงดังออกมาว่า นางฟ้าๆ รัวๆ หรอก
“เช่นนั้นขอท่านเคาท์ช่วยพาหนูไปพบกับพวกเขาทันทีเลยได้ไหมคะ หนูอยากให้พวกเขาพ้นจากทุกข์เร็ว ๆ แล้วล่ะค่ะ”
ใช่ รีบๆ เสร็จ จะได้รีบๆ ไปกินขนมซะที นี่ไม่รู้ว่าพวกอัศวินที่ผมฝากไปซื้อขนมนั้นมันจะซื้อมาให้ผมเรียบร้อยแล้วหรือยัง
ที่จริงตอนแรกก็ว่าจะแอบไปซื้อคนเดียวตามแผนหนึ่งอยู่หรอก แต่พอดีเห็นว่าโดนอัศวินล้อมหน้าล้อมหลังแบบนี้เลยต้องใช้แผนสอง…..ให้เขาไปซื้อมาให้ก็จบ
เรื่องมันง่ายแสนง่าย เนื่องจากก่อนเดินทางออกมาในครั้งนี้ท่านสังฆราชได้ให้เงินผมมาเป็นค่าขนมน้ำชานิดหน่อยเป็นเงินประมาณหนึ่งเหรียญทอง….นิดหน่อยสำหรับคนรวยล่ะนะ
จากนั้นผมก็ได้เอาเงินให้เขาไปพร้อมทั้งบอกให้กวาดซื้อขนมมาเพื่อตอบแทนพวกเขาในการคุ้มครองผม ซึ่งตอนแรกพวกเขาก็อ้ำอึ้งไม่กล้าจะทำ แต่เมื่อเจอผมบอกไปว่าเดี๋ยวผมกินเป็นเพื่อนให้เท่านั้นล่ะ
“น….นางฟ้า นี่ท่านนักบุญต้องเป็นนางฟ้าแน่นอน”
” อุตส่าห์ยอมลดตัวลงมาเพื่อให้พวกเราผิดบาปน้อยลงเช่นนี้ ช่างเป็นคนที่ประเสริฐยิ่งนัก”
“ชีวิตนี้ข้าขอสู้ตายเพื่อท่าน เอ้า สหายทั้งหลาย ไปซื้อขนมมาเพื่อตอบแทนท่านนักบุญเร็วเข้า”
” รับทราบครับท่าน”
ทางผมก็ยิ้มให้กับพวกเขาอย่างอ่อนโยน พร้อมทั้งเอานิ้วชี้ขึ้นมาปิดปากทำเป็นบอกว่าให้เก็บเรื่องนี้เป็นความลับ แค่นี้ก็ซื้อใจและตีเนียนได้แล้ว
เมื่อผมเห็นอัศวินสองนายวิ่งออกไปเพื่อกวาดขนมจากร้านผมก็แอบหันหลังแล้วแสยะยิ้มอย่างชั่วร้ายในหัวก็คิดว่า
“เป็นไปตามแผน”
ดังนั้นเมื่อจุดประสงค์หลักเคลียร์เรียบร้อยแล้ว ผมก็คงต้องมาจัดการจุดประสงค์รอง…..เอ่อ อาจพูดผิดไปหน่อย ต้องบอกว่าเมื่อจุดประสงค์รองจบไปแล้วต้องกลับมาจุดประสงค์หลักอย่างช่วยคนต่อ
ผมเดินตามเคาท์เฮอร์แมนเข้าไปในสถานพยาบาลไม้พุๆ ซึ่งระหว่างที่เดินผมก็แอบยิงคำถามเล่นๆ
” นี่ท่านเคาท์เฮอร์แทนคะ สถานที่นี้ท่านเป็นคนสร้างเองเหรอคะ?”
