ซวยแล้ว! ผมดันโดนเตะมาเกิดใหม่เป็นนักบุญหญิงศักดิ์สิทธิ์ - บทที่ 20 ออโรร่าน้อยกับการสืบข้อมูล
- Home
- ซวยแล้ว! ผมดันโดนเตะมาเกิดใหม่เป็นนักบุญหญิงศักดิ์สิทธิ์
- บทที่ 20 ออโรร่าน้อยกับการสืบข้อมูล
“ไหนดูสิ”
ผมถือเอกสารหอบใหญ่กลับมาที่ห้องของตัวเอง จากนั้นผมก็มองซ้ายมองขวาว่ามาเรียยังไม่กลับมาที่ห้องจึงได้เปิดซองอย่างสบายใจ
ถึงมาเรียจะยังเป็นเด็กอยู่ก็เถอะ ทว่ายังไงเธอก็ยังเป็นลูกสาวตระกูลทหารชั้นสูง เพราะงั้นถึงเจ้าตัวจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องแต่ใช่ว่าตระกูลจะไม่มีด้วย
ถ้าจำไม่ผิด เจ้าเคาท์เฮอร์แมนตอนมันแนะนำตัว รู้สึกจะบอกว่าตัวเองเป็นหนึ่งในสี่แม่ทัพสินะ จากหนังสือที่อ่านมา ตำแหน่งสี่แม่ทัพเหมือนจะเป็นรองแค่แม่ทัพใหญ่ที่ตอนนี้คือพ่อของมาเรียเท่านั้น
เกี่ยวข้องสุดๆ เลยนี่หว่า! รู้แบบนี้คงให้มาเรียรู้เรื่องไม่ได้แล้วล่ะมั้ง
เมื่อตัดสินใจได้แบบนี้ผมก็หยิบเอกสารในซองออกมาอ่าน ข้างในก็มีข้อมูลทั่วไปของบุคคลอย่างชื่อเต็มชื่ออะไร มียศหรือที่ดินในปกครองขนาดไหน
เอาล่ะ มาดูสิว่าจะมีข้อมูลอะไรให้พอเล่นงานเจ้าหมอนี่ได้บ้าง
ชื่อนามสกุลของท่านเคาท์คือ เคาท์เฮอร์แมน เออร์ลาฟ
เออร์ลาฟ? รู้สึกตระกูลนี้เหมือนจะเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน
นับเป็นโชคดีของผมที่พวกอัศวินได้แนบข้อมูลของตระกูลเออร์ลาฟมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทำให้ผมไม่ต้องลำบากไปหาในห้องสมุด
ตระกูลเออร์ลาฟ เป็นตระกูลที่เพิ่งแต่งตั้งให้เป็นขุนนางแห่งเรสเวนน่ามาเพียงไม่ถึงร้อยปี นับว่าเป็นตระกูลใหม่มาก ดังนั้นไม่ว่าใครก็คงต้องแปลกใจว่าทำไมตระกูลนี้ถึงได้ขึ้นมามีอำนาจจนได้ตำแหน่งหนึ่งในสี่แม่ทัพและยังได้รับมอบหมายดูแลบ้านเรือนภายในเขตเซาท์เรสเวนซึ่งเป็นหนึ่งเขตใหญ่ของเมืองหลวง
ดังนั้นก็ต้องมองย้อนกลับไปสองรุ่น นั่นก็คือรุ่นปู่ของเขาซึ่งเป็นหนึ่งในคนที่มีชื่อเสียงมาก เพราะเกือบร้อยปีก่อนทางศาสนจักรกับทางขุนนางได้เกิดแตกหักกันอย่างรุนแรงจนเกิดเป็นสงครามภายในขนาดใหญ่
แต่ก่อนที่จะเกิดสงคราม ช่วงนั้นก็มีสงครามเย็นเกิดขึ้น มีการแย่งผู้สนับสนุนจำนวนมาก ซึ่งกษัตริย์ในตอนนั้นได้ทำการตัดสินใจแต่งตั้งยศให้กับขุนนางหน้าใหม่ซึ่งเป็นคนจากนอกอาณาจักรจำนวนมาก เพราะพวกเขาเหล่านี้ยังไม่ถูกอิทธิพลของทางศาสนจักรครอบงำ
