ซวยแล้ว! ผมดันโดนเตะมาเกิดใหม่เป็นนักบุญหญิงศักดิ์สิทธิ์ - บทที่ 46 ออโรร่าน้อยกับวิชาผนึกผี!!!
- Home
- ซวยแล้ว! ผมดันโดนเตะมาเกิดใหม่เป็นนักบุญหญิงศักดิ์สิทธิ์
- บทที่ 46 ออโรร่าน้อยกับวิชาผนึกผี!!!
ผ่านไปเป็นเวลาสองวันตั้งแต่ที่ผมได้เดินทางที่เมืองกลอริเอล โดยวันเวลาส่วนใหญ่ในช่วงเช้าของผมก็หมดไปกับการทำสารพัดพิธีการทางศาสนาทั้งกล่าวนำสวดหรือทำพิธีกราบไหว้พระเจ้าตอนเช้า ทำเอาย้อนคิดไปถึงช่วงที่ยังอยู่มหาวิหาร
แน่นอนว่าวิธีการของผมในการจัดการปัญหานี้นั้นช่างง่ายดาย… ไม่พ้นที่ผมจะใช้วิธีเดิม หรือก็คือนอน…… อาศัยตอนก้มกราบแล้วอาศัยช่วงนั้นหลับยาว ๆ
ถามว่าได้ผลไหม มันก็ได้ผลอยู่ เหล่านักบวชรอบข้างนั้นไม่มีใครกล้าที่จะมารบกวนผมอย่าแน่นอน บางคนก็เข้าใจไปไกลเลยว่าผมกำลังเชื่อมต่อกับพระเจ้าแบบเดียวกับที่เกิดขึ้นที่มหาวิหาร
ทว่าปัญหามันติดอย่างเดียว….. ท่ามกลางยามเช้าอันแสนสบาย มันมีปัญหาหนึ่งที่ทำให้ความสงบสุขของผมมันพังทลาย
“นี่เจ้าตั้งใจหน่อยเซ่!!! ถึงคนอื่นจะไม่รู้แต่ว่าข้ารู้นะว่าเจ้าแอบหลับ ช่วยทำงานให้สมกับที่เขาเชิญเจ้ามาหน่อยจะได้ไหม”
ใช่… ปัญหามันติดแค่อย่างเดียวคือเจ้านกนรก ราส ที่คอยบ่นผมเช้า บ่นผมเย็นอยู่นั้นล่ะ
โถ่ เจ้านกบ้า กับแค่ตอนเช้าน่ะขอให้ผมหน่อยเถอะ รู้ไหมว่ามันทรมานแค่ไหนที่ให้เด็กน้อยวัยใสมาตื่นแหกตา เด็กน่ะต้องการการพักผ่อนที่เพียงพอนะ
“เมื่อวานเจ้ากินอาหารจากงานเลี้ยงเสร็จตั้งแต่สองทุ่มก็หลับยาวยันเช้า รวม ๆ แล้วก็สิบชั่วโมง…. สิบชั่วโมงเลยนะรู้ไหม!!! ถ้านอนนานกว่านี้เจ้าก็กินเมืองได้ทั้งเมืองแล้ว”
หนอย… มาว่าผมว่านอนกินบ้านกินเมืองอย่างงั้นเหรอ รู้ไหมว่าหากไม่นับตอนเช้าผมก็ทำงานสมราคาค่าตัวตลอดนะ!!!
“นี่เจ้าเป็นนักบุญหรือพระรับจ้างเนี่ย”
ถึงเจ้าราสจะบ่นไม่หยุดสมเป็นนกก็ตาม ทว่ามีหรือจะสู้ความง่วงของผมได้ หลังทนแหกตามาอย่างยาวนาน ในที่สุดผมก็เผลอหลับยาวจนจบพิธี
ซึ่งหลังจากช่วงพิธียามเช้าแล้วนั้นถือว่าเป็นช่วงเวลาแห่งความสุขอย่างแท้จริง หรือก็คือเวลาว่าง!!! ใช่แล้ว ในช่วงนี้เองที่ผมได้รับอิสระในการจะไปทำอะไรก็ได้!!!
