ซวยแล้ว! ผมดันโดนเตะมาเกิดใหม่เป็นนักบุญหญิงศักดิ์สิทธิ์ - บทที่ 2 ออโรร่าน้อยกับชีวิตใหม่
- Home
- ซวยแล้ว! ผมดันโดนเตะมาเกิดใหม่เป็นนักบุญหญิงศักดิ์สิทธิ์
- บทที่ 2 ออโรร่าน้อยกับชีวิตใหม่
“ออโรร่า ไปหยิบหนังสือพิมพ์มาให้พ่อหน่อยสิ”
“ค่า~”
เสียงตะโกนของพ่อดังมาจากห้องครัว ตัวผมที่กำลังนั่นอ่านหนังสืออยู่ก็พับปิดก่อนจะขานรับแล้วเดินออกไปที่หน้าบ้านของตัวเอง
หากนับแล้วนี่ก็ห้าปีแล้วหลังจากที่ผมเกิดใหม่และถูกคุณพ่อรับมาเลี้ยงเอาไว้ตั้งแต่อายุยังไม่น่าจะถึงสัปดาห์ โดยผมก็ไม่รู้ที่มาของเขาเท่าไหร่ รู้แค่ว่าตอนเขาเก็บผมมานั้นเขายังไม่มีที่อยู่เป็นหลักเป็นแหล่งเลย ทำเอาผมแอบเสียวๆว่าจะไปรอดไหม แต่สุดท้ายทุกอย่างมันก็ดีอย่างที่เห็น
ตอนอายุผมยังน้อยผมก็ไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่ว่าคุณพ่อนั้นทำงานอะไร แต่หลังเขาพามาอยู่บ้านหลังเล็กๆในหมู่บ้านอันแสนอบอุ่นนี้แล้วเขาก็ต้องออกไปทำงานหาเงินทิ้งผมไว้ให้คนป้าข้างบ้านดูแล แต่นั่นผมก็ไม่ได้โกรธอะไรหรอกนะ ก็แหม ผู้ชายคนเดียวมันคงอยู่กับเด็กตัวเท่านี้ตลอดเวลาไม่ได้หรอก
แต่ก็มีบางอย่างที่ผมสงสัยตั้งแต่ตอนนั้น สงสัยว่าคุณพ่อนั้นทำงานอะไร เพราะกลับมาทีไรชอบพกเงินกับมาเยอะผิดคนหาเช้ากินค่ำ จนบางทีผมก็แอบคิดว่าเขาเป็นโจรรึเปล่า แถมตอนออกจากบ้านไป เขาก็ชอบพกดาบไปด้วยเนี่ยสิ
ผมก็แอบหัวเราะความคิดของตัวเอง ณ ตอนนั้นอยู่นะ ว่าคิดไปได้ไง ถ้าจะสรุปตามข้อมูลที่มีอยู่ของผม เขาคงน่าจะเป็นพวกนักผจญภัยล่ามอนสเตอร์ไม่ก็ทำงานคุ้มกันอะไรของหมู่บ้านล่ะมั้ง
แต่ถึงจะทำงานบ่อยเขาก็เป็นพ่อที่ดีนะ เวลาว่างทีไร เขาชอบมาอยู่กับผมตลอดเวลาแถมเลี้ยงดูอย่างดีด้วย แต่ก็ด้วยว่าสงสัยไม่มีประสบการณ์เลี้ยงเด็กมาก่อน เลยทำแบบงงๆมึนๆเล็กน้อย
แต่สรุปแล้วหลังจากนั้นมาห้าปีในที่สุดผมก็พอเริ่มที่จะโตจนช่วยตัวเองได้เยอะแล้ว เขาเลยเหนื่อยน้อยลงเยอะ