และปู่ของเจ้าขุนนางหนวดนี่ก็เป็นหนึ่งในนั้น แถมยังเป็นคนที่สร้างผลงานในสงครามได้มากพอตัวอีกด้วย ดังนั้นหลังสงครามจบจึงได้รับหน้าที่ดูแลเขตเซาท์เรสเวนไป
เห สรุปตระกูลเจ้าหมอนี่มันก็มาจากสายขุนนางใหม่เต็มๆ เลยนี่นา มิน่าพวกอัศวินศักดิ์สิทธิ์ถึงได้จับตามองจนมีข้อมูลหนาขนาดนี้ เพราะพวกขุนนางใหม่ส่วนใหญ่จะไม่ค่อยอยู่ใต้อิทธิพลของทางศาสนจักรทำให้ชอบมีเรื่องกันอยู่หลายต่อหลายครั้ง ส่วนเหตุผลว่าทำไมเป็นแบบนั้น มันก็คงต้องพูดกันยาว
ตอนนี้ที่สำคัญมาสนใจเรื่องของเจ้าเคาท์หนวดก่อนดีกว่า ดูจากประวัติของเขาแล้วก็ดูเป็นคนที่ประวัติสวยมาก เนื่องจากหลังรับตำแหน่งต่อจากพ่อได้ไม่นาน เจ้าตัวก็ทำงานอย่างขยันขันแข็งเรียกร้องเงินมาช่วยเขตของตัวเองที่ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้มีไฟไหม้อยู่บ่อยครั้งจนทุกคนต้องออกปากชม
นี่ไม่มีใครสงสัยเลยหรือไง ทั้งการสร้างบ้านเมืองที่แปลกแบบนั้น ทั้งยังเรื่องที่ขอเงินรัวๆ อีก นี่ไม่มีใครคิดสงสัยเรื่องค่าส่วนต่างที่ทำให้เจ้าหมอนี่รวยวันรวยคืนเลยเหรอ!?
เอาเถอะ เรื่องที่รู้ไปแล้วจะมาโวยวายอะไรไปตอนนี้ก็ไม่ช่วยอะไร มาดูเรื่องอื่นดีกว่าว่ามีอะไรที่น่าเอามาใช้เล่นงานได้อีกไหม
ไหนดูสิ อืมๆ เหมือนว่าหมอนี่จะร้องขออะไรไปหลายอย่างอยู่นะ ไม่ว่าจะโรคระบาดแปลกๆ หรือพวกปัญหาบางอย่างที่พอเกิดขึ้น เขาก็ไม่รีรอที่จะไปร้องขอให้ทางศาสนจักรเข้าช่วย
ดูเผินๆ เป็นเรื่องที่สาวกทั่วไปพึงจะกระทำ แต่ตรงนี้ล่ะที่พอผมอ่านมาถึงก็สะกิดใจแปลกๆ
เพราะแต่ละปัญหาที่เขาร้องขอมานั้น เป็นปัญหาที่ทางศาสนจักรแก้แทบจะไม่ค่อยได้ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาโรคระบาดที่น่าจะมาจากสุขอนามัยที่ไม่ดี ไอ้ของแบบนั้นน่ะใช้เวทให้ตายยังไงมันก็ไม่หายหรอก
หรืออีกเรื่องก็อย่างผู้คนที่ถูกไฟไหม้ในคราวนี้ ที่เขาร้องขอมานั้นเป็นการช่วยให้ทางวิหารรักษาผู้ป่วยจน” หายดีและกลับมาทำงานได้
ใช่ นั่นล่ะคือสิ่งที่เขาร้องขอ ตรงจุดนั้นเป็นจุดที่ผมแปลกใจมาก เพราะถ้าร้องขอมาว่าช่วยเยียวยาแบบทั่วไปทางศาสนจักรคงเข้าไปช่วยได้ทันที แต่การขอมาแบบนี้เท่ากับจงใจส่งคำขอที่แทบจะไม่มีใครคิดจะรับชัดๆ