” ไม่เชิงหรอกท่านนักบุญ ข้าแค่เสนอยื่นเรื่องไปให้กับทางการแล้วก็ขอเงินมาเพื่อช่วยเหลือพวกเขาเท่านั้นเอง เห้อ น่าเสียดายจริงๆ ถ้าข้ามีทรัพย์สินเพียงพอข้าคงจะรีบช่วยพวกเขาอย่างรวดเร็วไปแล้วครับ”
สิ่งที่เคาท์เฮอร์แมนพูดออกมา ไม่ว่าใครฟังก็คงนับถือในความใจบุญของเขา แน่นอนว่าผมเองก็ด้วย ผมคงจะซึ้งใจมากถ้าเกิดว่าไม่เห็นแหวนเพชรบนนิ้วมือของเขาเกือบทุกนิ้วล่ะก็นะ
ไม่มีเงินพอบ้าอะไร แค่แหวนลื้อวงนึงก็ไม่รู้สร้างบ้านปูนให้คนพวกนี้ได้กี่หลังแล้ว ไหนยังจะเสื้อผ้าอีก นี่มันน้องๆ ชุดที่ผมใส่มาตอนที่มาเมืองหลวงครั้งแรกเลยนะ
แต่เอาเถอะ ตอนนี้แค่รวบรวมหลักฐานเล็กๆ น้อยๆ ก่อน ไว้จัดการเรื่องนี้เสร็จค่อยคิดอีกทีละกัน เพราะไงๆ ไอ้ผมที่อายุประมาณนี้ก็คงทำอะไรได้มากนักหรอก
ถ้าถามว่าทำไมผมที่ไม่ค่อยชอบยุ่งกับเรื่องยุ่งยากแต่ดันมายุ่งกับเรื่องนี้แล้วล่ะก็ คงบอกได้ง่ายๆ เลยว่าลางสังหรณ์ของผมกำลังเตือนว่าเจ้านี่มีลากผมเข้าไปมีเอี่ยวแน่นอน ดังนั้นก่อนที่มันจะเล่นงานผม ผมต้องเล่นงานมันก่อน เป็นการตัดไฟแต่ต้นลมยังไงล่ะ
แต่ถ้าจะให้เข้าไปยุ่งเลยก็ยุ่งยากไป ดังนั้นหาข้อมูลแล้วแจ้งเอาน่าจะง่ายกว่า
เมื่อเดินเข้ามาได้พักหนึ่ง ในที่สุดผมก็เห็นสภาพที่บอกได้เลยว่าไม่ค่อยน่าดูสักเท่าไหร่ เพราะในสถานที่แห่งนี้นั้นเต็มไปด้วยผู้คนที่ถูกไฟไหม้ บางคนก็มีแผลเป็นตามแขนขา แต่หนักหน่อยก็เต็มหน้าและร่างกายจนมองไม่ออกเลยว่าใครเป็นใคร
ถ้ายังคิดว่าน่ากลัวไม่พอล่ะก็ ขอให้ใส่เสียงประกอบเป็นเสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดไปด้วยเลยก็คงจะเริ่มมองภาพออก
ผมได้แต่กลืนน้ำลายมองภาพที่น่าอดสูนี้ ส่วนทางท่านเคาท์ก็หันมาอย่างรวดเร็วก่อนจะผายมือให้ผมเป็นการเชิญ
“เชิญท่านนักบุญครับ”
“ขอบคุณมากค่ะ”
ผมที่ตอบรับคำก็เดินเข้าไปในห้องด้วยใจที่เต้นระรัว ความกลัวสารพัดได้ถาโถมเข้ามาสู่ร่างกายของผม ทั่วทุกอณูรูขุมขนของผมลุกตั้ง
ทว่าความกลัวทั้งหมดนี้หาใช่ความกลัวว่าสิ่งที่ผมกำลังทำต่อไปจะสำเร็จหรือไม่ แต่เป็นความกลัวที่เกิดมาจากวิธีการที่นำมาซึ่งความสำเร็จ
นี่ผมต้องร้องเพลงช้างในที่แบบนี้จริงๆ เรอะ!