แต่ก็แค่ในบ้านพักรับรองล่ะนะ…… เศร้า
ก็พอเข้าใจอยู่หรอกว่ากับเด็กอายุหกขวบ การปล่อยไปไหนมาไหนคนเดียวกลางเมืองใหญ่นั้นมันอันตราย แต่พอมาเจอกับตัวแบบนี้มันก็รู้สึกเบื่อเหมือนกัน
เพราะงั้นหลังเสร็จงานทุกอย่างผมก็เลยมาดิ่งทิ้งตัวลงนอนพร้อมกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนเตียงประดุจปลาขึ้นอืดยาว ๆ
“ข้าว่าเจ้าควรใช้เวลาว่างในตอนนี้ในการศึกษาหาความรู้อย่างที่นักบุญควรจะทำนะ”
และน่าเบื่อยิ่งกว่าเมื่อราวกับมีคุณแม่….. คุณครูฝ่ายปกครองมานั่งเป่าหูอัดใส่เช้าอัดใส่เย็น แบบ…. ความรู้ระดับเด็กประถมในตำราที่พวกเขาเอามาให้ผมน่ะมันง่ายจนไม่ต้องเรียนก็ยังเข้าใจได้เลย
“หึ ๆ อย่าดูถูกวิชาไป อย่างพวกเวทศักดิ์สิทธิ์หรือพวกคำสวดหลาย ๆ ข้าว่าเจ้าน่าจะยังไม่รู้ไม่ใช่เหรอไง”
ของพวกนั้นน่ะ ด้วยพรของเจ้าพระเจ้านั่นมันให้ผมใช้เวทได้แทบทุกอย่างเพียงแค่นึกใช้แล้วสวดภาวนาเพราะงั้นเรียนไปก็…… เหนื่อยเปล่า
“ด้วยศรัทธาและความเมตตาของพระองค์ นั่นทำให้เวทใด ๆ ล้วนใช้ได้ดั่งศรัทธาที่หนูมีค่ะเพราะงั้นเรียนไปก็…..”
“ลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้ เจ้าอืดเป็นปลาแล้วนะ!!”
อา~~ รู้สึกได้ถึงแรงดึงดูดของเตียง
“ฉันว่าเตียงนี้คงมีคำสาปอย่างแน่นอนค่ะ ไม่รู้ทำไมถูกราวกับโดนดูดจนลุกไม่ได้”
“คำสาปที่เรียกว่าความขี้เกียจน่ะสิ ลุกขึ้นมา นี่แนะ ๆ”
“โอ๊ย ๆ คุณวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ใช้ความรุนแรงแบบนี้ได้ด้วยเหรอคะ”
ผมดูถูกเจ้านกผีนี่มากไป นึกว่ามันจะทำได้แค่เสียง แต่นึกไม่ถึงว่าทุกครั้งที่มันสามารถจิกผมได้จริง ๆ ถึงจะไม่ได้ทิ้งรอยแผลไว้แต่ทุกครั้งที่จะงอยปากเรืองแสงของมันจิกลงมา ราวกับถูกไฟฟ้าสถิตช็อตรัว ๆ
“ก็ได้…ลุกก็ได้ค่ะ”
และแล้วผมก็ต้องยอมแพ้ทั้งน้ำตาเมื่อทนฤทธิ์ปากไฟฟ้าของมันไม่ไหว สุดท้ายก็ต้องยอมดีดตัวขึ้นมาแล้วคว้าหนังสือสักเล่นมาอ่านเพื่อยุติการทารุณกรรมออโรร่าน้อยของสัตว์ร้ายอันป่าเถื่อน
หนอย ฝากไว้ก่อนเถอะ….. ได้โอกาสเมื่อไหร่แกโดนยัดหม้อแน่เจ้านกผี
“ฉันล่ะหวังว่าโอกาสจะได้พาคุณวิญญาณศักดิ์สิทธิ์มาอยู่ในมื้ออาหารสำคัญจะมาถึงเร็ววันจังเลยค่ะ”
“เหอะ ขี้เกียจเช่นเจ้าชาติหน้าก็ทำอะไรข้าไม่ได้หรอก เอ้าตั้งใจหน่อย”
ดูมันพูดท้าทาย แต่เอาเถอะ ความแค้นสะสางสิบปีก็ยังไม่สาย
จากนั้นผมก็เริ่มเปิดหน้าหนังสืออ่านตามคำสั่งของมัน ด้วยความบังเอิญหรืออะไรไม่รู้ ทำให้เล่มที่ผมคว้ามาได้นั้นเป็นหนังสือเกี่ยวกับเวทผนึกซึ่งเป็นเวทกลุ่มที่ผมไม่เคยใช้มาก่อน
“โอ้ เลือกได้ดีนี่นา เวทผนึกอย่างงั้นเหรอ”
เจ้าราสบินมาส่องดูก่อนร้องออกมาอย่างสนใจ ทำเอาความอยากรู้อยากเห็นของผมเริ่มเพิ่มขึ้นมาตามเสียงของมัน
“ดีอย่างงั้นเลยงั้นเหรอคะ”
“หึ ๆ แน่นอนสิ นับเป็นเวทคู่บุญของเหล่าผู้รับใช้แห่งพระเจ้า ไม่สิ คู่ของเหล่านักบุญหลาย ๆ คนเลยนะรู้ไหม”