คือต้องเข้าใจก่อนว่าระบบคำร้องของทางศาสนจักรนั้นออกแนวป้ายเควสที่มีคนยื่นมา หากใครสนใจจะรับก็รับไปเพราะถือว่าเป็นการช่วยเหลือคนไม่ควรจะบังคับ นั่นทำให้อันไหนที่ดูบ้าเกินไปก็จะไม่มีนักบวชคนไหนไปรับทำ
ซึ่งเจ้าภารกิจที่ผมรับไปเนี่ย มองยังไงมันก็เป็นไปไม่ได้ เพราะงั้นต่อให้รอถึงชาติหน้าก็คงไม่มีใครมารับมันหรอก
“ถ้าแค่คำขอเดียวคงยังไม่เท่าไหร่ แต่นี่แทบทุกคำขอเลยนี่หว่า”
ใช่ แบบนี้มันน่าสงสัยสุดๆ ราวกับว่าการร้องขอของเจ้าหมอนี่มันมีจุดประสงค์อะไรสักอย่าง อะไรสักอย่างที่น่าจะเกี่ยวข้องกับทางศาสนจักร
นี่ผมมายุ่งกับเรื่องอะไรที่ยิ่งใหญ่อยู่หรือเปล่า?
อ่านข้อมูลถึงตอนนี้ก็ทำเอาผมสงสัย เพราะการกระทำของเขามันช่างเจาะจงจนเหมือนมีเป้าหมายอะไรบางอย่าง หากจุดมุ่งหมายของเขาจะเป็นขุนนางอะไรก็คงไม่แปลก แต่นี่จุดมุ่งหมายของเขาดันเป็นศาสนจักร……เป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเรสเวนน่า?
เป้าหมายใหญ่ซะขนาดนี้ ผมว่าเจ้าตัวคงต้องมั่นใจในอำนาจตัวเองน่าดู แล้วอะไรล่ะที่ทำให้เขามั่นใจพอที่คิดจะมาชนเข้ากับศาสนจักรแบบนี้
ผมไล่อ่านเอกสารในมือไปเรื่อยๆ เผื่อจะได้อะไรเพิ่มเติม และก็ไปสะดุดกับข้อมูลอีกตัวหนึ่งที่ทำให้ผมต้องเลิกคิ้วขึ้นมองอย่างสงสัย
“เขาเป็นหนึ่งในผู้สนับสนุนขององค์ชายอันดับหนึ่งด้วยงั้นเหรอ?”
จากข้อมูลที่ได้มา แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าตัวเคาท์เฮอร์แมนเป็นหนึ่งในผู้สนับสนุนหลักของทางฝ่ายองค์ชายอันดับหนึ่งที่ตอนนี้กำลังเพิ่มอำนาจในราชสำนักมากขึ้นเรื่อยๆ
ยิ่งตัวของเฮอร์แมนมีอำนาจอยู่ในเมืองหลวงแถมยังพอมีอำนาจทางการทหารบางส่วนด้วยแล้ว ก็คงไม่แปลกอะไรที่อีกฝ่ายจะอ้าแขนรับด้วยความยินดี
องค์ชายอันดับหนึ่ง? ดูท่าทางผมคงมายุ่งกับเรื่องที่ใหญ่โตเข้าแล้วสิ เแบบนี้ถ้าหากผมเข้าชนเจ้าเฮอร์แมนตรงๆ ก็เท่ากับว่าผมประกาศสงครามกับพวกขุนนางที่สนับสนุนองค์ชายอันดับหนึ่งด้วย
งานนี้คงต้องถอย….ไม่สิ ยังถอยไม่ได้ เพราะเจ้าพวกนี้เล็งศาสนจักรไว้อยู่ เพราะงั้นตัวผมที่เป็นหนึ่งในคนที่มีอิทธิพลสูงในศาสนจักรก็คงต้องโดนเล่นไปด้วย
ต่อให้ไม่อยากยุ่งยังไงก็คงโดนลากเข้ามาเกี่ยวข้องอยู่ดีสินะแบบนี้ ผมได้ตั้งนั่งกุมขมับอย่างเหนื่อยหน่ายใจ สรุปแล้วตัวผมมาเป็นนักบุญไม่ถึงครึ่งปีก็ต้องมาเจอเรื่องใหญ่แบบนี้เลยงั้นเหรอ?
