ซวยแล้ว! ผมดันโดนเตะมาเกิดใหม่เป็นนักบุญหญิงศักดิ์สิทธิ์ - บทที่ 47 ออโรร่าน้อยกับเด็กสาวน่าสงสัย
- Home
- ซวยแล้ว! ผมดันโดนเตะมาเกิดใหม่เป็นนักบุญหญิงศักดิ์สิทธิ์
- บทที่ 47 ออโรร่าน้อยกับเด็กสาวน่าสงสัย
ยุ่งยากแล้วสิ….. ยุ่งยากจริง ๆ ด้วย
“ท่านออโรร่า ปลอดภัยดีสินะคะ”
เสียงใส ๆ ของเด็กสาวดังขึ้นมาอย่างสงบนิ่ง คำพูดของเธอเปี่ยมล้นด้วยมรรยาทของผู้ดีอย่างเต็มเปี่ยม เต็มเปี่ยมยิ่งกว่ามาเรียจนผมยังรู้สึกเกร็ง ๆ เวลาพูดกับเธอ
ดวงตาสีฟ้าครามจ้องมองมาที่ผมด้วยความห่วงใย มันเป็นสายตาที่ไม่ว่ามองเมื่อไหร่ก็ราวกับตัวเองกำลังถูกปกป้อง….
แน่นอนว่าสถานการณ์ซึ่งมีสาวน้อยมาห่วงใยราวกับพระเอกในอนิเมนั้นช่างเป็นอะไรที่น่าจะดูยอดเยี่ยม แต่ว่า!
ตอนนี้ที่หัวของผมมีสัมผัสนุ่ม ๆ รองรับอยู่กลิ่นหอม ๆ ราวดอกไม้ของน้ำหอมลอยเข้ามาที่จมูกจนทำให้เกิดอารมณ์ผ่อนคล้าย
ใช่! ตอนนี้ผมกำลังนอนหนุนตักเด็กสาวตาฟ้าคนนี้อยู่ และที่สำคัญตอนนี้เธอกำลังก้มหน้ามองสบตาผมมาด้วยความห่วงยใยอย่างเหลือล้น
…..
ทำไม ทำไมมันเป็นแบบนี้ล่ะ?
ที่จำได้ก่อนหน้านี้ ผมกำลังวิ่งไล่ผนึกเจ้านกบ้านั่นอยู่แล้วก็สลบไปเพราะใช้พลังเกินลิมิต แล้วไหงผมถึงมานอนหนุนตักเด็กสาวคนนี้ได้ราวกับพระเอกนิยายแบบนี้ล่ะ
“เอ่อ…. เอ่อนี่มัน….”
แน่นอนว่าต่อให้เป็นเด็ก แต่เมื่อเจอจ้องมาก ๆ แบบนี้เข้าถึงเป็นผมมันก็ต้องรู้สึกเขิน ๆ เป็นธรรมดา เพราะงั้นผมจึงรีบเบือนสายตาหนีทันที
ทว่าเมื่อเหลือบตาไปรอบ ๆ สิ่งที่พบคือก้อนลูกแก้วสีดำจำนวนมากกำลังตกหล่นอยู่ตรงพื้น โดยพวกมันช่างหน้าตาคล้ายกับก้อนที่ผมได้มาตอนผนึกวิญญาณไปในตอนแรก
“เอ่อนี่มันเกิดอะไรขึ้นงั้นเหรอคะ?”
ถ้าจำไม่ผิด ตอนที่ผมวิ่งไล่เจ้านกนั่นมาถึงตรงนี้ คล้าย ๆ ว่าจะเห็นเด็กคนนี้นั่งตัวสั่นอยู่นี่นา ถึงตอนนั้นมันจะเร็ว ๆ จนไม่ค่อยมั่นใจแต่ดูทรงแล้วคงใช่คนเดียวกัน เพราะงั้นเธอน่าจะให้คำตอบกับผมได้มากที่สุด
“เรื่องนั้น….”