เจ้าราสพูดออกมาราวกับพนักงานโฆษณาขายของ มันได้บินลงมาใกล้เรื่อย ๆ ก่อนสะบัดปีกของมันทีหนึ่งทำให้เกิดประกายแสงจำนวนมากมากกระจายออกมาจนก่อนเป็นรูปร่างขึ้น
“การผนึก ไม่ว่าจะเป็นการผนึกอำนาจชั่วร้ายเพื่อคุมขังหรือผนึกอำนาจฝั่งดีเพื่อสร้างสิ่งของศักดิ์สิทธิ์นั้นมีถือเป็นพลังที่มีเพียงผู้มีพลังอย่างแท้จริงเท่านั้นที่จะทำได้”
ภาพตรงหน้าผมเริ่มแบ่งออกเป็นฝั่ง ภาพของนักรบที่ปราบปีศาจและผนึกมันลงในหินผนึก กับฝั่งของดาบเล่มงามที่กำลังถูกสร้างขึ้นโดยกำลังถูกเขียนอักษรบางอย่างก่อนที่มันจะถูกห่อหุ้มด้วยแสงสว่างเจิดจ้า
“จะนักบุญที่ปราบจอมปีศาจหรือจะนักบุญผู้สร้างสิ่งของศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมือง ก็ล้วนพึ่งพลังจากเวทสายนี้ทั้งนั้น”
เจ้าราสเริ่มอธิบายอย่างดุเดือดพร้อมกับภาพประกอบที่มันสร้างขึ้นจนทำเอาผมแอบทึ่งในความสามารถที่ราวกับอาจารย์ชั้นเซียนของมัน….
บ้าน่า เจ้านกนี่….. ไม่นึกว่าจะมีความสามารถเทพแบบนี้ซ่อนอยู่
“สุดยอดไปเลยนะคะ ไม่นึกเลยว่าคุณวิญญาณศักดิ์สิทธิ์จะมีความสามารถถึงเพียงนี้”
“แน่นอน ข้าน่ะเป็นวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่ดูแลนักบุญยุคเก่ามาหลายต่อหลายรุ่น สั่งสอนพวกนั้นก็มามาก เรียกว่าปรมาจารย์แห่งยุคก็ยังได้”
ได้ทีก็โม้ใหญ่เลยนะ
“ว่าไงนะ! ยัยเด็กบ้า”
เพียงเจอผมนินทาในใจมันก็เริ่มระดมจิกอัดใส่ผมอีกครั้งหนึ่ง ทำเอาผมต้องรีบก้มหัวป้องกันตัวอย่างไว
“โอ้ย ขอโทษค่ะ ขอโทษษษษ”
สมเป็นสัตว์ที่มีอายุมาอย่างยาวนาน จิตใจช่างบอบบางดุจคนแก่ขี้วีนจริง ๆ !!!
“ข้าได้ยินนะยัยหนูเผือก!!!”
ฮือออออ ชีวิตเศร้าถูกนกรังแก…… เดี๋ยวนะ
ราวกับสวรรค์เกื้อหนุน สายตาของผมไปหยุดอยู่ที่เวท ๆ หนึ่งเข้า เวทซึ่งถูกจั่วหัวไว้กลางหน้าหนังสือว่า “เวทผนึกวิญญาณ”
สุดยอด….นี่ล่ะของได้อยากได้
เหมือนมีความคิดอะไรบางอย่างผ่านเข้ามาในหัวสมองของผม พลังที่ถือกำเนิดจากการฝึกสอบแกทเชื่อมโยงมานับครั้งไม่ถ้วน……
ผมได้เริ่มมองเจ้านกตัวนี้สลับกับหน้าหนังสือ ด้วยสายตาที่เรียกได้ว่า…. อ่อนโยนสุด ๆ
“หือ…. ทำไมสายตาเจ้าดูแปลก ๆ ทำไมถึงมองข้าสลับกับหนังสือนั่น…. อย่าบอกนะว่า”
และแล้ว ด้วยความคิดสุดแสนจะบรรเจิดของออโรร่าน้อย ผมได้ยิ้มออกมาอย่างงดงามให้กับเจ้านกปีศาจตรงหน้า
“ขอบคุณ คุณวิญญาณศักดิ์สิทธิ์นะคะกับการสั่งสอน เดี๋ยวหนูจะลองแสดงพลังที่ท่านมอบให้เองค่ะ”
“เดี๋ยว ๆ ข้าจำไม่เห็นได้ว่าข้าสอนเจ้าตอนไหน แล้วเจ้าเองก็ยังไม่ได้เริ่มอ่านเลยสักหน้า….. ว่าแต่พลังขนาดใหญ่ในมือเจ้านั่นมันอะไรกัน”
ผมเริ่มพยายามทำตามคำบอกของหนังสือ รวมพลังไว้ที่มือจากนั้นก็คิดถึงรวบแบบของการผนึกพลางเร่งพลังที่อยู่ในร่างออกมารวมไว้ที่มือ
“ใจเย็นก่อนนะยัยหนูเผือก เวทน่ะ ไม่ใช่แค่อยากจะใช้มันก็ใช้ได้ เจ้าน่ะต้องฝึกและเรียนรู้วิธีการจัดโครงสร้างเวทให้ดีก่อน”
“รับรองว่าไม่ทำท่านอาจารย์ผิดหวังแน่ค่ะ”
“ข้ายังไม่ได้หวังอะไรกับเจ้า!!!”