“เอาไงเอากัน”
หนีก็หนีไม่ได้ จะลุยเลยก็ยิ่งไม่ได้ ดังนั้นตัวเลือกคงต้องเฝ้าดูห่างๆ รอจังหวะเหมาะๆ เพียงอย่างเดียว เพราะถ้าจะลุยก็คงต้องรู้ก่อนว่าคนไหนมิตรคนไหนศัตรู
ถ้างั้นสิ่งที่ต้องทำก็คงมีแค่…..
ผมคว้ากระดาษขึ้นมาจากโต๊ะก่อนจะขีดเขียนข้อความลงไป จากนั้นก็พับมันใส่ซองจดหมายจ่าหน้าถึงฝ่ายข่าวกรองของอัศวินศักดิ์สิทธิ์และสุดท้ายก็….
“อยู่ไหนน้า?”
ผมก้มตัวลงไปคว้าบางสิ่งที่ได้รับมาจากท่านสังฆราชเมื่อตอนเข้ามาอยู่ที่นี่แรกๆ ค้นหาอยู่นานสองนานในที่สุดก็เจอเจ้าสิ่งที่ตามหา มันมีลักษณะเป็นตราประทับขนาดสี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาดใหญ่พอๆ กับฝ่ามือ โดยตัวตราประทับสูงกว่าสิบเซนติเมตร ที่ยอดของมันมีตราของศาสนจักรประดับเอาไว้อยู่ ตรงกลางของตรามีประกายแสงเฉิดฉายบ่งบอกตำแหน่งพิเศษของนักบุญ
“ไม่นึกว่าจะได้ใช้เร็วขนาดนี้ แต่ไหนๆ ก็ไหนๆ ใช้มันเลยก็แล้วกัน”
ตึง
ผมประทับตราของตัวเองลงไปที่ซองจดหมาย เป็นการยืนยันว่าจดหมายนี้ส่งตรงจากนักบุญถึงหน่วยข่าวกรอง
เมื่อเจ้าจดหมายมีตราประทับนี้อยู่ ความสำคัญและความลับของมันจะถูกยกขึ้นสูงสุด เป็นรองแค่ตราของท่านสังฆราชเท่านั้น เพราะงั้นผมจึงมั่นใจได้ว่าการกระทำครั้งนี้ของผมไม่น่าจะถูกอีกฝั่งทราบและยังการันตีความปลอดภัยของผมได้อีกยาวๆ
ให้ตายสิออโรร่านะออโรร่า รู้สึกช่วงนี้เธอชักจะใช้อำนาจของนักบุญเยอะเกินไปแล้วมั้งเนี่ย ถึงมันจะดีก็เถอะ แต่ใช้ทีไรเหมือนจะมีงานงอกตามมามากกว่าที่ใช้อยู่ตลอด หวังว่าคราวนี้คงไม่มีอะไรแบบนั้นหรอกนะ?
