ซวยแล้ว! ผมดันโดนเตะมาเกิดใหม่เป็นนักบุญหญิงศักดิ์สิทธิ์ - บทที่ 48 ออโรร่าน้อยกับการสร้างมิตรภาพ
- Home
- ซวยแล้ว! ผมดันโดนเตะมาเกิดใหม่เป็นนักบุญหญิงศักดิ์สิทธิ์
- บทที่ 48 ออโรร่าน้อยกับการสร้างมิตรภาพ
“จับมือข้าดี ๆ นะคะท่านออโรร่า ไม่งั้นท่านอาจจะหลงได้นะคะ”
หลังเดินออกมาจากซอยเปลี่ยว ตอนนี้ผมกับซิลเวียได้เดินอยู่ท่ามกลางถนนใหญ่ที่หลั่งไหลไปด้วยผู้คนจำนวนมากกำลังเดินสัญจรไปมาอยู่เต็มไปหมด
สภาพตอนนี้ของผมช่างเหมือนกับพี่สาวที่กำลังดูแลน้องสาวผู้ไม่เคยออกมาดูโลกที่หากปล่อยมือไปก็คงจะหลงทางเป็นแน่แท้
และคนที่อยู่ในสภาพน้องสาวก็คือผม!!!
“เอ่อ… ไม่ต้องขนาดนั้นก็ได้มั้งคะคุณซิลเวีย”
ผมพูดไปขณะมองมือเล็ก ๆ ที่กำลังจับมือของผมแน่น ในหัวได้แต่ร้องไห้ในใจที่ถูกปฏิบัติเหมือนเด็กแบบนี้ รู้ไหมว่ามันน่าสะเทือนใจขนาดไหนที่โดนเด็กอายุน้อยกว่าตัวเองทางจิตวิญญาณนับสิบปีทำเหมือนเป็นเด็กไม่รู้จักโตแบบนี้น่ะ!!!
ผมโตแล้วนะ!!!
‘แต่การจากสายตาของข้านั้น…. ข้าว่ายัยหนูคนนี้ดูโตกว่าเจ้าเยอะนะ..’
‘หมายถึงวุฒิภาวะน่ะ’
เงียบเลยนะเจ้านกบ้า!!
“ไม่ได้ค่ะท่าน ออโรร่า”
ซิลเวียส่ายหัวรัว ๆ พร้อมส่งสายตาของความเป็นห่วงเป็นใยมาให้ ก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงอันแสนสุดจะจริงจัง
“ข้าเป็นคนพาท่านออกมา ดังนั้นข้าก็ต้องเป็นคนดูแลท่านให้ดีที่สุด มิเช่นนั้น ตระกูล เดอ ฟรอเซียจะมีข้อครหาได้”
ยิ่งพูดมาแบบนี้ยิ่งทำเอาผมรู้สึกเกรงใจขึ้นไปใหญ่ เกรงใจจนผมเริ่มไม่กล้าสบตาเธอเพราะหากปล่อยแบบนี้ต่อไป ผมคงจะต้อง….
ควับ
ยังไม่ทันพูดจบ เธอก็คว้าอีกมือหนึ่งของผมมาจับราวกับอยากให้กำลังใจ แต่ยิ่งทำแบบนี้มันยิ่งทำให้ผมเริ่มชักใจอ่อนมากขึ้นทุกที
“ถึงเมืองกรอริเอลจะไม่ใหญ่เท่าเมืองหลวง แต่ก็ยังเป็นเมืองที่ใหญ่อันดับต้น ๆ ของราสเวนน่าอยู่ดีนะคะ ดังนั้นหากเผลอละก็ท่านออโรร่าจะหลงได้และหากเป็นแบบนั้น… ข้าคงรู้สึกผิดมากแน่ ๆ ค่ะ”
ออโรร่า นั่นมันเด็กนะ นั่นมันเด็ก! จะปล่อยให้เด็กน้อยมาถือเกมนำผมแบบนี้…..
“นะคะ”
“ค่ะ….”
