ซวยแล้ว! ผมดันโดนเตะมาเกิดใหม่เป็นนักบุญหญิงศักดิ์สิทธิ์ - บทที่ 43 ออโรร่าน้อยและคำขอบคุณของราชา
- Home
- ซวยแล้ว! ผมดันโดนเตะมาเกิดใหม่เป็นนักบุญหญิงศักดิ์สิทธิ์
- บทที่ 43 ออโรร่าน้อยและคำขอบคุณของราชา
เหตุการณ์สุดแสนจะฮีโร่ของชาร์ลได้จบลงไปพร้อมกับสติของเขา ร่างของเขาค่อย ๆ ล้มลง ทำเอาผมต้องรีบสไลด์ตัวไปรับอย่างรวดเร็วก่อนที่เขาจะล้มหัวฟาดพื้นสมองกลับแล้วคิดอะไรแปลก ๆ ขึ้นมาอีก
หลังจากนั้นไม่นาน ในที่สุดก็มีคนมาเจอพวกเรา โดยส่วนมากเป็นคนของทางศาสนจักร สาเหตุคงเป็นเพราะผมหายตัวไปด้วย ทำให้สองขั่วอำนาจในเรสเวนน่าต้องขยับพลิกตัวหากันเละเทะ
แน่นอนว่าฉากชาร์ลไฮเปอรโหมดนั้นมีบางคนเห็นพอดี ดังนั้นแน่นอนว่าต้องเป็นข่าว และแน่นอนว่าข่าวที่มีผมเกี่ยวข้องนั้น…. เชื่อได้เลย มันไม่ธรรมดาแน่นอน
“ไม่อยากจะคิด ว่าท่านชาร์ลจะเป็นนักรบศักดิ์สิทธิ์”
“นายเห็นใช่ไหม ในจังหวะที่เราเข้ามา ร่างของท่านที่ส่องประกายเจิดจ้ากำราบเหล่าคนชั่วในพริบตาเดียวน่ะ”
ดูเหมือนเป็นการเล่าสถานการณ์ปรกติ ทว่ามันยังไม่จบแค่นั้น ที่เจ้าพวกบ้านี่พูดกัน ไม่ว่าอย่างไรมันก็ดูเป็นแค่การเกริ่นนำก่อนเข้าสู่หายนะที่แท้จริง
“แน่นอน และข้าเห็นอะไรที่มันยอดยิ่งกว่านั้น ข้าเห็น เห็นท่านนักบุญที่อยู่เบื้องหลังขององค์ชายชาร์ลกำลังสวดอ้อนวอนให้ท่าน”
นั่น! มันเริ่มมาแล้ว ผมเดาไว้ไม่ผิด มันต้องไม่มีความปรกติในสมองของเจ้าพวกบ้านี่จริง ๆ ด้วย
“ท่านนักบุญต้องใช้พลังแห่งศรัทธาอันมากล้นของท่าน ขอพลังอันยิ่งใหญ่จากพระผู้เป็นเจ้าเพื่อสนับสนุนองค์ชายชาร์ลแน่ ๆ แบบท่านนักบุญบางท่านเคยทำไง”
นั่นมันเวทของเจ้าผีบ้าพวกนั้นอะ ที่ผมทำแค่ใส่เอฟเฟคไปเท่านั้น….