อันที่จริงด้วยที่ผมได้รับพรให้พัฒนาการเร็วมาจากพระเจ้าแล้ว ผมก็สามารถขยับอะไรได้อย่างคล่องตัว รวมถึงพูดและดูแลตัวเองได้ตั้งแต่อายุไม่ถึงปี แต่เพราะกลัวชาวบ้านจะตกใจหรือแปลกใจไปก็เลยชะลอการเผยความสามารถของตัวเองมาอีกเล็กน้อย แต่ถึงอย่างงั้นคุณพ่อก็ยังทึ่งอยู่ดีแถมยังพูดด้วยว่า
“นี่ต้องเป็นพรของพระองค์แน่ๆ”
เขาพูดแบบนั้นด้วยรอยยิ้มอย่างยินดีสุดๆเลยล่ะ แถมหยิบจี้ห้อยคอที่น่าจะเป็นของสำคัญขึ้นมามองดูอย่างมีความสุขอีกด้วย ทำให้ผมแอบสงสัยเหมือนกันว่ามันคืออะไร แต่ก็ไม่กล้าถามเพราะอาจจะเป็นของสำคัญที่เต็มไปด้วยความทรงจำของเขา
อันที่จริงชีวิตใหม่นี้มันก็ไม่เลวเท่าไหร่ ไม่ต้องเครียดส่งการบ้านตอนช่วงไฟลนก้น ไม่ต้องมาวุ่นวายอะไรกับชีวิตมากมาย แต่ก็ยังมีสิ่งหนึ่งที่ไม่โอเค
…..
ไอ้ร่างผู้หญิงนี่ของผมนี่ล่ะที่ยังไม่โอเค! ไอ้สิ่งที่ควรมีมันดันไม่มีและไอ้สิ่งที่ไม่ควรมีมันดันมี ไม่ว่าจะมองมันเมื่อไหร่ก็ทำเอาผมใจหายทุกครั้ง แถมที่สำคัญ…
เวลาผมจะพูดอะไรที่มันดูสมชายชาตรีทีไร มันจะถูกเปลี่ยนเป็นคำพูดสาวน้อยทุกครั้งเลยให้ดิ้นตายสิ!
อย่างเมื่อกี้ผมจะตอบคุณพ่อไปด้วยเสียงอันหนักแน่นว่า ครับ!
แล้วดูสิ ดูว่าผลมันเป็นยังไง ไม่ใช่แค่จะตอนกลับไปด้วยคำว่าคะ ขา เสียงหวานแล้ว ยังมีรอยยิ้มตอบกลับไปอีก ไอ้พระเจ้าเฮ็งซวยนั่นมันทำอะไรกันผม!!
ตอนผมสามขวบที่ผมเริ่มตัดสินใจว่าจะพูด ในตอนที่ผมกำลังฝึกพูดอยู่ด้วยคำพูดแบบผู้ชายสุดแมน เพราะตอนนั้นผมคิดว่าถ้าหากต้องเป็นหญิงแล้วก็ขออะไรให้มันใกล้เคียงกับผู้ชายเลยวางแผนจะฝึกเป็นสาวหล่อแต่แล้วเจ้าพระเจ้านั่นมันกลับโผล่มาเอาแสงสาดตาผมแล้วก็บอกมาแบบนี้!
“ก็ให้พรไง”
นั่นล่ะคือคำตอบแรกที่มันให้ผมมาหลังจากผมรู้ว่าทุกคำพูดที่ผมจะพูดไปมันกลับถูกแปลงมั่วไปหมด พอจะด่ามันไปสักรอบ แต่ก็ดันถูกไอ้คำสาบอีกอันกลายเป็นคำสรรเสริญขอบคุณมันซะอย่างงั้น ให้ตายเด้
“ด้วยความเมตตาอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ ตัวข้าน้อยผู้ต่ำต้อยต้องขอขอบคุณในพรที่พระองค์บันดานให้อย่างแท้จริง”
อ้ากกกก ตูอยากบีบคอคน!