เจอแรงกดดันมหาศาลแบบนี้ แล้วผมจะไปต้านทานได้อย่างไรเล่า!!! สุดท้ายแล้วก็เลยจำยอมปล่อยให้เด็กสาวน้อยสุดจริงจังแห่งแดนเหนือลากไปมาต่อไป
จากนั้นการเดินชมเมืองโดยเข้าถิ่นก็เริ่มขึ้น ซิลเวียทำตัวเป็นไกด์อย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นการแนะนำสถานที่หรือประวัติเมืองเธอล้วนทำได้เป็นอย่างดีเกินกว่าที่เด็กจะสามารถทำได้
“เมืองกรอลิเอลของพวกเรา สมัยก่อนนั้นคือป้อมปราการที่ไว้ป้องกันกองทัพจากปีศาจค่ะ เรียกว่าเป็นชายแดนของราสเวนน่าเลยก็ว่าได้”
ที่เธอพูดมานั้นผมรู้สึกคุ้น ๆ อยู่เหมือนกันเพราะมันมีอยู่ในเนื้อหาการเรียนสมัยอยู่ที่มหาวิหาร ซึ่งแน่นอนให้บอกตามตรงผมเองก็รู้ไม่ค่อยหมดเนื่องจากทุกครั้งผมนั้นแอบหลับอยู่บ่อย ๆ ซึ่งจะบอกว่าโชคดีหรือไม่ก็ไม่รู้เพราะหลายคนไม่มีใครกล้าปลุกเพราะนึกว่าผมกำลังสื่อจิตกับพระเจ้า…..
“แต่หลังจากที่สงครามเริ่มสงบ และเริ่มมีการค้นพบเหมืองโลหะจำนวนมากในเขตเทือกเขาฟรอซ ก็เริ่มมีผู้คนมาทำการบุกเบิกตั้งถิ่นฐานอาศัยกันมากขึ้นเรื่อย ๆ จนกลายเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดของแดนเหนืออย่างทุกวันนี้ค่ะ”
ระหว่างที่ซิลเวียพูดไป เธอก็พลางชี้ไปร้านค้าต่าง ๆ ไปด้วย โดยหากสังเกตดี ๆ จะพบว่ามีร้านค้าหรือร้านช่างฝีมือเกี่ยวกับของจำพวกโลหะจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นงานฝีมือที่มีพวกช่างฝีมือมากล่าวนำเสนอสินค้าของตัวเองให้กับพวกขุนนาง หรือพวกช่างเพชรพลอยที่กำลังโฆษณาสรรพคุณของอัญมณีให้กับคุณนายทั้งหลาย
‘โห พูดแบบนี้แล้วคิดถึงวันวาน ตอนที่ข้ากับท่านนักบุญร่วมกันต่อกรกองทัพปีศาจภาพนั้นข้ายังจำได้ไม่เคยลืม’
ราสที่ได้ยินซิลเวียพูดถึงประวัติของเมืองก็เริ่มหวนลำลึกความหลังเหมือนคนแก่ มันมองซ้ายทีขวาทีอย่างสนใจไม่หาย
‘รู้ไหมว่าสมัยก่อนน่ะ ดินแดนแห่งนี้ไม่ได้ดูสงบสุขแบบที่เห็นหรอกนะ มันแทบจะเป็นดินแดนที่เต็มไปด้วยปีศาจเลยล่ะ จนกระทั่งท่านนักบุญกับเจ้าหนุ่มราสนั่นบุกทลายปีศาจตัวพ่อบริเวณนี้ไปได้ ตอนแรกพวกเขาก็เกือบแย่แต่แน่นอนว่าด้วยการชี้นำของข้าก็ทำให้ชนะมาได้อย่างปลอดภัย’
ย้อนอดีตไม่พอ ยังมิวายมาโฆษณาสรรพคุณตัวเอง ช่างสมเป็นนกแก่จากยุคเก่าแก่เสียจริง ๆ …. ทำตัวเหมือนพวกคุณปู่ไปได้
‘ข้าได้ยินนะโว้ย!!!’