“หึ ๆ สมเป็นนักบุญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของเรสเวนน่า ไม่ว่าปาฏิหาริย์ใด ๆ ก็สามารถดลบันดาลให้เกิดได้”
“ใช่แล้ว เจ้าดูสิ ขนาดองค์ชายชาร์ลที่มืดมน หลังได้รับพรของท่านนักบุญแล้ว ท่านช่างดูเจิดจ้าเหลือเกิน”
อันนั้นขอรับไว้ด้วยความยินดี ที่ชาร์ลพ้นหนทางแห่งความมาโซแล้วมาสู่หนทางที่สดใสกว่านั้นเป็นเพราะคำพูดผม แต่ขอปฏิเสธในเรื่องพรแล้วกัน เพราะที่ทำนี่….ผมเน้นโม้ล้วน ๆ
สุดท้าย ทั้งผมและชาร์ลที่หมดสติอยู่ ก็ถูกพาตัวกลับมายังราชวัง พวกเราถูกรุมล้อมจากคนจำนวนมาก อย่างแรกเลยคือทหารที่มากองอยู่บริเวณนี้แน่นขึ้นเพื่อไม่ให้ใครสามารถลักพาตัวพวกเราได้อีก….. ถึงที่จริงแต่ละคนมันจะวิ่งไปกันเองก็เถอะ
ต่อมาคือชาร์ล คนแรกที่วิ่งหาเขาคงไม่ใช่ใครอื่น ราชาออสวาร์ล เขารีบวิ่งมากอดลูกของเขาด้วยแววตาและน้ำเสียงเป็นห่วง
“ขอโทษด้วยท่านพ่อ ที่ทำให้เป็นห่วง”
“แค่ลูกปลอดภัย พ่อก็ดีใจแล้ว”
“จากนี้ไปขอท่านพ่อเชื่อข้า ข้าจะไม่ทำให้ใครต้องเป็นห่วงอีก”
ชาร์ลตอบกลับพ่อของเขาไป ทว่ามันไม่ใช่แค่คำพูดตามรูปแบบ แต่ทั้งน้ำเสียงและแววตาที่ชาร์ลสื่อออกมานั้น หากไม่ว่าใครมอง มันช่างดูน่าเชื่อถือและเชื่อมั่น ราวกับเป็นคำพูดที่กล่าวออกมาโดยอัศวินผู้กล้าหาญ ไม่ใช่ของเด็กอายุไม่ถึงสิบ
และสุดท้าย แน่นอนว่าชาร์ลไม่ลืมที่จะยิ้มออกมาด้วยรอยยิ้มอันแสนเจิดจ้าทวีคูณยิ่งกว่าตอนอยู่ในบ้านราวกับจ่ายค่าประสบการณ์ทั้งหมดที่ได้จากครั้งนี้ให้กับสกิลรอยยิ้ม ทำเอาหลาย ๆ คนสติหลุดลอยไปด้วยรอยยิ้มอันเจิดจ้านั่น…. ให้ตายสิ
ราชาออสวาร์ลเห็นแบบนั้นก็นิ่งไปสักพัก ก่อนที่สีหน้าของราชาจะอ่อนลงมากแล้วยิ้มให้กับลูกชายตัวน้อยของเขาพร้อมกับมองด้วยแววตาอันอ่อนโยน
“ขอบคุณพระเจ้า…. ขอบคุณท่านนักบุญ”
ด้วยความยินดี ไม่ต้องเกรงใจแต่ถ้าให้ดี ขอขนมแถมให้ด้วยนะ
แน่นอนว่าตรงบริเวณของชาร์ลนั้นเอ่อล้นไปด้วยบรรยากาศแห่งครอบครัว ช่างตรงข้ามกับของผมที่ตอนนี้ถูกห้อมล้อมไปด้วยเหล่านักบวชและอัศวินจำนวนมาก
“โอ้ท่านนักบุญ ด้วยปฏิหาริย์ของท่านทำให้องค์ชายปลอดภัย พระเจ้าช่างเลือกถูกคนอย่างแท้จริง”
“ไม่มีความจำเป็นที่พวกเราจะต้องห่วงอะไรจริง ๆ พระเจ้าทรงปกปักษ์ตัวท่านตลอด แม้แต่คนที่อยู่รอบตัวท่านยังได้รับการปกปักษ์ไปด้วย”