คือลองมองบรรยากาศรอบๆ ดูนะ บรรยากาศที่เต็มไปด้วยผู้ป่วยร้องเจ็บโอดโอย ลองดูแล้วคิดภาพที่จู่มีเด็กที่ไหนไม่รู้มาร้องเพลงช้างกลางดงคนป่วยแบบนั้น….ดูไงมันก็พิลึกกึกกือจริงๆ อะ
พอคิดภาพตามนั้นแล้วความน่าอายของผมก็ยิ่งมากขึ้นไปอีก แค่นั้นไม่พอ ที่นี่ไม่ได้มีแค่ผู้ป่วย แต่ดันมีญาติที่มาให้กำลังใจ ซึ่งตอนนี้พวกเขาเหล่านั้นกำลังรุมมองมาที่ผมด้วยความคาดหวัง
เอ่อ คาดหวังน่ะไม่ได้ว่าอะไรหรอกนะ แต่ช่วยอย่ารุมมองได้ไหม ยิ่งมองกันแบบนี้ผมยิ่งอายนะ ฮืออออ ให้มาร้องเพลงแบบคนรุมจ้องแบบนี้น่ากลัวสุดๆ ไปเลยอะ
คือแค่โดนเพื่อนมองตอนอยู่ร้านคาราโอเกะประมาณสี่ห้าคนนี่ก็อายมากแล้ว แต่นี่เล่นยี่สิบกว่าคน แบบนี้ผมยิ่งโคตรอายหนักกว่าเก่า
“ท่านนักบุญ เช่นนั้นข้าขอตัวก่อนนะ”
เออดีเฮอร์แมนสินะ ถึงนายจะเป็นคนโกง แต่นายก็รู้สถานการณ์ดีนี่นา เพราะงั้นผมจะให้อภัยนาย ช่วยออกไปแล้วลดจำนวนคนที่จ้องผมทีนะ
“ค่ะ เชิญค่ะ”
“อ้าวท่านเคาท์ท่านจะไปไหนเหรอครับ ไม่อยู่ดูท่านนักบุญแสดงปาฏิหาริย์เหรอครับ?”
ญาติคนหนึ่งเดินมาถามไถ่ท่านเคาท์ที่เดินออกไปด้วยความเคารพ ส่วนเคาท์เฮอร์แมนก็ตอบไปแบบชิวๆ ว่า
“ข้าจะออกไปตามผู้คนข้างนอกให้เข้ามาให้กำลังใจท่านนักบุญยังไงล่ะ”
หืออออ
ผมแทบสะบัดหัวกลับไม่ทันเมื่อได้ยินเสียงของเคาท์เฮอร์แมนที่ตอบชาวบ้านไปแบบนั้น
ใจร่มๆ นะสหาย อย่าทำอะไรสิ้นคิดแบบนั้นสิสหาย แค่คนสิบกว่าคนนี่มันก็น่าอายพอตัวแล้ว ถ้าไปตามมาเพิ่มอีก อย่าว่าแต่เพลงช้างเลย ให้ผมมาฮัมเพลงก็ยังยากอะ
“ไม่ต้องหรอกค่ะท่านเฮอร์แมน อย่าลำบากเลย แค่พวกเขาให้กำลังใจจากข้างนอก ข้าก็ดีใจแล้วค่ะ”
“ไม่ได้ครับท่านนักบุญ! สิ่งที่ท่านกำลังทำอยู่นี้คือปาฏิหาริย์นะครับ ขึ้นชื่อว่าปาฏิหาริย์แล้วมันต้องมีคนร่วมสวดภาวนาจำนวนมากเพื่อเพิ่มความสำเร็จ”
มันจะล้มเหลวก็เพราะคนร่วมสวดนั่นล่ะ ไม่เอา ไม่ต้องเอาพวกมันมา
“ยิ่งกว่านั้นข้าเข้าใจดีครับ เข้าใจดีว่า การใช้เวทที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ ท่านนักบุญต้องแบกรับภาระขนาดไหน เช่นนั้นแล้วแม้จะน้อยนิด ก็ขอให้พวกเขาได้ช่วยท่านก็ยังดี”
ไม่ แกไม่ได้เข้าใจอะไรเลย! แถวบ้านมันไม่ได้เรียกว่าช่วยแล้ว มันเรียกว่าถ่วงนะรู้ไหม!
“ไม่ต้องหรอกค่ะ แค่นี้เอง หนูรับไหวค่ะ”
“โอ้ ท่านนักบุญได้โปรดอย่าฝืนเลยครับ พวกข้าทุกคนยินดีช่วยท่านนะครับ”
ไม่ ที่ฝืนน่ะมันแกต่างหาก ยินดีช่วยกับผีอะเซ่ ไอ้ผมก็บอกแล้วว่าอย่ามาๆ นี่ยังจะฝืนมาอีกงั้นเรอะ!!!!