ผมทำเป็นไม่ใส่ใจเจ้าราสก่อนจะหันไปสนใจซิลเวียที่ยังคงทำตัวเป็นเจ้าบ้านและไกด์ที่ดีต่อไป ซึ่งแน่นอนว่าหลาย ๆ อย่างเองก็ทำเอาผมสนใจเหมือนกัน โดยเฉพาะประวัตินักบุญประจำเมืองนี้
“ถึงแม้จะขจัดปีศาจดั้งเดิมออกไปได้หมด แต่ใช่ว่าสันติจะคงอยู่ตลอดไป ที่ใต้ผืนดินแห่งนี้นั้นยังมีปีศาจร้ายอีกตนได้สถิตอยู่ค่ะ”
‘โอ้ ปีศาจร้ายหลังยุคท่านนักบุญหรือ น่าสนใจดีนี่นา!’
เงียบน่าเจ้าราส ผมกำลังตั้งใจฟังอยู่
“อสูรร้ายแห่งเหมันต์ ซีโบลอส…. ร่างของมันสูงใหญ่ราวภูเขาขนหนาของมันปกคลุมยากเกินกว่าดาบทั่วไปจะทำอันตราย ยามมันปรากฏร่างพายุหิมะจะปรากฏและสังเวยชีวิตของผู้คนมากมายเพื่อให้มันดื่มกินวิญญาณและเติบใหญ่”
ซิลเวียพูดไปพลาง มองภูเขาสูงใหญ่เป็นการเปรียบเทียบ พร้อมกันอากาศหนาวเย็นของแดนเหนือทำเอาเรื่องที่เธอเล่าดูสมจริงประดุจดูหนังสี่มิติ
“ตอนนั้นทุกคนต่างสิ้นหวัง ไม่ว่าจะอัศวินผู้เก่งกาจหรือนักเวทผู้ปราดเปรื่องต่างต้องสังเวยชีวิตให้กับมัน”
ซิลเวียพูดไปเรื่อย ๆ ดวงตาของเธอดูสั่น ๆ ก็นะ ในตำนานแบบนี้ให้ผมเดา มันต้องมีอะไรบางใหญ่ที่ผู้ใหญ่ใส่ไว้ขู่เด็กอย่างหากเดินออกคนเดียวจะโดนปีศาจจับตัวแหง ๆ
“แต่ในช่วงนาทีที่สิ้นหวังนั้นเอง….นักบุญผู้ยิ่งใหญ่แห่งยุคสมัยก็ได้ปรากฏตัวขึ้นค่ะ”
ดวงตาสีฟ้าค่อย ๆ เหลือมองไปทางอื่น นั่นคือลานกว้างกลางมือ ที่ใจกลางของมันมีรูปปั้นหนึ่งตั้งตระหง่านไว้ มันเป็นรูปปั้นของอัศวินคนหนึ่ง เกราะของเขานั้นสลักตราสัญลักษณ์ของนักบุญแห่งราสเวนน่าบ่งบอกถึงสถานะ ใบหน้าของเขานั้นนิ่งสงบแต่ดวงตาเต็มไปด้วยเปลวเพลิงแห่งความกล้า
ที่มือของเขาถือดาบเล่มหนึ่ง มันถูกยกขึ้นชี้ไปทางภูเขาตรงหน้าราวกับบ่งบอกถึงเขานั้นกำลังท้าทายอะไรบางสิ่ง
“ท่านฟรอซนักบุญแห่งราสเวนน่าคนที่ยี่สิบเจ็ด ท่านได้ปรากฏตัวขึ้นพร้อมดาบศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่เคยมีผู้ใดเห็นมาก่อน”
พอมาถึงจุดนี้หูของผมแทบผึ่ง ใจของผมเต้นรัว ๆ อย่างตื่นเต้น ไม่ใช่เพราะอะไรแต่เพราะได้เรื่องของวีรบุรุษ ใช่ เรื่องของเหล่านักบุญผู้ห้าวหาญแบบที่ผมอยากจะเป็น นักบุญผู้ถือดาบกวัดแกว่งสังหารปีศาจร้าย!!! อย่างเท่!!!
‘มันช่างจินตนาการยากเสียเหลือเกิน ตัวเจ้าในสภาพนั้นน่ะ’
อย่าดูถูกนะ นี่เพราะผมยังเด็กอยู่ ถ้าหากโตขึ้นรับรองได้เห็นผมจับดาบกวัดแกว่งไปมาในสนามรบจนสาว ๆ ต้องร้องกรี๊ดกราดแน่ ๆ
‘เจ้าเป็นสตรี จะให้สาว ๆ มานิยมชมชอบอะไรล่ะนั่น’
จำไว้นะราส! แม้ร่างกายจะเป็นสาวน้อยแต่จิตใจยังคงเป็นเด็กหนุ่มผู้ห้าวหาญ นามนั้นคือออโรร่า!!!