เสียงนุ่มเย็นพูดค้างไว้ก่อนที่เจ้าของเสียงจะมองไปด้านหนึ่งเรียกให้ผมหันมองตามไปด้วย และภาพที่รอผมอยู่ก็ทำเอาผมเบิกตาค้าง
พื้นสนามหญ้าสีเขียวชอุ่มตอนนี้เต็มไปด้วยก้อนสีดำทะมึนกองตามมุมต่าง ๆ จำนวนมาก ถ้ากะปริมาณจะสายตาแล้วดูจะมีนับร้อยได้
ผมหรี่ตามองเจ้าพวกก้อนสีดำครู่หนึ่ง ทำให้เห็นถึงไอสีดำที่แผ่ออกมาจากลูกแก้วเหล่านั้น ไม่พอเสียงกรีดร้องโหยหวนจำนวนมากยังดังมาอย่างไม่ขาดสาย
แน่นอนว่าผมรู้ดีว่ามันคืออะไร….
เศษซากของสงครามระหว่างผมกับเจ้านกปากมากนั่นเอง ดูเหมือนว่าวิญญาณรอบ ๆ นี้น่าจะโดนลูกหลงกันระนาว…. ขอโทษด้วยแล้วกันนะ พอดีตอนนั้นคนมันหัวร้อนไปหน่อย
ว่าแต่ที่สำคัญ ตอนนี้ผมรู้สึกได้ถึงร่างกายของเด็กสาวตัวน้อยคนนี้ที่กำลังสั่น ๆ ราวกับข่มความกลัว…. นี่ผมเผลอทำอะไรให้เธอกลัวไปขณะตอนกำลังหัวร้อนหรือเปล่าเนี่ย
“อ๊ะ…”
นึกได้แบบนั้นผมก็เบิกตาก่อนรีบเด้งตัวออกมาจากหน้าตักของเด็กสาวตามสัญชาตญาณเพื่อจะก้มหัวขอโทษ
“เรื่องนั้นต้องขอ….”
“เรื่องนั้น….ต้องขอบคุณมากจริง ๆ ค่ะ”
ไม่ทันที่ผมจะพูดจบ เด็กสาวผมทองก็รีบชิงก้มหัวพูดขอบคุณอย่างรวดเร็วจนทำเอาผมเหวอซะจนชะงักจนไม่ได้พูดต่อ
“ที่ช่วยชีวิตของฉันและอาณาจักรแห่งนี้… ต้องขอบคุณมากจริง ๆ ค่ะ”
“ด้วยความยินดีค่ะ กับวิญญาณร้ายเหล่านี้เป็นเรื่องเล็กน้อยอยู่แล้วค่ะ”
ผมยิ้มแล้วตอบกลับไปด้วยปฏิกิริยาตอบกลับซึ่งไม่ผ่านแม้แต่เศษเสี้ยวของสมองของออโรร่าน้อยผู้น่ารัก
“ให้ตายสิ ก็บอกแล้วไงว่าให้คิดก่อนพูดน่ะยัยหนู”
ใช่ อย่างที่ราสพูด ผมไม่นึกเลยว่าการตอบรับแบบใช้ไขสันหลังตอบจะทำให้ชีวิตของผมที่ยุ่งอยู่แล้วนั้นวุ่นวายกว่าเดิมอีกเยอะเลย
……
“สมเป็นท่านนักบุญจริง ๆ นะคะ…. แม้จะใช้พลังจนตัวเองต้องหมดสติก็ยังยิ้มได้เช่นนี้…ช่างน่านับถือจริง ๆ ค่ะ”
ดวงตาสีฟ้าจ้องมองมาที่ผมด้วยแววตานับถืออย่างสุดซึ้งทำเอาผมที่เห็นแบบนั้นรู้สึกเขินเล็กน้อย แต่ก็ต้องรีบเก็บอาการไว้เพื่อไม่ให้ตัวเองทำตัวแปลก ๆ เลยรีบยิงคำถามไปแบบส่ง ๆ เพื่อแก้เขิน
“ว่าแต่เธอคือ….?”