“โอ้ สมเป็นท่านนักบุญ สามารถอัญเชิญวิญญาณนักรบศักดิ์สิทธิ์มาประทับร่างองค์ชายได้เช่นนี้ ขอพลังของท่านทรงสถิตกับพวกเรา”
เอ่อ…. คือสรุปจะมีคนเป็นห่วงผมบ้างไหม ตอนนี้ให้ผมพูดตรง ๆ นะ ความรู้สึกของผมมันเหมือนราวกับผมกลายมาเป็นศาลพระภูมิให้พวกนี้มาชมหรือมาสวดอ้อนวอนอะไรก็ไม่รู้สิ
แน่นอนว่าความจริงไม่ใช่แบบนั้น พวกพระชั้นผู้ใหญ่ หรือขุนนางเองก็เดินเข้ามาทักถามสุขภาพผมด้วยความเป็นห่วง บ้างมีถามถึงบาดแผล บ้างมีถามความรู้สึก ซึ่งแน่นอน กับเด็กน้อยอายุหกปีนั้น การมาเจออะไรแบบนี้มันมากเกินกว่าที่จะทนได้ แต่พอผมตอบว่าไม่มีปัญหา คำตอบที่ได้รับคือ “สมเป็นท่านนักบุญ” ไม่รู้จะดีใจหรือเสียใจดี
ก่อนที่จะปิดท้ายที่ราชาออสวาร์ล เขาเดินเข้ามาหาผมช้า ๆ ทุกคนที่อยู่รอบ ๆ นั้นหลีกทางให้เขาโดยยืนกันไม่ให้คนอื่นเข้ามา
พระราชาโค้งหัวให้ผมทีหนึ่ง ส่วนผมก็รีบโค้งหัวกลับอย่างว่องไวเพราะอย่างไรเสียเขาก็เป็นทั้งผู้ใหญ่กว่า และว่าเชิงอำนาจ เขาก็ใหญ่กว่าผมด้วย
“ได้ยินจากชาร์ลแล้ว ว่าท่านออโรร่าวิ่งตามหาเขาด้วยตัวคนเดียว ครั้งนี้ในฐานะของบิดาและราชา ข้าต้องกล่าวคำขอบคุณท่านอย่างแท้จริง”
น้ำเสียงของเขานั้นช่างจริงจัง ใบหน้าเองก็เช่นกัน มันจริงจังมากซะจนผมรู้สึกประหม่าไม่รู้จะทำตัวอย่างไร
“เอ่อ… เอ่อ ไม่ถึงขั้นนั้นหรอกค่ะ พอรู้ว่าชาร์ลหายตัวไป ร่างกายของหนูมันก็ขยับไปเอง”
“ไม่ว่าจะเป็นใคร หรืออันตรายขนาดไหนก็พร้อมที่จะเสี่ยงเข้าไปช่วย ท่านช่างมีคุณสมบัติของนักบุญอย่างแท้จริง”
ราชากล่าวชมผมมาแบบนี้ทำเอาผมได้แต่เกาแกล้มแกรก ๆ อย่างเขินอายเพราะว่าอันที่จริงแล้วผมไปช่วยเขาเพราะเอ่อ…. เหตุผลกลไกทางสังคม แต่ก็เอาเถอะ อย่างน้อยทุกอย่างก็จบได้ด้วยดี
“และที่ข้าต้องขอบคุณที่สุดเห็นจะเป็นการที่ท่านช่วยเหลือชาร์ล ช่วยเหลือจิตใจของเขา”
ไม่ทันที่จะได้พูดจบ ราชาก็เหมือนนึกได้ว่าเขากำลังจะพูดถึงเรื่องส่วนตัวของครอบครัวขึ้นมาทำให้เขาหยุดไว้ก่อน เขาค่อย ๆ ย่อตัวของตัวเองให้เท่ากับระดับความสูงของผม จากนั้นก็ยิ้มออกมาและยื่นมือมาหาผมด้วยท่าทีแบบขุนนางตัวอย่าง
“ถ้าไม่รังเกียจ ขอข้าขอบคุณเป็นการส่วนตัวจะได้ไหม”
พอเจออะไรที่มันไม่ใช่การบูชาและยิ่งเป็นเชิงมารยาทผสมกับความสนิทสนมแบบนี้แล้ว มันทำให้รู้สึกไม่ค่อยชินเท่าไหร่ ผมเลยเผลอทำสายตาล่อกแล่กไปมา มือสองข้างก็เผลอกำกระโปรงสีขาวสวยทั้งสองจนเริ่มยับยู่ยี่