ราสเมื่อเริ่มรู้ตัวมันเริ่มค่อย ๆ บินถอยห่างจากผมไปด้วยสายตาที่ไม่ไว้วางใจ ทว่าผมไม่รอช้า เริ่มก้าวขาเล็ก ๆ เดินตามมันไปอย่างติด ๆ ก่อนจะเริ่มเอ่ยคำสรรเสริญเจ้าพระเจ้าแบบทุกที
“ในนามแห่งผู้ซึ่งถืออำนาจแห่งพระองค์ผู้ยิ่งใหญ่เหนือใครทั้งมวล ขอท่านโปรดพลังอันยิ่งใหญ่มาสถิตซึ่งในมือของตัวข้าผู้ต่ำต้อยเพื่อผนึกวิญญาณร้ายตรงหน้าด้วยเถิด”
หลังพูดจบแสงจำนวนมากก็ได้ไหลเวียนผ่านมาตามร่างของผมก่อนบรรจบที่มือขวา แสงอ่อน ๆ ได้เรืองรองออกมาก่อนจะเด่นชัดมากขึ้นเรื่อย ๆ
“บ้าน่า…. ทั้งที่วิธีใช้ไม่ใช่แบบนี้แต่ทำไมกัน… ทำไมพลังเวทถึงได้มหาศาลและดูน่ากลัวแบบนี้!”
“เริ่มเลยนะคะ”
“ไม่เว้ย!!!”
ไม่รอช้า ผมรวบรวมแสงที่มือของตัวเองก่อนจะปล่อยคลื่นพลัง “ผนึก” ไปข้างหน้า ก่อให้เกิดลูกบอลแสงขนาดฝ่ามือพุ่งเข้าไปทางราส พร้อมกันผมก็ทำหนึ่งในสิ่งที่อยากลองมานาน สิ่งที่พระเอกทั้งหลายทำกัน…
“ผนึกมารร้าย!!!”
ตะโกนชื่อท่ายังไงล่ะ!!!
“มารร้ายบ้าบออะไร ก็บอกแล้วว่าวิญญาณศักดิ์สิทธิ์!!!”
เจ้าราสเมื่อเห็นคลื่นพลังพุ่งเข้าหาตัวมัน มันก็ได้เหวี่ยงตัวหลบอย่างรวดเร็วทำให้พลังของผมพุ่งเลยตัวของมันไป
“หึ พลังเวทที่ร่ายขึ้นมามั่ว ๆ น่ะมันทำอะไรไม่ได้หรอกนะ”
กรี๊ดดดดดด
“หือ?”
เสียงกรีดร้องหนึ่งดังขึ้นมาเรียกให้ผมกับราสหันไปทางเดียวกัน สิ่งที่พวกผมเห็นคือวิญญาณร้ายสีดำดูหน้าตาน่าหวาดกลัวกำลังบินพุ่งเข้ามา ทว่าทันทีที่มันสัมผัสเข้ากับพลังของผม เรื่องสุดยอดก็เกิดขึ้น
เมื่อวิญญาณร้ายสัมผัสเข้ากับพลังของผม ไอสีดำ ๆ เริ่มกรีดร้องออกมาก่อนที่มันจะเริ่มหมุนวนเป็นเกลียวกลางอากาศ จากนั้นเสียงกรีดร้องได้ดังขึ้นมาอย่างทรมานกว่าเดิม พร้อม ๆ กับที่วิญญาณร้ายเริ่มถูกบีบอัดเล็กลงเรื่อย ๆ จนเหลือเพียงก้อนพลังงานเล็ก ๆ สีดำกองอยู่ตรงพื้น
…..
“ได้ผลด้วยเรอะ!!!”