ถ้าจำไม่ผิด เด็กคนนี้น่าจะเป็นคนเดียวกับที่ผมเห็นตอนขบวนต้อนรับ เด็กสาวเพียงคนเดียวที่ยืนอยู่ในกลุ่มขุนนาง
ใช่… เด็กสาวที่ต้านทานพลังรอยยิ้มอันแสนงดงามของออโรร่าได้!!!
“ข้าว่าเจ้ากำลังมีปัญหาในการเรียงลำดับความสำคัญนะ ยัยหนูเผือก”
ราชพูดใส่ผมด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่ายใจ ซึ่งแน่นอนว่าผมอยากค้านหัวชนฝา เพราะตามหลักการแล้วตัวละครที่ต้านทานพลังของตัวเอกได้ผิดกับคนรอบข้างนั้นมันต้องมีเบื้องลึกเบื้องหลังอย่างแน่นอน!!!
…….
“ข้าไปบินชมท้องฟ้าดีกว่า….”
ประชดใช่ไหม นี่ผมกำลังโดนนกผีมันประชดใช่ไหม!!!…. เอาเถอะ เขาว่านกกระจอกนั้นไม่รู้ความคิดของพญาเหยี่ยว เจ้าราชไม่รู้หรอกว่าการประมาทเพราะอีกฝ่ายเป็นแค่เด็กสาวนั้นจะเป็นหนทางนำไปสู่ความตาย!!!!
“ท้องฟ้าเดือนเหนือนี่สวยจังเลยนะ”
เจ้าราชยังคงพูดแบบไม่ใส่ใจพร้อมกับบินชมท้องฟ้าแบบที่มันพูดจริง ๆ เห็นแบบนั้นแล้วผมก็ได้แต่เบ้ปากในใจให้กับสหายใหม่ที่ตอนนี้ทำตัวเป็นนกจริง ๆ ไปซะแล้ว
“อ๊ะ…. ต้องขออภัยด้วยจริง ๆ ค่ะ”
เด็กสาวผมทองตรงหน้าเมื่อเจอผมทักไปก็สะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะรีบโค้งย่อตัวลงอย่างสวยงามบ่งบอกถึงการได้รับการอบรมณ์เป็นอย่างดี
“ดิฉันชื่อ ซิลเวีย….ซิลเวีย เดอ ฟรอเซีย บุตรีแห่งดยุคฟรอเซีย ยินดีที่ได้รู้จักค่ะท่านนักบุญออโรร่า หนึ่งบุญผู้เป็นที่รักแห่งพระผู้เป็นเจ้า”
…..
ทางการไปแล้ว!
นี่มันยิ่งกว่ามาเรียน้อย มิตรเก่าที่มหาวิหารของผมเลย คือตอนมาเรียก็รู้สึกว่าจริงจังมาก ไม่ว่าจะเป็นคำพูดจาหรือกริยา มารยาท ต้องบอกเธอนั้นช่างสมบูรณ์แบบ สมบูรณ์แบบมากจนทำให้ผมรู้สึกว่า….
นี่ผมทำตัวเด็กน้อยเกินไปไหมเนี่ย
“อ้าว… ก็รู้ตัวดีนี่”
เงียบปากไปน่าเจ้านกบ้า
“ซิลเวียสินะคะ ฉันออโรร่าค่ะ ยินดีที่รู้จักค่ะ”
แต่ในเมื่อทางนั้นทักทายมาด้วยกิริยามารยาทงามเช่นนี้ มีหรือที่ผมจะปล่อยให้ออโรร่าแพ้ได้ง่าย ๆ ดังนั้นผมจึงย่อตัวลงช้า ๆ ก่อนจะจีบกระโปรงขึ้นด้วยวิชามารยาทที่เรียนมาช่วงอยู่ที่มหาวิหารและราชวัง
ดูเหมือนผมจะทำได้ดีเดียว ไม่ว่าจะเป็นซิลเวียที่มองมาที่ผมด้วยความประทับใจหรือเจ้าราชที่ตอนนี้ยกปีกของมันขึ้นมาราวกับยกนิ้วโป้งชมโดยไม่ปริปากบ่น เป็นสิ่งการันตีว่าการฝึกมารยาทสาวงามของผมนั้นช่างไร้ที่ติ
ว่าแต่ เดอ ฟรอเซีย? แถมเมื่อกี้เหมือนเธอจะแนะนำไปว่าตัวเองเป็นลูกของท่านดยุคนี่หว่า….. แล้วลูกสาวตระกูลขุนนางใหญ่แห่งแดนเหนือมาทำอะไรคนเดียวที่สวนเนี่ย? คราวเจ้าชาร์ลก็ทีนึงแล้ว พวกองครักษ์ของประเทศนี้มันขี้เกียจทำงานกันเหรอไง ถึงปล่อยให้เด็กที่เสี่ยงต่อการถูกลักพาตัวมาเดินเล่นตัวคนเดียวกันเป็นว่าเล่นแบบนี้
“ว่าแต่ซิลเวียมาทำอะไรตัวคนเดียวอย่างนั้นเหรอคะ?”