“เอ่อ….. อ่า…. ยินดีค่ะ”
สุดท้ายอย่างไรก็ต้องตกลงอยู่ดี ผมค่อย ๆ ปรับลมหายใจของตัวเองก่อนจะยื่นมือเล็ก ๆ ของผมไปจับมือที่ทั้งใหญ่และหยาบกร้านกว่าของราชาออสวาร์ลก่อนที่จะปล่อยให้เขาเดินจูงมือไปอย่างง่ายดาย
หลังเดินผ่านสารพัดทางเดินที่เต็มไปด้วยของหรูหราจำนวนมาก ในที่สุดผมกับราชาก็มาถึงห้องรับรองขนาดใหญ่ซึ่งในตอนนี้มีเพียงแค่ผมกับเขาเท่านั้น ทำให้เขาเลือกที่จะใช้โต๊ะหรูติดหน้าต่างขนาดใหญ่มากกว่าโต๊ะไม้ขนาดยักษ์กลางห้อง
นั่งไม่เท่าไหร่ก็มีชุดน้ำชากับอาหารว่างที่ไร้ซึ่งขนมมาเสิร์ฟ พระราชาช่างเข้าใจในตัวผมจนอยากจะร้องไห้จริง ๆ
“เชิญทำตัวตามสบาย นะ ข้าแค่อยากเลี้ยงน้ำชาขอบคุณที่ช่วยเหลือลูกชายข้าน่ะ”
“คือ…ก็แค่เพื่อนช่วยเหลือเพื่อนเท่านั้นเองค่ะ”
ใช่ ที่ผมตัดสินใจไปช่วยชาร์ลในตอนนั้น ถึงแม้จะมีการปลุกกระตุ้นจากเจ้าโลธ์ด้วยเถอะ แต่สุดท้ายแล้ว ผมก็อยากช่วยสหายร่วมวัยของผมอยู่ดี
“นั่นก็เรื่องหนึ่ง ที่ข้าอยากขอบคุณที่สุดคงเป็นเรื่องที่ท่านช่วยเหลือเขาจากจิตใจที่เศร้าหมองนั่น”
“เอ๋?”
ตอนที่ราชาออสวาร์ลพูดขึ้นมาแบบนี้ เขาก็ก้มหน้าของตัวเองไปมองน้ำชาในแก้วด้วยแววตาหม่นหมองลงเล็กน้อย
“เห้อ บางทีอาจเป็นความผิดของข้าก็ได้ที่มีเวลาให้ลูก ๆ ของตัวเองน้อยไป โดยเฉพาะเจ้าชาร์ล”
น้ำเสียงนั่นบ่งบอกได้ถึงความอัดอั้นในใจของเขาที่มีมาอย่างยาวนาน ตัวผมที่ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดีจึงทำเพียงจิบชาตรงหน้าและฟังอย่างตั้งใจเท่านัน้
“ตั้งแต่เกิดมา เขาน่ะอยู่ใต้เงาอันยิ่งใหญ่ของพี่ชายมาตลอด พี่ชายผู้เก่งกาจหาผู้ใดเทียบไม่ได้”
โห เจ้าชายสายโหดคนนั้นน่ะนะ? ก็พอมีแววอยู่นะ
“นั่นน่ะสร้างความกดดันให้กับเขามากพอควรเลยล่ะ แล้วไหนยังจะเกิดเหตุการณ์ลอบสังหารหลายต่อหลายครั้งเพราะเกมการเมืองของพวกขุนนาง”
อืมสุดยอดไปเลย….. สุดยอดในหลาย ๆ เรื่อง แต่สุดยอดสุดมันก็ตัวท่านที่มานั่งเล่าเรื่องแสนจะซีเรียสนี้ให้กับเด็กหกขวบอย่างผมฟังได้หน้าตาเฉย นี่ถ้าผมเป็นเด็กหกขวบจริง ๆ คงได้แต่ฟังแบบเอ๋อ ๆ ไปแล้ว
“มีหลายคนรอบตัวเขาที่ต้องเจ็บตัวเพราะเรื่องพวกนี้ ไม่ว่าจะเป็นคนคุ้มกันหรือเพื่อนที่รู้จัก นั่นทำให้เขาโทษตัวเองมาโดยตลอด”
ฟังมาถึงตรงนี้ ผมก็นึกถึงสภาพของตัวเองที่ตอนนั้นไปลอบฆ่าเจ้าชาร์ลด้วยความสติแตกแล้วได้แต่หยิบผ้ามาเช็ดเหงื่อของตัวเองที่เริ่มแตกพลั๊ก ๆ