ว่าแล้วผมก็เดินไปหน้าบ้านก่อนจะหยิบหนังสือพิมพ์มาจากคุณลุงส่งหนังสือพิมพ์ที่ยิ้มให้ผมอย่างเอ็นดู ส่วนผมก็ขอบคุณกลับไปด้วยสภาพสาวน้อยน่ารักแล้วรับมันมา
พูดถึงสาวน้อยน่ารัก มันก็เป็นหนึ่งในไม่กี่สิ่งที่ถือว่ายังพอยอมรับได้ในการเกิดใหม่ครั้งนี้ของผมล่ะนะ ก็เพราะว่าร่างกายของผมตอนนี้คือสาวน้อยน่ารักไงล่ะ
ตอนที่ผมอยากเห็นหน้าของตัวเองเลยไปส่องกระจกก็ทำเอาอึ้งไปเลยทีเดียวเมื่อภาพที่เห็นคือสาวน้อยน่ารักผมสีขาวนุ่มสลวยยาวถึงคอ ดวงตาสีฟ้าน้ำทะเลกลมมนน่ารักสมววัยเด็ก เมื่อกับร่างกายที่บอบบางน่ารักน่าทะนุถนอมแบบนี้แล้ว ไม่ว่าหมีตัวไหนก็ต้องตื่นแน่นอน
“ไงล่ะ ข้าบอกแล้วว่านี่น่ะคือพรชั้นหนึ่งเลยนะ”
จู่ๆเสียงพระเจ้าก็ดังขึ้นมาที่ข้างหู ซึ่งเอาจริงๆแล้วมันก็ทำให้ผมสงสัยว่าเขาว่างหรือยังไงกันเพราะตั้งแต่ผมเกิดมา เขาได้แวะเวียนมาส่งเสียงก่อกวนในหัวของผมอยู่ตลอดๆ
“จะดีกว่านี้ถ้าท่านให้ข้าได้เป็นผู้ชายค่ะ”
ผมได้แต่ก้มหน้าตกยอมรับชะตากรรมที่ต้องอยู่ในร่างสาวน้อยแบบนี้ ซึ่งที่จริงตลอดห้าปีที่ผ่านมาก็เริ่มพอจะทำใจได้อยู่นะ แต่ยังไงๆก็อยากกลับเป็นผู้ชายอยู่ดีอะ เพราะจากนิยายและที่เคยเรียนมา ชีวิตผู้หญิงโคตรลำบากและยิ่งมายุคกึ่งยุคกลางแบบนี้ ยิ่งโคตรจะลำบาก
“นี่ค่ะคุณพ่อ”
“ขอบคุณมากลูกรัก”
คุณพ่อที่ตอนนี้ที่อายุปาเข้าไปจะเกือบสามสิบแล้ว แต่ใบหน้าของเขานั้นก็ยังไม่โผล่ให้เห็นร่องรอยของคนที่จะเข้าสู่วัยกลางคนเลยแม้แต่น้อย นั่นทำให้ผมแอบมีปัญหาเวลาเดินออกไปข้างนอกกับพ่อเพราะจะมีพวกพี่สาวหรือคุณป้าทั้งหลายเข้ามาทักทายผมเพื่อหวังใช้เป็นทางผ่าน…..โคตรน่าเบื่ออะ
“ว่าแต่คุณพ่อคะ เรื่องที่คุยกันไปเมื่อวานคือหนู….”
“ไม่ได้”
คุณพ่อปฏิเสธเสียงนิ่มก่อนที่จะยกกาแฟในมือของเขาขึ้นมาจิบ พลางกางหนังสือพิมพ์ขึ้นมาอ่าน ส่วนผมที่ได้ยินแบบนั้นก็เลยเซ็งทำแกล้มป่องใส่
“แต่หนูอยากเรียนจริงๆนะคะ!”