…….
เจ้าราสไม่มีปฏิกิริยาตอบรับอะไรกับคำประกาศตนของผม ทำเอาผมแอบเหวอก่อนได้แต่บ่นอุบอิบในใจใส่มันเพื่อไม่ให้ซิลเวียรู้สึกแปลก ๆ จนต้องหยุดเล่าเรื่องของนักบุญสายบู้คนนั้น
“ดาบของท่านนั้นช่างมากด้วยฤทธิ์ซึ่งแม้แต่ปีศาจเหมันต์ยังมิอาจต้านทานได้”
“ยังไงเหรอคะ ดาบเล่มศักดิ์สิทธิ์อันยิ่งใหญ่นั่นทำอะไรได้งั้นเหรอคะ!!!”
ยิ่งฟังก็ยิ่งตื่นเต้น มากซะจนผมเผลอโผล่งถามออกไปไม่พอ ยังคว้ามือของเธอมาเขย่ารัว ๆ ประดุจเข่ย่าเซียมซี
“จะ…ใจเย็นก่อนนะคะท่านออโรร่า ใจเย็น ๆ ก่อนค่ะ”
ซิลเวียที่เจอผมเขย่ามือรัว ๆ แบบนั้นก็รีบห้ามปรามพร้อมเรียกชื่อผมเบา ๆ เป็นการเรียกสติก่อนจะหันซ้ายหันขวาไปมาเป็นเชิงส่งสัญญาณให้ผมดูรอบ ๆ แค่นั้นล่ะ…..
“ดูเด็กสองคนนั้นสิ น่ารักจังเลยนะ”
“แหม เล่าเรื่องของท่านฟรอซสินะ ไม่ว่าเด็กคนไหนก็ชอบทั้งนั้นล่ะ”
เหล่าชาวบ้านเริ่มหันมาสนใจพวกผมไม่พอ ยังมีกลุ่มป้าสายเมาท์มอยมาพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน เอาซะจนซิลเวียที่เจอผมเขย่าอยู่เริ่มรู้สึกประหม่า แต่นั่นมันก็ยังไม่เลวร้ายเท่าไหร่หรอก ที่ซวยคือ….
“ว่าแต่เด็กสองคนนั้นดูไปก็หน้าคุ้น ๆ นะ ยิ่งเด็กใส่ฮู๊ดดูไปแล้วก็ยิ่งคุ้น ๆ ตานะ”
“นั่นสิเธอ เหมือนจะคล้าย ๆ ได้ยินว่าเธอเรียกเด็กในฮู๊ดนั้นด้วยว่าอะไรนะ…ออโ…”
อึ๋ย ซวยแล้วไง ดันเผลอทำตัวเป็นจุดเด่นไปซะได้ ขืนมีใครรู้ว่าผมหนีออกมาเดินเล่นล่ะก็ รับรองได้โดนจับกักบริเวณแน่… ต่อให้พวกดยุคไม่ทำ พวกศาสนจักรได้ทำแน่!!! ถ้างั้นงานนี้ต้องใช้หลักการเดิมแล้วล่ะ!!!
ออโรร่าน้อยติดเกียร์หมาเลยจ้า!!!