ราสตะโกนออกมาอย่างตกใจ ส่วนผมนั้นช่างตรงข้าม ผมแสยะยิ้มออกมาก่อนมองหน้ามันแล้วรีบเปลี่ยนเป็นใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสสมกับเป็นออโรร่าน้อย
“ดูเหมือนจะใช้งานได้ดีนะคะท่านอาจารย์~”
“มันจะโม้เกินไปแล้ว!!!”
ไม่รอช้า ผมรีบปล่อยพลังออกจากมือของตัวเองรัว ๆ ส่วนเจ้าราสก็ได้แต่มองหน้าผมพร้อมกับเหงื่อที่แตกโชก
คลื่นพลังผนึกจำนวนไม่ถ้วนได้ถูกยิงออกไป ก้อนพลังงานแสงพุ่งกระจายออกไปเต็มทั่วห้องจนยากที่จะมีสิ่งใดหลุดพ้นไปได้
“มาลองวิชากันดีกว่านะคะ~ อาจารย์ราส~”
“ไปห่าง ๆ ข้าเดี๋ยวนี้นะ”
ตอนแรกผมนึกว่าผมจะสามารถผนึกเจ้านกปากมากนี่และนำความสงบของยามเช้าผมมาได้ ทว่าผมดูถูกมันเกินไป มันสามารถบินหลบหลีกพลังที่ผมออกไปทั้งหมดได้อย่างงดงามจนผมได้แต่อ้าปากค้างมอง
ทว่าผมยังไม่ยอมแพ้ ยิ่งเจ้านกผีนี่มันสามารถหลบพลังผมได้ง่ายแบบนี้ ผมยิ่งทำการ… อธิษฐานรัว ๆ
“พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ อำนาจมืดอันชั่วร้ายได้หวังกลืนโลก ขอพระองค์ทรงส่งพลังอันมหาศาลจัดการผู้โฉดชั่วด้วยเถิด”
“ไอ้ที่โฉดชั่วนั้นมันความคิดในสมองเจ้าต่างหาก”
ด้วยการสวดอ้อนวอนขั้นเทพของผม ผมรู้สึกได้ถึงพลังอันมหาศาลที่เพิ่มพูนมากขึ้น พลังที่ถูกปลดปล่อยออกไปได้ถี่รัวดุจปืนกล ทว่าขนาดของมันราวกับกระสุนปืนใหญ่
……
“ข้าขอตัวล่ะ”
เจ้านกผีราสหลังเห็นพลังอันมหาศาลที่ผมปลดปล่อยออกมา เหงื่อมันได้แตกประดุจน้ำตกก่อนที่จะเหลือบซ้ายเหลือขวาแล้วบินหนีออกจากห้องไป
ใครมันจะยอมให้แกหนีฟะ เจ้านกผี!!!
ผมไม่รอช้าทำการติดเกียร์หมาวิ่งตามเจ้านกนั่นไป พลางในมือก็ยิงพลังสาดกระจายไปทั่ว เพราะถึงแม้เจ้านกนี่มันจะเร็วขนาดไหน แต่ถ้าเจอกระสุนปืนใหญ่ยิงถี่เป็นปืนกล อย่างน้อยมันก็ต้องโดนเข้าสักนัดล่ะน่า
กรี๊ดดด อ้ากกก
แว้กกกก
เสียงกรีดร้องดังระงมไปทั่ว เมื่อพลังของผมกระจัดกระจายไปโดนเหล่าวิญญาณสีดำผู้น่าสงสารซึ่งกำลังบินไปมาบินมาแบบไม่รู้อิโหน่อิเหน่
ขอโทษด้วยนะพวกนาย แต่ผมมีภารกิจนำมาซึ่งความสงบในชีวิตเพราะงั้นหากหลบไม่ได้ก็ถือว่าได้ตีตั๋วฟรีไปสวรรค์ก็แล้วกัน
“ความคิดเจ้าไร้ความรับผิดชอบมาก!!!”
“งั้นก็อย่าหนีสิคะ ท่านอาจารย์~”
นี่มันสุดยอดไปเลยนี่นา ผมรู้สึกได้เลยทุกจังหวะที่ผมได้ยิงกระสุนและฟังเสียงบ่นอย่างร้อนรนของเจ้าราส มันราวกับความเครียดทั้งหมดที่อัดอั้นมานานได้ถูกปัดเป่าออกไป หัวที่มันรู้สึกตึงมาตลอดก็ราวกับปลอดโปร่งโล่งสบาย
“ข้าบอกแล้วว่าการเลี้ยงดูเจ้ามีปัญหาจริง ๆ ด้วย”
“ผนึกมารร้าย ๆ”
สุขใจจังเลย ไล่ยิงเจ้านก~
แต่ว่านะ มีอย่างหนึ่งที่ผมสงสัย นั่นคือแคว้นทางเหนือมันมีผีร้ายเยอะเกินไปหรือเปล่า เพราะตั้งแต่ที่ผมวิ่งไล่ยิงเจ้านกบ้ามา มีผีเคราะห์ร้ายโดนผนึกอัดเป็นก้อนกลมปาไปกว่ายี่สิบตนแล้ว…
หรือว่าเพราะเป็นอดีตแคว้นหน้าด่านที่ทำสงครามกันหว่า?