เมื่อผมพยายามขอร้องอย่างสุดชีวิตก็ดูเหมือนคุณพ่อจะเริ่มตอบสนอง เขาวางหนังสือพิมพ์ในมือลงก่อนที่จะหันหน้ามาหาผมแล้วยื่นมือมาลูบผมเบาๆ
“นี่ออโรร่า ลูกรู้หรือเปล่าว่าลูกน่ะเป็นเด็กผู้หญิงนะ”
“รู้สิคะ”
ไม่ต้องตอกย้ำก็ได้นะคุณพ่อที่เคารพ
“อืมแบบนั้นก็ดี ดังนั้นลูกก็น่าจะรู้นี่นาว่าผู้หญิงเขาไม่จับดาบกัน ถ้าจะเรียนล่ะก็พ่อว่าเรียนพวกวิชาความรู้น่าจะเหมาะสมกับเด็กฉลาดและน่ารักอย่างลูกสาวพ่อจริงไหมจ้า”
พูดไปตอนแรกก็ดูเหมือนจะสอน แต่ไหงเริ่มกลายเป็นพูดชมลูกสาวตัวเองซะงั้นล่ะครับคุณพ่อที่เคารพ แถมชมไม่พอตอนนี้คุณพ่อยกตัวของผมขึ้นมาทั้งกอดทั้งหอมแก้ม
ผมพยายามดิ้นเพื่อหลบออก แต่สุดท้ายก็สู้แรงของเขาไม่ได้เลยได้แต่ปล่อยเลยตามเลย แต่กระนั้นความพยายามที่จะขอร้องก็ยังไม่เลิกลา
เหตุน่ะหรอ
ก็ผมอยากเรียนดาบนี่นา มันเป็นความใฝ่ฝันตั้งแต่เด็กๆแล้ว เพราะตอนที่ผมเล่นเกมมา พวกตัวเอกที่ใช้ดาบต่อสู้กับพวกปีศาจน่ะเท่มากเลยนะขอบอก ดังนั้นแล้วผมก็เลยอยากจะเท่แบบนั้นบ้าง ดังนั้นก็เลยไปขอร้องคุณพ่อที่ดูน่าจะมีฝีมือดาบมากพอตัว แต่ไม่รู้ทำไมเขาถึงไม่ยอมสอนผมสักที ทั้งๆที่ผมก็โตพอแล้ว
แถมจากที่อ่านมาในหนังสือนิทานของพวกเด็กๆแล้ว ต่อให้เป็นผู้หญิงแต่ถ้าถือดาบเป็นอัศวินมันก็เท่นี่นา โดยเฉพาะตัวละครในเรื่องนี้เป็นนักรบหญิงคนเก่งของประเทศนี้ด้วยแล้วยิ่งดูเท่ไปใหญ่ เพราะงั้นเพื่อหนทางสู่การเป็นสาวหล่อของผมผมจะต้องทำให้ได้!
จากนั้นเราก็พอคุยอะไรกันนิดหน่อยก่อนที่คุณพ่อจะจัดการของเสร็จแล้วพาผมไปที่ร้านหนังสือประจำหมู่บ้าน
ตอนนี้คุณพ่อเผลอเข้าใจไปแล้วว่าผมนั้นชอบอ่านหนังสือเพราะผมชอบขอร้องให้เขาพาผมไปเกือบทุกอาทิตย์ โดยอันที่จริงไอ้เด็กขอลอกการบ้านกับรายงานตอนช่วงไฟลนก้นอย่างผมไม่มีทางชอบอ่านหนังสือแน่นอน แต่สภาพตอนนี้มันอยู่ในรูปแบบกึ่งบังคับ เพราะผมต้องการที่จะเรียนรู้เรื่องพื้นฐานของโลกใบนี้ ดังนั้นหนังสือจึงเป็นตัวเลือกเดียวที่ผมไม่สามารถเลี่ยงได้
“เอาล่ะวันนี้ลูกสาวพ่ออยากได้หนังสืออะไรเอ่ย”
ตอนนี้คุณพ่อยกผมขึ้นมาขี่คอขณะพาเดินเข้าไปในเมือง ผมเองก็ยกมือตากลมเล่นอย่างสนุกสนานภาษาคนที่ได้กลับมาเป็นเด็กอีกครั้ง
“อืมมมม หนูขอเอาเป็นหนังสือประวัติศาสตร์แล้วกันค่ะ”
ใช่แล้ว หลังจากผมอ่านเรื่องการใช้ชีวิตทั่วไปเสร็จ มาคราวนี้ก็ต้องเริ่มศึกษาเรื่องราวของประเทศและทวีปที่ผมอยู่ พอโตไปจะได้หาทางเอาตัวรอดได้
“โห ไม่เกินวัยไปหน่อยเหรอลูก เอาเป็นหนังสือนิทานผู้กล้ากับเจ้าหญิงดีไหม”
“ไม่อะ น่าเบื่อออก”
ผมรีบปฏิเสธนิทานเด็กน้อยทันที ก็นะ ถึงตัวผมมันจะเด็กห้าขวบ แต่ให้ไปอ่านนิทานเด็กอายุเท่านั้นโดยที่สมองผมมันอายุจะยี่สิบแล้วคงน่าเบื่อหลับคาโต๊ะแน่นอน
“ว้า นึกว่าจะได้เล่านิทานให้ลูกฟังแบบคุณพ่อคนอื่นๆซะแล้วสิ”
สรุปนั่นคือจุดประสงค์ของนายใช่ไหม!