แต่ยังไม่ทันจะได้ออกเท้าวิ่ง มือของผมก็ถูกมือบาง ๆ ของซิลเวียจับไว้แน่นก่อนจะถูกลากไปอย่างรวดเร็ว
“ทางนี้ค่ะ ท่านออโรร่า”
ซิลเวียที่รู้สึกตัวได้ถึงปัญหาที่จะตามมาก็รีบพาผมเข้าซอยที่ใกล้ที่สุดอย่างรวดเร็วเพื่อหลบสายตาของเหล่าป้า ๆ จอมยุ่งทั้งหลายอย่างรวดเร็วซะจนผมอยากชื่นชม เพราะที่จริงหากปล่อยให้ผมวิ่งเอง มิวายรับรองได้เดินหลงทางอย่างแน่นอน
“เกือบไปแล้วนะคะ”
“อือ ขอโทษด้วยนะคุณซิลเวีย ทำให้ลำบากจนได้”
ผมพูดขอโทษพร้อมก้มหน้าสำนึกผิด เพราะหากความแตกว่าเราสองคนแอบออกมานั้น คนซวยสุดไม่ใช่ผมแต่เป็นซิลเวียที่แอบพาผมออกมา ยิ่งเป็นลูกสาวของท่านดยุคยิ่งแล้วใหญ่ มิวายได้โดนทั้งดุทั้งกักบริเวณแน่ ๆ
“อย่าทำเช่นนั้นเลยค่ะท่านออโรร่า เป็นความผิดของข้าเองที่ต้องทำให้ท่านออโรร่าต้องลำบากเช่นนี้”
ซิลเวียรีบชิงโค้งหัวขอโทษก่อน ยิ่งทำเอาผมรู้สึกผิดเข้าไปใหญ่ แต่ขืนขอโทษไปเรื่อย ๆ แบบนี้ล่ะก็ รอจนตะวันตกดินก็คงไม่จบ สงสัยต้องชิงเปลี่ยนเรื่อง
“เอ่อ… ว่าแต่มีที่ไหนที่แนะนำสำหรับท่องเที่ยวไหมคะ”
“ท่านออโรร่าอยากไปที่ไหนเป็นพิเศษไหมคะ?”
ที่ ๆ อยากไปเป็นพิเศษอย่างนั้นเหรอ? หึ ๆ ที่ ๆ ออโรร่าผู้นี้อยากไปเป็นอย่างมากนั้น ไม่ว่าจะตอนไหนมันก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลง!!!
“ร้านขนมหวานค่ะ!”
“เอ๋?”
ซิลเวียทำหน้างงเป็นไก่ตาแตกทันทีเมื่อเจอผมตอบร้านขนมหวานไป ไม่พอท่าทางของเธอนั้นยิ่งเหวอกว่าเดิมเมื่อผมคว้ามือเธอแล้วส่งแววตาใสแป๋วเข้าใส่ประดุจลูกหมาอ้อนเจ้านาย
“เอ่อ..ได้ค่ะ”
แน่นอนว่านักบุญไปร้านขนมหวานนั้นมันช่างน่าแปลก แต่หลังจากเจอพลังอันแสนใสซื่อของออโรร่าน้อยไป ซิลเวียก็ไม่ได้ถามอะไรและยอมพาผมไปแต่โดยดี
“มีแต่ของน่ากินทั้งนั้นเลย ขอบคุณมากเลยค่ะซิลเวีย”
ผมเดินออกมาจากร้านขนมหวานด้วยรอยยิ้มพร้อมกับถุงใส่เค้กและคุกกี้จำนวนมากในมือ แน่นอนว่าคนจ่ายไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็นซิลเวีย… เป็นเจ้าภาพที่ดีจริง ๆ
ผมกับซิลเวียมาหาที่นั่งใต้ร่มไม้สงบ ๆ เพื่อแวะทานของหวานกัน โดยเลือกในจุดที่ไม่ค่อยมีคนเท่าไหร่เนื่องจากความเสี่ยงที่จะความแตก
เมื่อได้ที่แล้วผมไม่รอช้าทำการเริ่มจัดเรียงเค้กไว้ตามลำดับความชอบ จากนั้นอาวุธในมือที่เรียกว่าส้อม ก็ถูกชักออกมาและด้วยความอดอยากของหวานเนื่องจากการถูกคุมเข้มมานานที่วังก็ถูกปลดปล่อยออกมา
แม้จะรักษากิริยาตามที่ได้รับการสอนมาและไม่อยากหน้าแตกต่อเด็ก แต่ด้วยความอดอยากนั้น มือของผมมันเคลื่อนที่หาพวกขนมหวานทั้งหลายที่วางเรียงรายอยู่ตรงหน้าและตักเข้าปากอย่างรวดเร็ว ทว่าเปี่ยมล้นไปด้วยความงดงามของนักบุญ…. คิดว่าน่าจะเป็นแบบนั้น
ความหวานและหอมของเค้กแห่งแดนเหนือที่ขึ้นชื่อก็เริ่มหลอมละลายในลิ้นของผม ความรู้สึกเปี่ยมล้นไปด้วยความสุขนี้มันช่างยากเกินกว่าจะทานทนจนผมหุบยิ้มไม่ได้
มันราวกับดินแดนอันแห้งผากกำลังได้ถูกหล่อเลี้ยงด้วยสายฝนแรกหลังแล้วมานานนับศตวรรษ เหมือนเป็นความหวังที่มอบให้กับโลกอันน่าเศร้าใบนี้
…..