“ความผิดข้าที่มัวแต่ยุ่งเรื่องการบริหารมากไปจนไม่สังเกตถึงความโดดเดี่ยวและความเศร้าที่เก็บไว้มาตลอด แม้ว่าชาร์ลจะพยายามทำตัวให้แข็งแกร่งมาตลอดแค่ไหน แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ความมืดนั่นจางหายไป”
“เห้อ…นี่ถ้าได้พูดคุยกันมากกว่านี้ อาจจะดีกว่านี้ก็ได้…แต่ว่ากว่าจะรู้ เขาก็กลายมาเป็นแบบนี้ซะแล้ว…หลงทางในความสิ้นหวัง”
โอเค เป็นมาโซ แสดงว่าท่านพอรู้ตัวอยู่แต่ไม่มีเวลาว่างจะมาแก้สินะ…. ก็พอเข้าใจอยุ่เพราะการจะบริหารบ้านเมืองในสภาวะที่คนสติไม่ปรกติเดินกันให้ว่อนนี่… คงยากพอสมควร
“และแล้วมันก็มาระเบิดเอาในวันนี้… ข้านึกว่าข้าจะเสียลูกข้าไปแล้วแต่ก็ได้ท่าน ท่านนักบุญ ไม่รู้ว่าด้วยอะไรแต่ข้าเห็นถึงแววตาที่เปลี่ยนแปลงไปของเขา”
พอพูดมาถึงตรงนี้ แววตาของราชาก็เปลี่ยนไป มันเป็นแววตาที่ดูอบอุ่น ความหมองหม่นเมื่อครู่ได้หายไปพร้อมกัน ราชาก็คลี่ยิ้มออกมาบาง ๆ
“แววตาที่เต็มไปด้วยความกังวลใจและเศร้าใจนั้นหายไป หรือแต่ความกล้าหาญและความหวัง”
ผมวางแก้วชาในมือลงก่อนยิ้มให้กับราชา เพราะความกังวลใจของผมกับเขานั้นช่างคล้ายกัน และแน่นอนว่าผมช่างยินดีกับการที่ชาร์ลกลับมาเป็นผู้เป็นคนได้
“ช่างเป็นเรื่องที่น่ายินดีจริง ๆ ค่ะ”
ราชาได้ยินแบบนั้นก็หัวเราะออกมานิดหน่อย เขายังคงรอยยิ้มนั้นให้กับผม มันเป็นรอยยิ้มของผู้ใหญ่ที่เอ็นดูเด็กอย่างชัดเจน
“ฮ่า ๆ นั่นล่ะ น่ายินดีมากเลย”
“และชาร์ลบอกข้ามาว่า ทั้งหมดนั่นเพราะคำพูดของท่าน ข้าล่ะอยากรู้จริง ๆ ว่าท่านพูดอะไรไปถึงทำให้เขาเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้”
“แค่มอบกำลังใจนิด ๆ หน่อย ๆ แค่นั้นล่ะค่ะ”
แน่นอนว่าของแบบนี้อย่าโม้มาก เพราะล่าสุด พวกข้างนอกน่าจะโม้อย่างจัดหนักจัดเต็มไปแล้ว หากผมมาโม้เพิ่มอีก มีหวังตัวตนของนักบุญมันจะต้องเพี้ยนและบิดเบี้ยวไปอย่างแน่นอน
“กำลังใจงั้นเหรอ นั่นสินะ สิ่งที่เขาต้องการที่สุดคงเป็นสิ่งนั้น… ว่าแต่บอกหน่อยได้ไหม ว่ากำลังใจแบบใดกันที่ท่านมอบให้เขา”
“หนทางแห่งวีรบุรุษค่ะ”
แน่นอนว่าที่ต้องทำแค่ตอบไปตรง ๆ เพราะที่ผมทำไปก็แค่การพูดเท่านั้น ที่เหลือนั้นมันก็เป็นฝีมือกับกำลังใจที่ระเบิดดุจพระเอกโชเน็นของเจ้าชาร์ลเอง
“หนทางของวีรบุรุษ?”