“เรื่องนั้น…..ข้ากำลัง…..”
ทันทีที่ได้ยินผมถาม ซิลเวียได้ก้มหน้าของเธอลงเล็กน้อย ดวงตาของเธอดูหม่นหมองเพียงชั่วครู่ มีเพียงเสียงเบา ๆ รอดออกมาก่อนที่ริมฝีปากเล็ก ๆ จะปิดลงพร้อมกับที่เธอส่ายหน้าเบา ๆ
“แค่เดินเล่นนิดหน่อยค่ะ แล้วท่านออโรร่าล่ะคะ?”
แม้จะพยายามปกปิด แต่อาการเมื่อครู่นั้นช่างดูออกง่ายดายว่าเธอคิดมาทำอะไรบางอย่างที่นี่แน่นอน แต่นั่นมันก็เป็นเรื่องส่วนตัว อีกอย่างเขาก็เป็นเจ้าบ้าน ดังนั้นถามมากไปก็ดูจะเป็นการเสียมารยาท…
ว่าแต่เมื่อกี้ถามว่าผมมาทำอะไรอย่างนั้นเหรอ…. ตอบยากจริง ๆ
ขืนบอกไปว่ากำลังไล่จับนกผีล่ะก็ รับรองได้ถูกมองว่าตัวเองเป็นคนประหลาดอย่างแน่นอน……
“กำลังฝึกอยู่ค่ะ”
“ฝึกงั้นเหรอคะ?”
“ค่ะ กำลังฝึกปรือพลังอะไรนิดหน่อยค่ะ”
“ฝึกนิดหน่อย……งั้นเหรอคะ….”
ซิลเวียเลิกคิ้วอย่างสงสัยก่อนที่สายตาเธอจะมองกวาดไปรอบ ๆ มองลูกแก้วสีดำน่ากลัวพวกนั้นอย่างทึ่ง ๆ ทำเอาผมได้แต่เบือนสายตาหนีเล็กน้อยก่อนคิดในใจอย่างเขิน ๆ
“เป็นการฝึกที่…. สุดยอดไปเลยนะคะ”
กรรมเวร ลืมไปว่าเพิ่งจัดหนักจัดเต็มยิงเวทชำระล้างเป็นกระสุนปืนกลซะจนวิญญาณร้ายร่วงเป็นดอกเห็ด ถ้านี่เรียกว่าฝึก สงสัยเอาจริงคงได้ชำระล้างจอมมาร…
“เนี่ย ข้าก็บอกแล้วว่าก่อนพูดน่ะให้คิดก่อน…เห้ออออ”
ผมพยายามจะละเลยเสียงนกขี้บ่นที่ตอนนี้เพิ่งเสร็จจากการบินชมท้องฟ้า พลางในใจก็ต้องรีบหาทางแก้ตัว
เพราะขืนเธอเอาเรื่องนี้ไปบอกกับพวกผู้ใหญ่คนอื่น รับรองว่างานที่ล้นมือของผมอยู่แล้วยิ่งได้ล้นกว่าเดิม… ใช่ หากพวกเขารู้จะต้องลากผมไปปราบสารพัดผีสิงในที่ต่าง ๆ แน่นอน ผมยังไม่อยากกลายเป็นออโรร่า กระสุนปราบมารตอนนี้หรอกนะ!