ผมกับพ่อเดินเข้าร้านหนังสือพร้อมทักทายคุณลุงเจ้าของร้าน ซึ่งเขาก็ยิ้มทักตอบกลับมาให้กับลูกค้าขาประจำอย่างพวกผมที่ทำให้เขามีรายได้เพิ่มขึ้นเยอะ
“ไงหนูออโรร่า วันนี้จะมาซื้อหนังสืออะไรล่ะ”
“หนังสือประวัติศาสตร์ค่ะ!”
ผมตอบไปด้วยเสียงอันหนักแน่น คุณลุงที่ได้ยินแบบนั้นก็ทำหน้าตกใจเหวอก่อนหันหน้าไปมองคุณพ่อที่ได้แต่เกาหัวยิมแหยๆ
“ลูกนายอ่านหนังสือยากเกินวัยอีกแล้วนะ ซิกค์”
“แหะๆ ไอ้ผมเองก็ตกใจเหมือนกัน”
ผมไม่รอให้พวกตาลุงสองคนคุยกันให้จบ ก็รีบพุ่งตัวออกไปหาหนังสือที่อยากได้ทันทีโดยคราวนี้ที่ผมเล็งไว้ก็หนังสือประวัติศาสตร์ของประเทศ
โดยตอนนี้จากเท่าที่อ่านมาในภูมิศาสตร์ที่เพิ่งอ่านจบไป ทวีปที่ผมอาศัยอยู่นั้นถูกเรียกว่า ไอเมรา โดยหากให้บรรยายแล้วมันก็เป็นทวีปขนาดใหญ่พอๆกับ ครึ่งหนึ่งของยูเรเซีย ซึ่งมีหัวโจกหรือมหาอำนาจด้วยกันอยู่สองฝ่ายคือราชอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ราสเวนนา และจักรวรรดิเอสเธนเดีย ซึ่งตอนนี้อยู่ในสภาพสงครามเย็นกันอยู่ ส่วนที่จริงก็มีฝ่ายเป็นกลางอีกมากมาย แต่ตอนนี้รู้แค่นี้ไว้ก่อนก็แล้วกัน
โดยตอนนี้ประเทศที่ผมอยู่ก็คือราชอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ราสเวนนา ฐานที่ตั้งสำคัญของผู้ที่นับถือเจ้าพระเจ้าที่สาปผมอย่างแรงกล้า ทำให้ไม่แปลกถ้าทุกๆมุมเมืองจะมีโบสถ์หรือวิหารตั้งอยู่
ที่ผมรู้ก็มีแค่นั้น ดังนั้นเพื่อที่จะจบไปทำงานราชกาลที่อย่างชิวๆก็เลยต้องรู้ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศซะหน่อย ซึ่งมันก็หลีกไม่พ้นจากหนังสือประวัติศาสตร์ โดยอันที่จริงแล้วปกติก็คงไม่มีเด็กที่ไหนเขามาบ้าอ่านกันหรอก