เหมือนว่าเจ้าเคาท์บ้านี่มันจะไม่ยอม มันเล่นทำหน้าทำตาพยายามจะช่วยให้ได้ ซึ่งหากผมเถียงไปมากกว่านี้ก็คงเสียเวลาเปล่าๆ
“ถ้าเช่นนั้นแค่สองถึงสามคน หนูก็ยินดีแล้วค่ะ”
“แค่สองสามคนจะพออะไรครับ ข้าจะตามให้มานับร้อยเลยครับท่านนักบุญ วางใจข้าได้!”
เฮ้ย! นี่เอ็งกวนกันอยู่ใช่ป่ะ นี่เอ็งต้องตั้งใจกวนส้นเท้าผมแน่นอน ถึงได้มาขัดกันได้ทุกวินาทีแบบนี้ แล้วนี่อะไรบอกให้ตามมาแค่สองสามคน แจ่เอ็งดันบอกจะตามคนมาให้นับร้อย นี่คิดจะลากกันมาทั้งตำบลเลยรึไง!
ขอโทษเถอะ! แค่ยี่สิบก็จะบ้าตายอยู่แล้ว ถ้าเอามาร้อยคนแบบนี้ผมได้น้ำลายฟูมปากตายคาที่ก่อนได้ร้องเพลงแน่นอน
เพราะคิดได้แบบนั้น ผมไม่รอที่จะให้เจ้าเคาท์มันออกไปเรียกคนเข้ามาได้ทัน ผมก็รีบวิ่งเข้าไปอยู่ตรงกลางห้องก่อนที่จะเริ่มทำการร้องเพลง
เอาล่ะนะ ออโรร่าสู้ตายค่ะ!
ขั้นตอนแรกที่สำคัญที่สุดนั่นคือการกล่าวคำน่าอายสำหรับสรรเสริญเจ้าพระเจ้านั่นก่อน
“พระองค์ท่าน เมตตาของท่านนั้นช่างสูงส่งจนตัวข้าผู้แสนโง่เขลามิอาจจักเข้าใจ แต่ตัวข้าผู้โง่งมขออาจเอื้อม ขอแสงสว่างที่เกิดจากเมตตาอันแผ่ไพศาลของพระองค์ ทรงรักษาเหล่าลูกแกะผู้น่าสงสารเหล่านี้ด้วยเถิด”
หลังยอมต้องสรรเสริญมันและด่าตัวเองว่าโง่ไปเสร็จเรียบร้อย ผมก็เริ่มรู้สึกถึงพลังที่เริ่มเกิดขึ้นมาในตัวผม แต่พลังนั่นมันราวกับถูกอะไรกั้นไว้ไม่ให้หลุดออกมาได้ นั่นแสดงว่าเวลาของความน่าอายได้มาถึงผมแล้ว
เอาไงเอากันฟะ
“ฮึบบบบบบ”
ช่วงเวลาก่อนจะออกเสียงร้องเพลง ช่างเป็นช่วงเวลาที่ทรมานแสนสาหัสสำหรับผม ใบหน้าผมร้อนดุจเหมือนโดนผีบ้าที่ไหนมาเอาน้ำร้อนสาดกันเต็มๆ หัวใจของผมเต้นรัวๆ เหมือนถูกใครไม่รู้มารัวกลองใส่
และชั่วจังหวะของความทรมานนั้นเองผมจึงได้ตัดสินใจร้องมันออกไปอย่างสุดเสียง
“ช้างๆ น้องเคยเห็นช้างหรือเปล่า~”
ว้ากกกก ทำไปแล้ว ทำไปจนได้ โคตรน่าอายยยยย
เพียงวรรคแรกของเพลงที่ผมร้องออกไป ผมเริ่มสังเกตเห็นว่ามีแสงสว่างเริ่มเรืองรองขึ้นมารอบตัวผมแบบเดียวกับตอนที่ผมรักษาไรน์ เพียงแต่แสงสว่างในครั้งนี้นันมันช่างเจิดจ้ากว่ามาก
“ช้างมันตัวโตไม่เบา”
ยิ่งร้องไปได้ไกลเท่าไหร่ แสงสว่างรอบตัวของผมก็เริ่มที่จะเจิดจ้ามากขึ้น อีกทั้งผมก็เริ่มสังเกตเห็น ที่ร่างกายของผู้ป่วยทุกคนเริ่มมีแสงพุ่งเข้าไปห่อหุ้มร่างกายเอาไว้
เออทำได้แน่ อีกแค่นิดเดียว ร้องอีกแค่ไม่กี่วรรคเท่านั้น ทนอีกแค่ไม่กี่วรรค
ผมคิดในใจอย่างยินดีที่ตอนนี้เพลงที่ผมร้องออกไปนั้นเป็นภาษาไทย ดังนั้นไม่ว่าจังหวะมันจะดูเด็กน้อยขนาดไหนแต่พวกเขาก็ไม่เข้าใจความหมายของเพลงที่ผมร้องออกไปอยู่ดี
“มีจมูกยาวเรียกว่างะ….”