“เอ่อ… อ่อพอดีเป็นการฝึกกับคุณวิญญาณศักดิ์สิทธิ์น่ะค่ะ ก็เลยหนักหนากว่าที่เคยฝึกมา….”
“วิญญาณศักดิ์สิทธิ์อย่างนั้นเหรอคะ?”
หึ ได้ยินแบบนี้นายคงจะคิดว่าเรื่องมันจะหนักหนากว่าเดิมสินะราช… หึ ๆ อย่าดูถูกผมไป นี่มันแค่เพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น
“ค่ะ แต่เรื่องนี้นั้นเป็นเรื่องที่ไม่ควรบอกใคร…. เพราะฉันสัญญากับคุณวิญญาณไปแล้ว เพราะงั้นซิลเวียจะช่วยเก็บไว้เป็นความลับได้ไหมคะ?”
ฮ่าๆๆๆ อัจฉริยะ อัจฉริยะจริง ๆ ตัวผม สัญญาของออโรร่าน้อย มีใครบ้างเล่าจะปฏิเสธได้ ไม่สิ แค่นี้ยังไม่พอ… มันยังการันตีไม่ได้ว่าเด้กคนนี้จะไม่เผลอพลั้งปากพูดไป ต้องตอกตะปูปิดตายด้วยท่าไม้ตาย!
ไม่รอช้า ผมค่อย ๆ เดินเข้าไปใกล้เธอก่อนจะใช้สองมือประคองมือเล็ก ๆ ของซิลเวียขึ้นมาก่อนจะกุมมันไว้แล้วค่อย ๆ เอียงคอสามสิบองศาในมุมเหมาะสมก่อนจะค่อย ๆ คลี่ยิ้มออกมา
“สัญญานะคะ สัญญาว่าจะเป็นความลับของเราสองคน”
ยัง… ยังไม่จบ
“ฉันเชื่อใจคุณซิลเวียนะคะ”
!!!!
ผมรู้สึกได้ถึงมือเล็ก ๆ ที่สั่นไหวอย่างเด่นชัดเรียกให้ผมลืมตามองสาวน้อยผมสีทองที่โดนพลังไม้ตายของออโรร่าเข้าไป
ดวงตาสีฟ้าของผมกับซิลเวียสบกันตรง ๆ ผมพยายามส่งแรงกดดันของตัวเองเพื่อพยายามเสริมท่าไม้ตาย “ออโรร่าน้อยขอร้อง” ให้แรงมากขึ้น
ทันใดนั้นดวงตาสีฟ้ากลมโตของซิลเวียก็เริ่มเบิกกว้างออก ก่อนที่ดวงตาคู่นั้นจะหลบออก ไม่ให้สบตาเข้ากับตาของผม พร้อมกัน ใบหน้าของซิลเวียก็เริ่มก้มลงจนผมสีทองของเธอเริ่มเลื่อนมาปิดจนผมไม่รู้ว่าตอนนี้เธอกำลังมีสีหน้าแบบไหนกัน
ยังไม่ทันที่ผมจะได้ทำอะไรต่อ มือทั้งสองของซิลเวียก็เลื่อนมากุมมือของผมก่อนที่เธอจะค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมาอย่างช้า ๆ
ใบหน้าของเธอนั้นช่างดูจริงจังเด็ดเดี่ยวไม่สมกับเด็กอายุไม่ถึงสิบขวบ ใบหน้าว่าจริงจังแล้วแววตาของเธอนั้นช่างจริงจังยิ่งกว่าหลายเท่า
ดวงตาสีฟ้าเข้มดุจห้วงท้องทะเลลึกได้จ้องมองมาที่ผมด้วยแววตาที่เปี่ยมล้นไปด้วยความจริงจังจนทำเอาผมประหม่ามากขึ้นเรื่อย ๆ
“ค่ะ! สัญญาค่ะ!”
เอ๋~ จริงจังไปไหมนั่น
“หากท่านออโรร่าว่าเช่นนั้นแล้วล่ะก็ ฉั… ข้า ซิลเวีย เดอ ฟรอเซีย จะรักษาสัญญาและความลับนี้ยิ่งกว่าชีวิตค่ะ!”