ที่จริงในชั้นเดียวกับหนังสือที่ผมสนใจมันมีหนังสือเล่มหนึ่งที่ผมเห็นแล้วของขึ้นมาทันที มันก็ไม่ใช่อะไรที่ไหน มันคือหนังสือตำนานของเจ้าพระเจ้าคนนี้นั่นเอง ผมจ้งอยู่นานเพราะรู้สึกคันไม้คันมืออยากเอาไปเผาไม่ก็รองกระดูกหมาหรือทำตุ๊กตาวูดู แต่ว่าแบบนั้นมันเปลืองเงินแย่ เพราะหนังสือเล่มนึงใช่ว่าจะถูกๆ สุดท้ายก็เลยเก็บมือของตัวเองลง
ก็นานอยู่หรอกกว่าผมจะขอคุณพ่อซื้อมาได้ แต่สุดท้ายแล้วคุณพ่อก็ใจอ่อนยอมซื้อให้แต่ก็มหนังสืออื่นแถมมาคือหนังสือนิทานสำหรับเด็ก….นี่สรุปคุณพ่อจะเอาให้ได้สินะ
ระหว่างทางที่กลับ ผมก็ได้เจอกับหนึ่งในคนที่ผมไม่ค่อยจะอยากเจอที่สุด……พระเจ้า
รอบๆตัวของผมหยุดนิ่งลงไม่เว้นแม้แต่คุณพ่อ โดยโลกรอบตัวของผมเปลี่ยนจากโลกที่เต็มไปด้วยสีสันกลายเป็นโลกสีเทามัวๆ มีเพียงแค่ชายผมดำตรงหน้าผมเท่านั้นทียังขยับได้อยู่
“ไง เริ่มชินกับชีวิตวัยเด็กหรือยัง”
“เอ่อ……”
ผมไม่รู้จะพูดอะไรออกไปดี เพราะนอกจากเสียงของเขาที่มาก่อกวนผมบ้างเป็นเวลาในช่วงตอนผมยังเป็นทารกนั้น ผมก็ไม่เคยเห้นตัวเขาเป็นๆอีกเลยนับจากคราวที่เขาดีดผมลงมาอยู่ที่โลกใบนี้
“เข้าใจว่าสงสัยว่าหายไปไหน แถมไม่มีอธิบายอะไรให้กับคนที่ย้ายมิติมาแบบที่พระเจ้าทำกัน เรื่องนั้นก็ต้องขอโทษด้วยพอดีธุระของพระเจ้าอย่างข้ามันค่อนข้างที่จะ…..ยุ่งนิดหน่อย”
พระเจ้าพูดขึ้นมาพลางเดินเข้ามาหาตัวผม จากนั้นเขาก็ได้ยื่นมือที่สำหรับผมตอนนี้ถือว่าใหญ่มากเข้ามาจับที่หน้าผากเล็กๆขงผม
“ดังนั้นแล้วไหนๆก็เกิดใหม่ทั้งที แถมยังเป็นคนที่สรรเสริญข้าออกมาจากจิตใจ”
ออกจากจิตใจกับผีเด้ อย่ามาพูดบ้าๆนะเฮ้ย ดูไงๆก็สาปบังคับพูดชัดๆ!