‘นี่ถ้าไม่บอกว่าเจ้ากำลังดีใจที่ได้กินของหวาน ฟังไง ๆ ก็นึกว่าเจ้าโดนของจนสมองกลับ…..’
เจ้าราชพูดมาด้วยน้ำเสียงหน่ายเหนื่อยใจ แต่ไม่วายมันยังจะแอบลอบกินขนมหวานของผมโดยอาศัยจังหวะที่ผมไม่รู้ตัว แน่นอนว่าผมป้องกันโดยเอาส้อมไปดักแล้วชิงตักมาก่อน….
จะแย่งอะไรน่ะแย่งได้ แต่จะมาแย่งขนมหวานจากออโรร่าน่ะ ข้ามศพไปก่อนเถอะ!!!
‘เป็นนักบุญต้องจิตใจเอื้อเฟื้อสิ ไหนล่ะ คราบนักบุญที่เมตตาและอารีของเจ้าน่ะ มันหายไปไหน’
เอามันวางไว้ข้างทางนั่นล่ะ!!!
“เอ่อ อาจจะไม่ดีที่ต้องถามแต่ท่านออโรร่าทานของหวานเช่นนี้จะไม่เป็นไรใช่ไหมคะ…คือไม่เป็นไรแน่ ๆ ใช่ไหมคะ”
ซิลเวียมองมาที่ผมด้วยสายตาอย่างเป็นกังวล แม้ใบหน้าของเธอจะพยายามทำให้สงบแต่แววตาและน้ำเสียงนั้นบอกได้ชัดเจนว่าความกังวลของเธอมันมากจนทะลุหลอดแล้ว ทำไมหว่า?
‘นี่เจ้าโง่หรือบื้อกัน ก็เจ้าบอกข้าเองไม่ใช่เหรอว่านักบุญยุคนี้น่ะถูกห้ามกินของหวาน เจ้าเล่นบังคับนางให้ซื้อของหวานให้ ป่านนี้นางคงกังวลใจว่าตัวเองทำบาปต่อพระเจ้าเพราะเป็นคนนำมาซึ่งบาปแห่งนักบุญ’
……
เออ จริงด้วย!!!
ไอ้ผมก็ชินกับการหลอกล่อพวกอัศวินพวกนั้นให้ซื้อขนมมาให้ด้วยสารพัดข้ออ้างจนลืมไปว่าซิลเวียนั้นเป็นแค่เด็กที่หลงเชื่อในความเชื่อผิด ๆ ของศาสนจักรที่ว่า ‘นักบุญกินขนมหวานไม่ได้’ อยู่ เพราะงั้นจะเก็บเอาไปเครียดจัดคงไม่แปลก… ซวยแล้ววววว
‘เนี่ย ทำอะไรไม่คิดตลอดเลยเจ้า ทำคนอื่นเขาซวยแล้วเห็นไหม’
ไม่ได้การ ๆ ต้องหาทางแก้ ต้องหาทางแก้!!
รอบพวกอัศวินมีเอาเรื่องงานหรือเรื่องเหตุการณ์แปลก ๆ มาอ้างได้ แต่นี่.. แต่ตรงหน้าของผมนั้นเป็นเด็กสาวผู้ใสซื่อ จะทำอะไรแบบนั้นคงไม่ได้เพราะจะไม่เนียน…….
“ตัวข้านั้นจะอย่างไรก็ได้ แต่หากท่านออโรร่าเป็นอะไรไป ข้าคงต้องรู้สึกผิดแน่ ๆ เลยค่ะ”
มันจะอะไรกับขนมหวานฟะ!!! นี่นักบุญกินขนมหวานหรือไปฆ่าคนตาย เหตุใดถึงต้องจริงจังขนาดนั้น!!!