มากกว่าชีวิตเลยเหรอ!!!
จริงจังเกินไปแล้ว ซิลเวีย! เข้าใจอยู่นะว่าพลังท่าไม้ตายใหม่ของออโรร่านั้นมีมากเกินทานทน แต่ถึงขั้นเอาของแบบนี้มาสำคัญมากกว่าชีวิต…. ฮือออ รู้สึกผิดไงไม่รู้สิ
“เห้ออออ ท่านนักบุญผู้ยิ่งใหญ่ของข้า ข้าต้องพูดอีกกี่รอบกันนะ ยัยหนูนักบุญฝึกหัดถึงจะฉลาด…..”
ขอโทษได้ไหม!!!
ถ้าปล่อยไปแบบนี้คงไม่ดีแน่ เพราะงั้นคงต้องทำการแก้ไขด้วยการบอกเธอไปว่าทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องล้อเล่น…..
“ด้วยเกียรติของเดอ ฟรอเซีย ขอท่านออโรร่าไว้ใจข้าได้ค่ะ”
ก็แย่แล้ว!!!
ปากที่กำลังจะยิงสารพัดข้ออ้างนั้นได้หุบทันทีเมื่อเห็นแววตาอันแสนจริงจังที่ทอประกายออกมา มันไม่ใช่แค่การรับปากแบบเล่น ๆ แต่ดวงตาของซิลเวียนั้นแม้ผมจะไม่สันทัดการอ่านคนแต่นี่มันเห็นได้อย่างชัดเจนว่าหากผมพูดสิ่งที่จะพูดเมื่อครู่ไปล่ะก็ มันจะเป็นการทำลายศักดิ์ศรีของเธอสุด ๆ
เธอค่อย ๆ ก้าวถอยหลังไปเล็กน้อยก่อนย่อตัวลงพร้อมนำมือขวามาสัมผัสที่บริเวณหน้าอกแบบที่พวกอัศวินชอบทำกัน
เมื่อสถานการณ์มันบีบกันมาซะขนาดนี้ ผมคงไม่สามารถทำอะไรได้เลยนอกจากยิ้มแล้วก็……
“ค่ะ ขอบคุณมากค่ะ”
“เอาที่สบายใจเลยแม่คุณ”
ฮืออออ ใครมันจะไปทำได้เล่า ใครมันจะไปปฏิเสธเด็กที่จริงจังขนาดนี้ได้เล่า เป็นนาย นายทำได้งั้นเหรอราส!!!
ไร้ซึ่งเสียงตอบรับใด ๆ จากเจ้านกผี ทำให้ผมได้แต่ถอนหายใจก่อนเบา ๆ และกลับไปยิ้มให้กับซิลเวียเหมือนเดิม
“ในเมื่อท่านออโรร่าไว้ใจตัวข้าถึงขนาดบอกความลับอันยิ่งใหญ่นี้ หากข้าเก็บความลับของข้าก็คงไม่ดี เช่นนั้นแล้วข้าจะบอกความลับของข้าเช่นกันค่ะ”
“ไม่ต้องถึงขั้นนั้นก็ได้ค่ะ… มันไม่ใช่ความลับยิ่งใหญ่อะไรขนาดที่ต้องให้ซิลเวียกังวลใจขนาดนั้นหรอกนะคะ”
ใช่ มันแค่เรื่องที่มั่วแต่งขึ้นมาเองอะ
“สัญญากับวิญญาณศักดิ์สิทธิ์นั้นหาใช่เรื่องเล็กน้อยค่ะท่านออโรร่า… แต่ก็สมกับเป็นท่านนักบุญจริง ๆ ค่ะ”
หา อะไรนะ!