แต่ก็นั่นล่ะ เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ช่างมันก่อนเถอะ เรื่องสำคัญตอนนี้คือการจัดการกับเจ้าตัวปัญหาตรงหน้าดีกว่านะ
ประเด็นคือมันดูจะหลบเก่งเกินไปไหมนี่ผมยิงปาไปกว่าหลายร้อยนัดแล้วมันยังแม้โดนแต่เสี้ยวปีกของมัน
“หึ ถ้าโดนกับแค่พลังของเด็กหัดใช้ล่ะก็ อย่ามาเรียกข้าว่าสัตว์ศักดิ์สิทธิ์เลยจะดีกว่า!!!”
ดูมันมัน! ดูมันท้าทายกันขนาดนี้….
ก็สวยน่ะสิ อยากรู้เหมือนกันว่าหากผมจัดหนักจัดเต็มใส่พลังแบบไม่ยังไปเลยผลมันจะเป็นอย่างไรกันนะ
ไม่รอช้า ผมละทิ้งซึ่งความหมั่นไส้เจ้าพระเจ้าก่อนที่จะจัดการสรรเสริญแบบเรียกได้ว่าระดับเลียขาจนขาเปียกชนิดไร้ซึ่งความอายใด ๆ
“พระองค์ท่าน ผู้เป็นเลิศ เป็นหนึ่งในสิ่งใด ผู้ที่ข้าเคารพและศรัทธาอย่างสุดหัวใจ ขอพลังและความยิ่งใหญ่ของพระองค์ท่านผนึกซึ่งวิญญาณร้ายทั้งมวลที่หาญกล้าทำดินแดนของพระองค์ต้องแปดเปื้อน ขอพระองค์ทรงจองจำเหล่ามารร้ายเพื่อปกปักเหล่ามวลผู้ศรัทธาพระองค์ด้วยเถิด”
“ร่ายมั่ว ๆ แบบนั้นคิดเหรอว่าจะดวงดีแบบ….เฮ้ยยยย”
ไงล่ะ เจ้านกเอ๋ย ไม่รู้แล้วล่ะสิว่าบัฟที่ผมได้มาจากเจ้าพระเจ้านั้นมันโหดขนาดไหน พลังที่รุนแรงแหกทุกกฎเกณฑ์แบบนี้ เอามันไปกินซะเถอะ
ผมรู้สึกได้ รู้สึกได้ถึงพลังอันมหาศาลที่กำลังทะลักออกมาจากร่างกายของผม อารมณ์ราวกับมีอะไรบางอย่างกำลังระเบิดออกมาจากร่างประดุจพวกพระเอกที่กำลังใช้ไม้ตายขั้นสุดยอด
วิ้งงงงง
แสงสว่างมหาศาลได้ระเบิดออกมาโดยมีร่างของผมเป็นจุดศูนย์กลาง รูปร่างของมันมีลักษณะเป็นโดมซึ่งกำลังขยายขนาดใหญ่มากขึ้นเรื่อย ๆ ….และนั่นล่ะคือประเด็น
มันไม่ใช่แค่ใหญ่ธรรมดา บางทีอาจเป็นเพราะผมอาจจะจัดหนักจัดเต็มในการเลียแข้ง…..เอ่ออธิษฐานมากไปหน่อย พลังมันเลยทวีคูณหนักจนโดมแทบจะปกคลุมทั้งปราสาทแห่งกลอริเอลเอาไว้ทั้งหมด
เหล่าวิญญาณร้ายที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ทั้งหมดได้สัมผัสเข้ากับพลังของผม ซึ่งแน่นอนว่าพวกมันถึงอยากจะหนีก็คงหนีไม่ทัน ดังนั้นร่างของพวกมันจึงเริ่มแปรเปลี่ยนกลายเป็นก้อนผลึกสีดำจำนวนมากที่ร่วงหล่นลงพื้นดุจฝนตก
เหยดดดเขร้ รุนแรง…. รุนแรงเกินไปแล้ว ดีนะที่เราร่ายแค่เวทผนึก ไม่ใช่เวทสายทำลายล้าง ไม่งั้นสงสัยกลางเมืองได้เป็นหลุมอุกกาบาตแหง ๆ
“ข้าว่าสิ่งแรกที่ต้องผนึกไม่ใช่วิญญาณร้ายอะไรทั้งนั้น แต่เป็นสมองของเจ้าต่างหาก”
เสียงของราสดังขึ้นมาทำเอาผมได้แต่อ้าปากค้างแล้วค่อย ๆ หันไปทางต้นตอของเสียง
สิ่งที่พบคือเจ้านกผีกำลังกระพือปีกพรึบ ๆ พร้อมกับจ้องมาที่ผมด้วยแววตาหงุดหงิดหนักซะจนผมรู้สึกถึงความซวยบางอย่างที่น่าจะตามมาหลังจากนี้
มันเป็นไปได้ไงกัน…. นี่ผมอุตส่าห์ร่ายพลังแบบจัดหนักจัดเต็มไปขนาดนั้นแล้วแท้ ๆ ทำไมเจ้านกนี่มันถึงยังรอดมาได้!