“ค่ะ ท่านก็บอกเองนี่คะว่าเขากำลังหลงทาง เพราะงั้นหนูจึงพยายามชี้ทางค่ะ ชี้ทางที่ไม่ว่าเด็กคนไหนก็อยากเป็น”
“แปลว่าท่านก็อยากเป็นด้วยงั้นเหรอ”
“แน่นอนค่ะ”
ใช่ ไม่ว่าจะเด็กคนไหนก็ล้วนอยากจะเป็นฮีโร่ทั้งนั้น แม้กระทั่งตัวผมเอง ทุกวันนี้ยังอยากเป็นผู้กล้าสุดเท่อยู่เลย อยากเป็นอัศวินสุดเท่ที่ลุยในสนามรบน่ะ
“งั้นท่านก็ได้เป็นแล้วล่ะ”
เอ๋?
ราชาพูดทิ้งท้ายไว้แบบนั้นก่อนที่เขาจะเปลี่ยนเรื่องไปค่อยเรื่องทั่วไป จากนั้นเขาจึงขอตัวกลับไปดูแลลูกชายของเขาก่อน ทำให้ผมแยกตัวออกมาเพื่อกลับไปที่ห้องนอนของตัวเอง
และด้วยการที่เห็นเหตุการณ์แบบเดาไปเรื่อยของเจ้าพวกที่มาช่วยพวกผม มันก็ไม่ทำให้ผมผิดหวัง ตอนนี้เกิดข่าวลือสารพัดขึ้นมา ซึ่งฟัง ๆ มาก็ดูจะเป็นผลดีกับชาร์ลเสียด้วย เพราะข่าวมาว่าขุนนางหลาย ๆ คนมองเขาในแง่ดีขึ้น
ข่าวจากหลายแหล่งที่ผมไปแอบฟังมา รู้สึกว่าเขาจะได้ฉายามาด้วยนะ “เจ้าชายอัศวินศักดิ์สิทธิ์” ถามว่าผมรู้สึกอย่างไรน่ะเหรอ? โคตรอิจฉาเลยสิ มันเป็นอะไรที่ผมอยากเป็นมากเลยนะ อัศวินเท่ ๆ ลุยในสนามรบ
เอาเถอะ แต่ก็นั่นล่ะ ด้วยเหตุนั้นทำให้กำลังสนับสนุนของชาร์ลในจุดนี้มีมากขึ้น แถมยังมีข่าวว่าทางศาสนจักรมีส่งนักบวชชั้นสูงไปทักทายกับสนับสนุนอีกนะ ให้ตายเถอะ การเมืองนี่ยุ่งยากจริง ๆ
ทว่าอย่างน้อยมันก็ทำให้เจ้าเด็กน้อยคนนั้นกลายมาเป็นเจ้าชายผู้สดใสสมวัยอย่างแท้จริง แต่ดูเหมือนมันจะสดใสไปหน่อย รอยยิ้มที่สว่างเจิดจ้านั้นทำเอาลูกสาวขุนนางหลงกันไปเต็ม ๆ ทำให้เดือนต่อมามีข่าวว่ามีจดหมายขอหมั้นส่งมาเพียบ…. หึ พวกเพียบพร้อมเอ้ย ทำไมชาติก่อนผมไม่ได้แบบนี้บ้างนะ
“อ้าว นั่นท่านนักบุญไม่ใช่เหรออย่างไร”
ในระหว่างที่ผมเดินอยู่ในสวนเพื่อพักผ่อนคลายอารมณ์อยู่นั้นเอง ก็มีเสียงทักขึ้นมาจากด้านหลัง มันเป็นเสียงที่เต็มไปด้วยความเจ้าเล่ห์อย่างหาที่สุดจะไม่ได้
ไม่ใช่ใครอื่นใด คือเจ้าเคาท์เฮอร์แมนคนที่สั่งการให้พวกชายชุดดำพวกนั้นไปลอบสังหารหรือลักพาตัวเจ้าชาร์ลนั่นเอง
เขายังคงลุคเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ผมแดงส้มยาวมัดเป็นเปียดุจขุนนางลูกน้องบอสใหญ่พร้อมกับเคราหนาที่ส่งเสริมความเป็นตัวร้ายเกรดบีอีกขั้นหนึ่ง ตอนนี้เขากำลังยิ้มและมองมาที่ผมด้วยสายตามีเล่ห์นัย