น้ำเสียงของซิลเวียถูกเอ่ยมาด้วยความเคารพและนับถือ ทำเอาผมยิ่งรู้สึกทวีคูณขึ้นไปยิ่งกว่าเดิมจนเริ่มมือสั่นปากสั่นทำตัวไม่ถูกขึ้นทุกที
ปากบาง ๆ ของเด็กสาวผมทองตรงหน้าเริ่มเปิดออกจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็ชะงักไปด้วยลังเล มีชั่วครู่หนึ่งที่ดวงตาอันแน่วแน่ของเธอนั้นสั่นเทาทว่านั่นเพียงแค่ชั่วครู่ก่อนที่มันจะกลับมาปรกติอีกครั้ง
“ท่านออโรร่าคะ สนใจไปเที่ยวชมเมืองด้วยไหมคะ”
“คะ?”
เมื่อเจออีกฝ่ายจู่โจมเข้ามาแบบฉับพลัน ตัวผมที่กำลังว้าวุ่นใจอยู่ก็ดันเผลอตอบรับไปแบบไม่รู้ตัวจากนั้นกว่าจะรู้ตัวอีกทีก็โดนมือบาง ๆ นั้นลากไปที่ไหนก็ไม่รู้เสียแล้ว
————————————————–
หลังจากโดนลากมาแบบกะทันหัน ซิลเวียก็ลากผมไปมาด้วยทางลับหลังปราสาทก่อนที่จะวนออกจนเข้ามาถึงข้างในเมืองจนได้
สิ่งนี้ก็ทำเอาผมอึ้งไปเลยที่คุณหนูดูได้รับการฝึกมาอย่างดีแบบเธอมาพาผมที่เป็นนักบุญมุดรูหนีออกจากวังแบบนี้…. สุดยอดจริง ๆ
หลังจากออกจากรูได้นั้นผมก็นึกอะไรบางอย่างได้จึงออกปากถามเธออย่างเป็นกังวล
“แบบนี้จะไม่เป็นไรจริง ๆ งั้นเหรอ?”
“ค่ะ ไม่มีใครรู้แน่นอนค่ะ”
ซิลเวียพูดไปพลางจูงมือของผมไปด้วย ถึงแม้ท่าทางของเธอจะสงบนิ่งสมกับขุนนางแต่น้ำเสียงนั้นบ่งบอกได้ถึงความยินดีสุด ๆ
ไม่รู้ว่าดีใจอะไรหรอกนะ แต่ว่าตอนนี้อารมณ์ผมนี่สวนทางกับเจ้าหล่อนจริง ๆ ก็ไม่ใช่เสียใจหรืออะไร แต่ความกังวลใจนี่พุ่งทะลุหลอดเรียบร้อย
ถามว่ากังวลใจอะไรอย่างงั้นเหรอ?
“เรื่องชุดน่ะคงไม่มีปัญหา แต่สีผมของฉันนี่สิคะ”
ผมพูดไปพลางยกมือขึ้นมาหมุนปอยผมสีเงินของตัวเองไปมาให้เด็กสาวตรงหน้าดู เพราะถึงในประเทศนี้จะมีสีผมหลากหลายสีสมกับโลกแฟนตาซี แต่มีผมสีขาวแบบผมนี่ล่ะที่มันไม่มี
“ไม่ต้องกังวลนะคะ ท่านออโรร่า ชุดที่เตรียมมานั้นช่วยได้อย่างแน่นอนค่ะ”
ซิลเวียพูดด้วยน้ำเสียงอันแสนมั่นใจ ส่วนผมได้เหลือบตาอย่างเป็นกังวลไปมองชุดที่ว่าด้วยจิตใจที่เต็มไปด้วยข้อสงสัย….
มันจะไหวจริงเหรอ?
ใช่แล้ว ชุดที่ซิลเวียเชื่อมั่นว่าจะปิดบังสีผมสีขาวอันโดดเด่นสว่างแทงตาได้นั้นคือชุดผ้าคลุมซึ่งมีผ้าคลุมหัวรวมอยู่ด้วย ใช่…. ผ้าคลุมศีรษะ!!!!
“นี่ค่ะ… แค่นี้ก็ปิดบังได้แล้วนะคะ”
ซิลเวียว่าเสร็จก็ทำการยื่นมือทั้งสองของเธอมาสวมผ้าคลุมที่ศีรษะของผม พร้อมกับยิ้มออกมาอย่างวางใจ
…..