“ดังที่พระองค์พูด ตัวข้านั้นมีความปิติยินดีกับพรของพระองค์อย่างแท้จริง”
จำเริญละ ฟังกี่ทีก็อายปากตัวเองจริงๆ สงบไว้ สงบไว้ อย่าคิดด่ามัน อย่าด่ามัน
“พูดดีๆ เพราะงั้นแล้วก็ขอมีของขวัญให้นิดหน่อย เอาเป็นพลังเวทเล็กน้อยแต่พลังแสงเยอะๆเป็นไง เหมาะกับเจ้าที่นับถือข้าอย่างหาที่สุดไม่ได้”
ยังไม่เลิก! นี่กะยั่วอารมณ์กันใช่ไหม นี่เจ้าพระเจ้านี่ก็ยั่วอารมณ์ผมจริงๆใช่ไหม ดูสิ ดูหน้ามัน
“อืม แต่เพื่อความสนุกขอเอาให้มีเงื่อนไขซะหน่อยแล้วกัน”
ตอนนี้พระเจ้าที่มองผมซึ่งกำลังจ้องหน้าเขาด้วยอารมณ์โกรธจนตัวสั่นนั้นได้แสยะยิ้มออกมาโดยไม่สนใจตัวผมแม้แต่น้อย จากนั้นมือของเขาก็เกิดประกายแสงจ้าก่อนที่ผมจะรู้สึกได้ถึงพลังงานบางอย่างที่ไหลเวียนเข้ามาสู่ร่างกาย
“เอาล่ะเรียบร้อย จากนี้ไปก็ลองๆฝึกใช้ไปดูละกัน ข้าขอตัว”
ว่าจบพระเจ้าก็บอกมืออำราก่อนที่จะหายตัวไปพร้อมๆกับโลกรอบข้างที่เริ่มกลับมามีสีสันและเคลื่อนไหวได้อีกครั้งหนึ่ง
“ออโรร่า นั่นลูกเป็นอะไรน่ะ ตัวสั่นเชียว”
คุณพ่อหันมาถามผมด้วยความเป็นห่วงเมื่อสังเกตเห็นตัวผมที่กำลังตัวสั่นด้วยความโกรธเจ้าพระเจ้า เพราะถึงจะดีใจที่ได้พลังยังไงก็เถอะ แต่ไอ้คำสาปนั่นที่มันยัดใส่ผมน่ะ บอกตามตรงว่ารับไม่ได้!
เห้อ บอกไปคงไม่มีใครเชื่อ ดังนั้นผมจึงพยายามส่ายหัวในใจก็ได้แต่คิดบ่นเจ้าพระเจ้าที่แจกพลังมาให้ผมด้วย แถมเงื่อยไขที่มันให้มาก็ติดแล้วน้ำตาจะไหล
“ไม่มีอะไรค่ะคุณพ่อ เรากลับกันเถอะค่ะ”
ในใจผมก็ได้แต่พยายามข่มไม่ให้ตัวเองเผลอไปว่าอะไรพระเจ้าในใจต่อหน้าคนอื่นต่อไป เพราะขืนเผลอตัวล่ะก็ มิวายได้ถูกเข้าใจผิดซ้ำซ้อนแน่นอน!
ว่าแต่เหมือนคล้ายๆพระเจ้าจะบอกว่าพลังมันมีเงื่อนไขอยู่ อยากรู้จังวุ้ยว่าอะไร หวังว่าเจ้าพระเจ้าบ้านั่นคงไม่ได้เอาเงื่อนไขประหลาดๆมาใส่หรอกนะ ไม่งั้นผมได้ผูกคอตายใต้ต้นถั่วงอกแน่….เฮ้ย
“ไม่ว่าจะภารกิจอันใด เพื่อพลังอันสูงยิ่งที่พระองค์ทรงมอบให้ ตัวข้าก็จักพยายามจะบรรลุภารกิจนั้น”
อูวววว ยังดีนะที่เรายังพอยั้งตัวคุมเสียงตัวเองได้ทัน ไม่เผลอไปพูดอะไรแปลกๆต่อหน้าคุณพ่อเสียก่อน เกือบไปๆ ลืมไปเลยว่าด่าในใจต่อหน้าคนอื่นเมื่อไหร่เจ้าคำสาปนี่ทำงานทุกที สงสัยต้องระวังกว่านี้แล้วสิเรา
————–
จบไปแล้วอีกตอน นะครับ ตัวเอกของเราก็ยังคงมึนๆอึนๆกับกาวที่พระเจ้าปาใส่ไม่หาย