“เอาล่ะที่เหลือก็เก็บตราแล้วเอาจดหมายไปส่ง…โอ้ย”
ผมร้องดังลั่นเมื่อมือของผมดันถูกเจ้าตราที่แบกอยู่หล่นทับเข้าอย่างจัง ความเจ็บที่ถูกของหนักราวกับเหล็กตันๆ ทับนั้นทำเอาผมน้ำตาไหล พลางรีบชักมือสะบัดๆ ทันที
ฮือออ เจ็บอะ นี่ใครมันบ้าเอาของหนักขนาดนี้มาให้เป็นตราประทับกันเนี่ย ถามจริงเถอะ ไม่กลัวใช้บ่อยๆ แล้วกล้ามขึ้นหรือไง!?
แต่จะว่าอะไรก็ไม่ได้ เพราะนี่มันความงี่เง่าของผมเองทั้งนั้น ดังนั้นผมเลยได้แต่แบกมันขึ้นแล้วยัดกลับไปเข้าลิ้นชักดั่งเดิมด้วยอารมณ์เซ็งๆ
“เอาล่ะ ถ้างั้นเอาจดไปหมายไปส่งที่หน่วยข่าวกรองเลยแล้วกั…”
“เรียกใช้งานพวกเราสินะครับ”
“กรี๊ดดด.”
ผมร้องตะโกนตกใจทันที เมื่อจู่ๆ มีไอ้บ้าที่ไหนไม่รู้พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเย็นๆ ราวกับผีดิบแถมมันยังค่อยๆ โผล่หัวของตัวเองขึ้นมาจากบริเวณขอบหน้าต่างห้องของผมอย่างช้าๆ อีกด้วย
“กรี๊ดดด ผีปีศาจ นั่นมันตัวบ้….”
ผมที่กำลังคว้าหมอนในมือของตัวเองเตรียมเปิดหน้าต่างออกไปปาอัดใส่เจ้าผีดิบตัวนั้นก็ยั้งมือเอาไว้ เมื่อตัวของมันโผล่ออกมาจนหมดจึงทำให้รู้ว่าเจ้านี่มันไม่ใช่ผีดิบแต่เป็นหนึ่งในอัศวินศักดิ์สิทธิ์ต่างหาก
“ต้องขออภัยที่ทำให้ตกใจ ตัวข้านั้นคือหนึ่งในอัศวินแห่งหน่วยข่าวกรอง อัศวินละอองแสง เอ็ดวินขอรับ”
อัศวินบ้าอะไรมันโผล่มาทางหน้าต่างฟะ? นี่เข้ามาแบบนี้ถ้ามันไม่ใช่โจรก็ต้องเป็นพวกถ้ำมองโรคจิตแล้ว!
“เอ่อ…แล้ว แล้วท่านอัศวินมีธุระอะไรงั้นเหรอคะ?”
ตัวผมที่ยังตกใจสั่นๆ อยู่ก็ถามเขาออกไป ในขณะที่มือยังกำหมอนแน่นเพราะหากมีอะไรไม่ชอบมาพากลจะได้ขว้างอัดมันทั้งแบบนี้เลย
แม้จะเป็นอัศวินก็วางใจไม่ได้ เพราะยังไงขึ้นชื่อว่ามนุษย์ มันย่อมต้องมีความโรคจิตอยู่ในตัวเองอยู่แล้ว
“ที่มีธุระหาใช่ข้าแต่เป็นท่านนักบุญขอรับ….เอ่อ บางทีข้าอาจจะเรียงลำดับอะไรบางอย่างผิดไป ตัวข้านั้นคือเอ็ดวิน อัศวินละอองแสงแห่งหน่วยข่าวกรอง ได้รับแต่งตั้งให้เป็นอัศวินผู้นำภารกิจอันยิ่งใหญ่จากท่านส่งต่อให้กับมิตรสหายแห่งหน่วยข่าวกรองขอรับ”
เมื่อมันพูดรายงานมาแบบนี้ก็ทำให้ผมเริ่มคลายมือของตัวเองออก แต่เอาจริงๆ นะ นายไม่ได้เรียงลำดับบางอย่างผิดหรอก มันผิดทั้งหมดเลย ผิดตั้งแต่ที่นายคิดจะเลือกเปิดตัวผ่านทางขอบหน้าต่างแล้ว
“ส่วนเรื่องที่ทำให้ตกใจข้าต้องขออภัยจริงๆ เนื่องด้วยข้านั้นเข้ากับคนไม่ค่อยเก่งเท่าไหร่ จึงไม่รู้ว่าควรจะปรากฏตัวอย่างไรให้เหมาะสมกับนักบุญเช่นท่านดี”
แล้วมาปรากฏตัวแบบผีริมหน้าต่างเนี่ยนะ! ถามจริงเถอะ ในวิหารแห่งนี้มันยังมีคนสติดีๆ พอให้ผมคุยอยู่บ้างไหม หรือว่าพวกนี้มันผีบ้าแบบนี้กันหมดเลยทุกคน?