ถามจริง?
นี่ซิลเวีย มิทราบว่าคุณเธอเป็นพวกพระเอกนิยายสาวน้อยมาเกิดใหม่หรืออย่างไร ถึงได้ทำตัวมาดหล่อ มาดเท่ประดุจเจ้าชายช่วยเจ้าหญิงแบบนี้ไม่ทราบ?
แล้วให้มองตามหลักนะ คือผ้าแบบนี้มันก็ปิดได้ไม่หมดไหมง่ะ ขืนมีเส้นผมหลุดออกมาก็รู้ตัวอยู่…..เอาเถอะ
เมื่อเห็นดวงตาที่ยินดีของเด็กสาวผมทองตรงหน้าแล้ว ผมก็รู้สึกกระอักกระอ่วนใจ หากทักแล้วไปทำลายความมั่นใจและความหวังดีก็เลยปล่อยเลยตามเลยต่อไป
“เจ้ามีสิทธิไปว่าเขาด้วยเหรอนั่น”
เฮ้ย เจ้านกปากปีจอ พูดแบบนี้ได้ไง ทุกอย่างที่ผมทำเนี่ยมันมีเหตุผลหมดเลยนะ เป็นตามหลักการที่ควรกระทำหมดเลยนะ!!
“จะพยายามทำใจเชื่อก็แล้วกัน”
ผมทำเป็นเมินเจ้าราสต่อไปก่อนที่จะกลับไปสนใจซิลเวียต่อ ซึ่งหลังจากที่เธอประดับผ้าคลุมให้ผมเรียบร้อยเธอก็ถอยหลังไปสามก้าวแล้วยื่นมือออกมา
“ไปกันต่อเลยไหมคะ”
“ค่ะ”
ผมจับมือของซิลเวียและเดินตามเธอไปอย่างว่าง่าย โดยมือบาง ๆ ของเธอนั้นกำมือของผมแน่นราวกับกลัวว่าผมจะกลายเป็นเด็กหลงทาง
พรึบ
ระหว่างที่เดินตามเธอไปนั้นเอง ผมก็เห็นอะไรบางอย่างโผล่ขึ้นมาใกล้ ๆ
ที่หลังของซิลเวียนั้นมีพลังงานอย่างผุดขึ้นมา มันเป็นกลุ่มก้อนแสงสีฟ้าที่กำลังก่อตัวขึ้นให้เห็นราง ๆ พร้อมกับสั่นไหวไปมา
ตาของผมถึงกับเบิกโพลงแล้วรีบกะพริบ ๆ รัวโดยในใจหวังว่าให้มันเป็นเพียงภาพลวงตาแต่สุดท้ายไม่ว่าจะสะบัดหัว กะพริบตาขนาดไหน มันก็ยังคงอยู่เหมือนเดิม
…..
ราส… นายเห็นนั่นไหม!!!
“อืม เห็นเต็ม ๆ เลยล่ะ”
เจ้าราสกับผมพยายามหรี่ตามองพร้อมกันเพื่อดูให้แน่ใจว่าสิ่งนั้นมันคืออะไร แต่สุดท้ายสภาพของมันก็ยังไม่เปลี่ยน ยังคงเป็นแสงสีฟ้าสลัว ๆ ที่มองได้อย่างยากลำบากเหมือนเดิม
แล้วนั่นมันอะไรอ่ะ นายพอรู้ไหม?
“อืมมม…. ไม่มั่นใจแต่ข้าต้องบอกว่าข้าขอถอนคำพูดที่พูดไปตอนเช้าแล้วกันที่บอกว่าเจ้าคิดมากไป”
หือ?
“ก็ไม่ได้อยากยอมรับตรรกะแปลก ๆ ของเจ้าหรอกนะแต่ข้าว่ายัยหนูลูกขุนนางคนนี้มีอะไรบางอย่างแน่นอน”
ใช่ งานนี้ผมคิดเหมือนกัน คิดเหมือนกับเจ้าราส….
ซิลเวียมีซัมติงซ่อนอยู่แน่นอน!!!!!
—————————————————————————————————————