ตึงๆ
หน้าต่างทุกบานของอาคารแห่งนี้ได้ถูกเปิดออก จนเผยภาพผู้คนจำนวนมากที่ยืนมุงกันและพยายามมองเข้ามาข้างใน
จากเท่าที่กะคร่าวๆ แล้ว มากันหลายร้อยคนเลยก็ว่าได้ แล้วแถมแต่ละคนก็พนมมือขึ้นพร้อมหันมาทางผมกันเป็นจุดเดียวกัน
“ทุกท่าน ท่านนักบุญกำลังแบกภาระอย่าหนัก ตอนนี้ท่านดูไม่ค่อยสู้ดีเท่าไหร่ดังนั้นมาส่งกำลังใจช่วยท่านกันเถอะ”
ไอ้เฮอร์แมนนนนนนนน
เจ้าเคาท์บ้าตะโกนขึ้นพร้อมสั่งให้ชาวบ้านทุกคนมาช่วยรุมสวดภาวนาช่วยเหลือผม แค่นั้นไม่พอมันยังเหมือนจะเรียกคนมาเพิ่มอีก
เฮ้ย นี่มันตามกันมาทั้งตำบลเลยรึไงฟะ!
คำร้องของผมที่กำลังจะจบเพลงในอีกไม่กี่วรรคนั้นได้หยุดลง เมื่อถูกคนรุมจ้องจากทุกทิศทุกทาง ทำให้ตอนนี้เสียงทั้งหมดเข้าไปจุกอยู่ที่ในลำคอ
จากการที่ถูกชาวบ้านชาวช่องรุมกันจ้อง ทำให้ตัวผมเริ่มหน้าแดงออกมาด้วยความอายแบบที่ไม่เคยอายขนาดนี้มาก่อนในชีวิต
ก็ลองคิดดูสิ ว่าตอนนี้สภาพของผมมันน่าอนาถขนาดไหน คือแบบว่าถ้ามองกันที่เนื้อหาครึ่งแรกที่มีภาพของสาวน้อยแสนสวยคนหนึ่งกำลังหลับตาร้องเพลงเพื่อช่วยรักษาผู้คนโดยมีเอฟเฟคประกอบเป็นแสงสว่างเจิดจ้าที่ปกคลุมตัวเด็กน้อยคนนั้น
ไม่ว่าใครที่มองมาต่างก็คงรู้สึกว่าภาพนั้นช่างศักดิ์สิทธิ์และยิ่งใหญ่เหลือเกิน แน่นอนว่ามันควรจะเป็นแบบนั้น แต่สำหรับผมแล้ว ไอ้ความศักดิ์สิทธิ์ที่ว่ามาเมื่อครู่มันระเบิดหายกลายเป็นปุ๋ยทันทีเมื่อมาดูเนื้อหาส่วนหลัง
ลองจินตนาการภาพของเด็กน้อยที่จู่ๆ ก็มาร้องเพลงช้างกลางดงผู้ป่วยไฟไหม้เต็มไปด้วยรอยแผลเป็นดูสิ แถมเด็กคนนั้นไม่ได้ร้องธรรมดาๆ แต่ดันร้องแบบโคตรจริงจังทั้งยังมีเหล่าผู้คนมากมายที่เฝ้ามองและให้กำลังใจเด็กน้อยคนนั้นอย่างเต็มที่ในการร้องเพลงช้างด้วยนะ!