เอาเถอะ เรื่องชวนปวดหัวแบบนั้นคงต้องเอาไว้ก่อน ตอนนี้มาคิดตามที่หมอนี่บอกมาน่าจะดีกว่า ผู้ส่งภารกิจสินะ งั้นก็คงหมายความว่าเป็นผู้ส่งสารประจำตัวของผมไปให้หน่วยข่าวกรองสินะ อืมๆ ก็นับเป็นเรื่องที่สะดวกดี เพราะอีกฝั่งจะได้ตามสืบการกระทำของผมได้ยากขึ้น ว่าแต่ไม่ยักจะเคยได้ยินเรื่องแบบนี้มาก่อน
“เอ่อ ไม่เป็นไรค่ะ ว่าแต่ตัวฉันไม่เคยได้ยินเรื่องผู้ส่งสารประจำตัวมาก่อนนะคะ มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่าคะ?”
“เนื่องจากหน้าที่นี้เป็นหน้าที่ที่ยิ่งใหญ่มาก จึงต้องใช้เวลานานกว่าจะตัดสินได้น่ะครับ”
อ๋อ พอเข้าใจสาเหตุแล้ว เพราะการส่งจดหมายระหว่างนักบุญกับหน่วยข่าวกรองนั้นอันตรายมาก อาจมีคนดักชิงตลอดเวลา ดังนั้นเลยต้องคัดเลือกคนที่มีฝีมือที่สุดมาสินะ อืมๆ
ว่าแต่มันคัดเลือกกันยังไงหว่า? น่าสงสัยจริงๆ ไอ้เราก็ยังไม่เห็นมีหนังสือไหนเขียนถึงเรื่องนี้เลย
“เข้าใจแล้วค่ะ ว่าแต่พวกท่านอัศวินคัดเลือกกันมาอย่างไรหรือคะ?”
ผมถามไปแบบสบายๆ เพราะคิดว่าคำตอบที่ได้รับคงไม่มีอะไรน่าปวดหัว ยังไงๆ การคัดเลือกหน้าที่ที่สำคัญอย่างนี้คงไม่มีทางมาทำอะไรเล่นๆ อย่างแน่นอน แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นอย่างน้อยก็เลือกคนที่มันไม่ชวนสยองแบบเจ้าผีดิบนี่หน่อยได้ไหม?
“เอ่อเรื่องนั้น เนื่องจากไม่ว่าใครต่างก็มั่นใจในฝีมือของตัวเอง….”
เอ็ดวินค่อยๆ เหลือบตาของเขาหลบไปด้านข้าง คล้ายไม่อยากจะสบสายตากับผม นั่นทำให้ผมเริ่มรู้สึกแปลกๆ เหมือนมีอะไรไม่ชอบมาพากล
“แล้วยังไงต่อคะ?”
ขอร้องล่ะพวก ขอให้ไม่ใช่แบบที่ผมคิดด้วยเถอะ
“ก็เลยตัดสินใจดำเนินพิธีที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดครับ…”
อย่าบอกนะว่า!