“ขอบคุณพระองค์ที่ช่วยองค์ชายด้วยนะครับไม่งั้นพวกเรา…. คงจะต้องเสียองค์ชายไปจริง ๆ ซะแล้ว”
ยิ่งพูดยิ่งดูเป็นตัวโกง นี่ไม่พอใจที่ผมพังแผนการของนายใช่ไหมล่ะ หึ เดี๋ยวฉันจะใช้ความสดใสของออโรร่าน้อยตอบกลับใส่ให้ดู
ผมค่อย ๆ พยายามรวบรวมสติก่อนค่อย ๆ คลี่ยิ้มออกมาให้ดูน่ารักที่สุด พร้อมกันก็ค่อย ๆ หันหน้าไปโดยจัดองศาหน้าให้ดูน่ารักที่สุดจากมุมนั้นแล้วค่อย ๆ พยายามพูดออกมาด้วยเสียงใสแจ๋ว
“แน่นอนค่ะ ชาร์ลเป็นเพื่อนคนสำคัญของหนู ย่อมต้องช่วยเป็นธรรมดาอยู่แล้วนะคะ”
ทว่าขนาดเห็นรอยยิ้มอันสดใสนี้แล้ว ชายตัวร้ายตรงหน้ายังคงไม่เปลี่ยนใบหน้าอันเจ้าเล่ห์ของเขา แต่กลับยิ่งยิ้มออกมาให้ดูน่าหวาดระแวงยิ่งกว่าเดิมอย่างไม่เก็บอาการ
“เป็นเรื่องดี ๆ แต่ตอนนี้ท่านนักบุญเองก็ต้องระวังตัวไว้หน่อยนะครับ ถึงแม้ท่านจะมีโบสถ์คุ้มครอง แต่รู้สึกว่าท่านจะ….. ไปขัดขาของใครบางคนเข้า เพราะงั้นมันคงไม่จบง่าย ๆ แน่นอน”
โห พูดมาขนาดนี้นี่คือเตือนผมใช่ไหม นี่มาเตือนว่าผมไปก่อกวนแผนการของนายเลยคิดจะหาทางเก็บผมสินะ คิดว่ามันจะทำได้ง่าย ๆ เหรอไง!
ไม่สิ… แต่คนที่ทำให้ศาสนจักรเสื่อมอำนาจลงไปขนาดนี้ก็เจ้าหมอนี่นี่หว่า… สงสัยคงต้องระวังตัวหน่อยแล้วสิ
“นี่ข้ามาเตือนด้วยความหวังดีนะ…โปรดระวังตัวด้วย”
“ค่ะ ขอบคุณมากค่ะ”
แต่ถึงแบบนั้นผมต้องทำเป็นยิ้มใจดีสู้เสือก่อน ตามหลักที่ว่ายิ่งเราเด็กน้อยมากแค่ไหน เขายิ่งประมาทมากเท่านั้น ดังนั้นผมจึงยังคงใบหน้าอันแสนสดใสเวอร์ของออโรร่าเหมือนเคย
“อ๋อใช่แล้ว ภาคเหนือเป็นสถานที่สวยงาม หวังว่าท่านจะถูกใจนะ”
“เอ๋?”
จู่ ๆ เจ้าหมอนี่ก็พูดถึง ภาคเหนือแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ทำเอาผมได้แต่เอียงคอมองเขาอย่างสงสัย
“ท่าท่างราชสำนักคงเห็นท่านเพิ่งเจอเหตุร้ายมาคงอยากให้พักผ่อน…. หึ ๆ”
โห ฟังแล้วน้ำตาจะไหล หลังจากทำงานตรากตรำทำงานมาอย่างหนักหน่วง ในที่สุดพวกเขาก็เห็นถึงความยากลำบากของการเป็นนักบุญของผมสักที…. กราบยาว ๆ
“ทว่าความงดงามนั่นมันก็มีเงาร้ายซ่อนอยู่เสมอ ระวังตัวด้วยก็แล้วกันท่านนักบุญ”
หลังจากพูดประโยคอันแสนจะเป็นตัวร้ายผู้วางแผนอยู่เบื้องหลังเกรดบีจบแล้ว เขาก็เดินจากไปทิ้งเอาไว้เพียงแค่บรรยากาศอันแสนอึดอัด
ให้ตายสิ จบเรื่องยุ่งยากอันหนึ่งเหมือนจะมีเรื่องอันสบาย ๆ โผล่มา แต่ไหงดันจะมีความซวยมาเยือนอีกเนี่ย