“หึ เพราะไม่ใช่วิญญาณร้ายแต่เป็นวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ไงเล่า!”
แล้วมันเกี่ยวกันงั้นเหรอ!!! พลังผนึกมันจะแก้ง่าย ๆ ได้ด้วยการเล่นคำแบบนั้นเลยเหรอ… โลกมันจะบ้าบอไปแล้ว!!!
“ที่บ้าบอมันสมองเจ้าต่างหาก ก็คำร่ายเมื่อครู่ถึงมันจะมั่วไปหน่อยแต่สุดท้ายในคำร่ายนั่น เจ้าก็เจาะจงแต่วิญญาณร้ายไม่ใช่เหรอ?”
มันพูดมาแบบนี้ ผมก็ได้แต่หลับตาย้อนคิดไปถึงสารพัดคำอธิษฐานของตัวเองว่าเป็นอย่างไร เพราะเอาเข้าจริง ๆ นะ ตอนผมร่ายเวททุกครั้งนี่ผมแทบจะปล่อยคำพูดตามอารมณ์อย่างเดียวแทบไม่ได้คิดเลย
ขอพระองค์ทรงจองจำเหล่ามารร้ายเพื่อปกปักเหล่ามวลผู้ศรัทธาพระองค์ด้วยเถิด
คำพูดสุดท้ายของคำร่ายได้พุ่งเข้ามากระแทกที่หัวของผมก็ทำเอาถึงบางอ้อ ดูเหมือนมันจะเป็นแบบที่ราสบอกจริง ๆ ด้วยสิ
….
กลไกมันเป็นแบบนี้เองงั้นเหรอเนี่ย
“ให้ตายเถอะ มีพลังที่ดีแถมใช้ง่าย แต่ยังใช้ได้เละเทะแบบนี้….. ข้าล่ะเหนื่อยใจแทนพระเจ้าท่านจริง ๆ ที่เลือกเจ้ามาเนี่ย”
ให้พูดตามตรงนะท่านอาจารย์ราสเอ๋ย ผมต้องบอกเลยว่าคนเหนื่อยใจจริง ๆ น่ะมันตัวผมที่ถูกเลือกมาแบบไม่อยากเลือก ส่วนพลังมันของแถม ถ้าหลับตาข้างนึงก็ถือว่าเป็นของขวัญปลอบใจ
“เจ้านี่น้า”
ราสถอนหายใจก่อนจะเข้ามาใกล้ตัวผมเรื่อย ๆ ส่วนผมที่ตอนนี้รู้สึกว่าร่างกายของตัวเองเพลีย ๆ นั้นก็หยุดความคิดที่จะผนึกเจ้านกนี่ไปก่อนเพราะรู้สึกว่าขืนใช้พลังมากกว่านี้คงได้มีปัญหาแน่นอน
“ว่าแต่ที่นี่ก็แปลกนะ วิญญาณร้ายมันเยอะไปหน่อยไหม”
ราสพูดขึ้นมาขณะที่พวกเราทั้งสองกำลังกวาดตามองไปรอบ ๆ ก็พบกับหินผนึกสีดำจำนวนมากที่หล่นกองอยู่เต็มพื้นประดุจรถบรรทุกขนของคว่ำ
“นั่นสินะคะ วิญญาณที่เต็มไปด้วยเงาแห่งความแค้นนั้นดูจะเยอะเกินกว่าปรกติจริง ๆ ด้วยค่ะ”
แน่นอนว่าผมนั้นไม่ได้รู้เรื่องเงาแห่งความแค้นอะไรหรอก แต่ในเมื่อเจ้าราสมันเล่นชงบทมาแบบนี้ จะให้ตอบกลับไปแค่ อืม มันก็รู้สึกว่าตัวเองจะดูด้อยลงไปเพราะงั้น…ขอรักษามาดสักนิดนึงก็ยังดี
“บางทีการตอบว่าตนเองไม่รู้นั้นก็นับเป็นความฉลาดอย่างหนึ่งนะยัยหนูเผือก”
เจ้าราสพยายามพูดสอนขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่กลับมาเป็นผู้ใหญ่สอนเด็ก ซึ่งที่มันพูดมาก็ดูจริงแต่ไม่รู้ว่าเหตุใดผมฟังแล้วเหมือนจะสอนก็ไม่ใช่แต่จะด่ามันก็ไม่เชิง เพราะงั้นผมจึงจัดการแก้เขินด้วยการหันหน้าหนีแล้วทำเป็นมองรอบ ๆ ก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ปั้นให้ดู….สมกับเป็นนักบุญที่มาโปรดสัตว์ที่สุด
“เป็นเรื่องที่หน้ายินดีจังเลยนะคะ ที่สามารถหยุดเหล่าวิญญาณร้ายพวกนี้ได้ทันการ”
…..