และเด็กน้อยนั่นมันก็ไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็นผมคนนี้นี่เอง
โอ้ย นี่ถึงขั้นต้องมีคนมาให้กำลังใจในการร้องเพลงช้าง สภาพของผมมันต้องอนาถขนาดไหนกันเนี่ย
และด้วยสภาพนั้นทำให้สมาธิทั้งหมดของผมแตกกระเจิง ความอายและความตื่นเต้นได้พุ่งจนถึงขีดสุด ทำให้ใจของผมเริ่มเต้นระรัว แถมลมหายใจก็เริ่มถี่หอบจนเริ่มจะประคองสติของตัวเองไม่อยู่แล้ว
หน้าของผมตอนนี้มันร้อนมาก ร้อนจนเหมือนมีใครเอาปืนไฟมายิงอัดใส่กลางหน้า
” นั่นท่านนักบุญกำลังแย่จากการร่ายเวท พวกเราทุกคนรีบส่งกำลังใจไปเร็ว”
ที่ตูกำลังแย่มันก็มาจากแกทั้งนั้นเลยเว้ย ไอ้เฮอร์แมน
นี่เอ็งกะกวนส้นเท้าผมจริงๆ ใช่ไหม ก็ได้ ตอนแรกกะแค่อยากรู้เรื่องราวของแกว่าแกโกงอะไรยังไง แต่ถ้าจะทำกันขนาดนี้ ผมขอสาบานเลยว่าถ้าไม่ได้เห็นแกไปนอนอืดตายอยู่ในซังเตล่ะก็ ผมนี่ล่ะจะตามไปกระทืบมันจนไม่เหลือซากเอง
“แฮกๆ มี…มี อีอูอีอาอาง”
เนื่องจากอาการตื่นเต้นมันทำให้ผมเริ่มพูดไม่เป็นภาษา ทำให้เพลงช้างที่มันควรจะร้องออกมาได้อย่างง่ายดายนั้นกลับแทบร้องไม่ได้ ขนาดแค่จะฮัมเพลงเป็นจังหวะเพลงช้างยังยากเลย
และเพราะเพลงของผมมันหยุดกลางทาง ทำให้เหล่าคนที่กำลังถูกรักษานั้นยังรักษาได้ไม่สมบูรณ์ดี ถึงแม้แผลบางส่วนจะเริ่มหายแล้วแต่แผลเป็นบริเวณแขนขาที่ทำให้เขาขยับไม่ได้นั้นยังคงเหลืออยู่
พยายามเข้าออโรร่า อีกแค่นิดเดียวเท่านั้น พยายามเข้า!
“มีหูมีตาหางยาววววววววววว”
สิ้นคำของผม แสงสว่างจ้าก็ระเบิดออกมาปกคลุมไปทั่วห้อง และเมื่อมันดับลงก็เผยภาพที่ไม่ว่าใครในห้องต่างก็คงไม่เชื่อว่าจะเกิดขึ้นได้
เหล่าผู้ป่วยที่มีแผลเป็นหรือแผลขนาดใหญ่ ตอนนี้กลับไม่เหลือสิ่งที่ว่านั่นอยู่บนร่างกายแม้แต่น้อย ราวกับว่าเหตุการณ์ในอดีตที่ทำให้พวกเขาต้องมาอยู่ที่นี่นั้นไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ยิ่งกว่านั้น บางคนที่นอนติดเตียงมานานกลับสามารถลุกขึ้นมาเดินได้อีกซะอย่างงั้น นั่นทำให้ผู้คนต่างร้องออกมาอย่างดีใจพร้อมตะโกนสรรเสริญผมกันยกใหญ่
“ท่านนักบุญๆ”
แต่ด้วยสภาพของผมที่ฝืนใจกัดฟันร้องเพลงด้วยความอายอันแสนจะทรมานนั้นไม่สามารถที่จะประคองสติซึ่งถูกทำร้ายจนไม่เหลือชิ้นดีได้อีกต่อไป
และสติของผมก็ดับวูบลงโดยในหัวก็เหลืออยู่เพียงเรื่องเดียว
เฮอร์แมนเอ๋ย เจอกันครั้งหน้าผมเล่นแกยับแน่
———————————————————————————-
จบไปแล้วนะครับกับออโรร่าน้อยและภารกิจสุดแสนจะยิ่งใหญ่ของเธอกัน ก็เห็นมีคนทักมาเรื่องยศสังฆราชเยอะอยู่ เดี๋ยวขอคิดยศดูก่อนแล้วจะมาเปลี่ยนอีกทีครับ
ปล.อาเป็นแกรนด์ไมทตี้อาร์คบิชอปไหม (ฮา) ///ไม่ใช่แล้วเว้ย