“นั่นคือให้พระเจ้าท่านเป็นผู้เลือกผู้เหมาะสมครับ”
นั่นไง! มันเอาอีกแล้วไอ้พวกนี้ ถามจริงเถอะ พวกนายช่วยทำอะไรให้มันเหมาะสมกับการเป็นอัศวินได้ไหม อย่างจัดการประลองอะไรแบบนี้น่ะ!
“สรุปว่าจับฉลากกันสินะคะ?”
เหงื่อของเอ็ดวินเริ่มแตกพลั่กๆ เขาหลบสายตาของผมมากกว่าเดิม จนราวกับว่าถ้าผมจ้องเขามากกว่านี้ตัวเขาคงได้เหงื่อแตกจนตัวแห้งเป็นซอมบี้แน่นอน
“เอ่อ เป็นการให้พระองค์ท่านเลือกสรรครับ”
“สรุปก็คือจับฉลากสินะคะ”
“เป็นการให้พระองค์ตัดสินผู้เหมาะสมครับ!”
“จับฉลากสินะคะ”
“ครับ ตามนั้นครับ”
เมื่อเอ็ดวินรู้ว่าสู้แรงกดดันของผมไม่ได้ ในที่สุดเขาก็ก้มหน้าลงด้วยสายตาที่แสนจะเต็มไปด้วยความกังวล มือของเขาเริ่มกำไปมาอย่างไม่ค่อยอยู่สุขเท่าไหร่
นี่นายโดนบังคับมาใช่ไหมเนี่ย?
“คือ..คือผมห้ามแล้วนะครับ แต่พวกเขาก็ยืนยันว่าวิธีนี้จะเหมาะสมกับท่านผู้อยู่ใกล้ชิดพระเจ้าที่สุด”
มันใช้ส่วนไหนของร่างกายคิดกันครับ! ไอ้หน้าที่แสนสำคัญแบบนี้มันควรจะจัดงานประลองหรืออะไรก็ได้เพื่อวัดฝีมือไม่ใช่หรือไง แล้วนี่อะไร จับฉลาก? นี่พวกนายหาคนมาทำงานให้นักบุญนะไม่ใช่ทำงานจิตอาสาหรือสุ่มหัวหน้าห้อง!
“แล้วไม่ลองจัดงานประลองดูล่ะคะ?”
“พวกเขาบอกว่าไม่ควรใช้ความรุนแรงตัดสินหน้าที่อันยิ่งใหญ่แบบนี้ ทั้งยังบอกว่าไม่ควรใช้กำลังภายในมหาวิหารแห่งนี้ด้วยครับ”
กับเรื่องแบบนี้ยังคิดได้เนอะ! ดูท่ามหาวิหารจะห้ามไม่ให้ใช้กำลังแต่คงไม่ได้ห้ามใช้กาวสินะ ตรรกะของพวกนายแต่ละคนมันถึงได้ป่วยกันได้ขนาดนี้น่ะ!
ผมค่อยๆ เหลือบตาไปมองจดหมายในมือของตัวเอง ในใจก็ได้แต่คิดอย่างเป็นกังวล
นี่ผมจะฝากงานสำคัญแบบนี้ให้ไอ้พวกบ้าเมากาวตรรกะป่วยแบบนี้ได้จริงๆ เหรอ?
หวังว่ามันคงไม่ได้เลือกคนไปสืบข้อมูลมาให้ผมด้วยวิธีการแบบเดียวกันใช่ไหม ขอร้องล่ะ อย่างน้อยแค่เรื่องนี้ก็ยังดี ไหว้เลยก็ได้
อา ดูท่าว่าชีวิตอันแสนโหดร้ายของผมมันคงไม่จบง่ายๆ สินะ
——————————————————————————————–
เอาล่ะ เปิดปมอะไรในเรื่องมาให้ทุกท่านเดาเล่นอีกเล็กน้อยนะครับ ก็หวังว่าจะชอบกัน ส่วนกาวก็เพลาๆ ลงกันบ้างนะ!