“โบ้ย คนอื่นเฉยเลยนะเจ้าน่ะ”
ถึงจะน่าสงสาร แต่เพื่อปลอบโยนจิตใจที่บอบช้ำจากการถูกนกผีมันแซะ ผมจึงสร้างเหตุผลสนับสนุนตัวเองว่าการกระทำเมื่อครู่ของผมนั้นคงช่วยอะไรใครบ้างล่ะมั้ง
“ตะ….ต้องขอบคุณมากจริง ๆ ค่ะ”
อ๊ะ….
เสียงเล็ก ๆ เสียงหนึ่งดังขึ้นมาเรียกให้ผมหันหน้าไปหา จึงทำให้ได้พบกับเด็กสาวน้อยผมสีทองซึ่งเจอกันในขบวนขุนนาง ซึ่งตอนนี้กำลังนั่งตัวสั่นระริก ๆ จ้องมองมาที่ผม
ดวงตาสีฟ้าครามที่ยังคงแววของความกลัวอยู่ ถึงแม้ดูเหมือนเธอจะพยายามปิดซ่อนแต่ท่าทางคงเจออะไรมาหนักจนเก็บมันไว้ไม่อยู่…. หรือว่ากลัวผีพวกนั้นกันนะ ก็นะเรื่องนี้ก็เข้าใจได้อยู่เพราะผมเองก็กลัวพวกผีเหมือนกัน
โห นี่ก็แสดงว่าผมได้ช่วยปกป้องสาวน้อยคนหนึ่งแล้วสินะเนี่ย… แหม ก้าวแรกสู่การเป็นอัศวินศักดิ์สิทธิ์สุดเท่ของผมมาถึงแล้วอย่างงั้นเหรอ ถ้างั้นประโยคที่ต้องตอบกลับไปของออโรร่าสุดเท่คนนี้ต้องเป็น
“ไม่เป็นไรแล้วนะคะ ปลอดภัยแล้วล่ะค่ะ”
หลังจากได้ยินผมพูดไปแบบนั้น ดูเหมือนว่าแววตาของเธอจะเริ่มคลายความหวาดกลัวลงเล็กน้อย เพราะงั้นด้วยความเป็นอัศวินที่ดีผมคงต้องจัดการปลอบขวัญหญิงสาวที่กำลังมีภัยแล้วล่ะ รับไปเลยรอยยิ้มของอัศวินศักดิ์สิทธิ์ออโรร่า
ว่าแล้วผมก้ทำการคลี่ยิ้มออกมาและส่งมันไปให้กับเด็กสาวผมทองตรงหน้า
“สงสัยจะใช้พลังมากไป…. ข้าว่าเจ้าเป็นเอาหนักนะ”
“ค่ะ…. ต้องขอบคุณท่านนักบุญมากจริง ๆ ค่ะ”
ดูเหมือนว่าผมจะใช้พลังหนักมากไปอย่างที่เจ้าราสบอก เพราะตอนนี้ผมเริ่มรู้สึกว่าร่างกายของตัวเองเริ่มที่จะหนักขึ้นเรื่อย ๆ พร้อมกันตาและสติของผมก็เริ่มดับวูบลง
“ยัยหนูเผือก!”
“ท่านนักบุญ?!”
———————————————————————————-
สุดยอดไปเลยไหมครับกับลูกศิษย์แห่งปีของออโรร่า อาจารย์แค่เกริ่นวิชาก็เล่นกะเอาซะอาจารย์หมอบ เยี่ยมไปเลย
ปล.ทุกคอมเม้นคือกำลังใจจ้า