ทำไงดีออโรร่า ทำไงดี ทำไงถึงจะแก้สถานการณ์ความคิดมากของเด็กสาวผู้จริงจังตรงหน้าของผมได้กัน…… เด็กผู้จริงใจและใสซื่อเที่ยงตรง…. แบบนี้ก็ได้นี่หว่า
‘เจ้าคิดแบบนี้ทีไร ข้ากังวลใจทุกที’
“มันเป็นข้อยกเว้นค่ะ”
“ข้อยกเว้นงั้นเหรอคะ”
ผมค่อย ๆ วางของในมือลงอย่างช้า ๆ ก่อนตีสีหน้าให้ดูอมทุกข์เล็กน้อย ด้วยการคลี่ยิ้มออกมาให้ดูไม่สุดประดุจคนกล้ำกลืนฝืนยิ้ม หรี่ตาให้เล็กราวกับคนกำลังหวนความหลังอันแสนสะเทือนใจ
“ซิลเวียรู้สินะคะว่าฉันนั้นเพิ่งเป็นนักบุญมาไม่นาน”
“ค่ะ”
“ฉันน่ะ ตั้งแต่เกิดมาก็มีเพียงแค่คุณพ่อค่ะ… มีแค่คุณพ่อเท่านั้น….”
ผมพยายามทำเสียงของตัวเองให้มันดูสั่นแบบกล้ำกลืนที่สุด ให้เหมือนเป็นความทรงจำที่ผนึกเอาไว้ไม่อยากพูดถึง
“ตอนนั้นฉันรู้สึกถึงความเดียวดายค่ะ… จนเผลอเอ่ยถามคุณพ่อไป”
คือตอนนั้นก็ไม่มีอะไร ตัวผมนั้นรู้อยู่แล้วว่าคุณพ่อเก็บผมมาเลี้ยง แต่เห็นคุณพ่อแกชอบทำหน้าตาดูเหงาตลอดเวลาแถมชอบนั่งมองรูปอะไรสักอย่างตลอดเลยเผลอไปหลุดปากถามถึงคุณแม่ซะงั้น และนั่นล่ะ หนังดราม่าชีวิตก็เกิดขึ้นซะงั้น
คุณพ่อมากอดผมและบอกว่าคุณแม่จะอยู่กับผมตลอดไป….. ทำเอาผมรู้สึกผิดมาก ๆ จนแทบร้องไห้เลยล่ะ พอยิ่งเป็นแบบนั้น คุณพ่อก็กอดผมหนักขึ้นเรื่อย ๆ
‘สมเป็นเจ้าจริง ๆ’
“คุณพ่อน่ะไม่พูดอะไร เพียงแค่นำเค้กมาให้แล้วก็บอกว่าคุณแม่น่ะชอบทำอาหารมาก นี่เป็นหนึ่งในสิ่งที่คุณแม่พอจะเหลือไว้ให้….”
ความจริงมันก็คล้าย ๆ อ่านะ แต่คุณพ่อแค่บอกว่า “เธอคนนั้นชอบทำสิ่งนี้มาก หวังว่าลูกจะลอบ” ดังนั้นผมเลยแทงไว้ว่าคนรักเก่าคุณพ่อคงทำอาหารเก่งแหงม ๆ
“รสชาตินั้น รสชาติของคุณแม่…รสชาติในวันนั้น ฉันยังจำได้ไม่เคยลืมค่ะ”
ถูกต้อง หลังจากเจออาหารที่สุดแสนจะไม่อร่อยของโลกนี้มาอย่างยาวนานจนจิตใจคนชอบกินของผมมันแทบแห้งเหี่ยว ดังนั้นเค้กที่คุณพ่อเอาให้ก็เป็นดั่งของที่สวรรค์ประทานให้ มันเป็นสิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกถึงความสุขของโลกใบนี้!!!
“แต่พอได้เป็นนักบุญแล้ว สิ่งเหล่านั้นก็ถูกห้ามไปมันทำให้รู้สึกเหงาหงอยหน่อยหนึ่งค่ะ”
เหงาปากอ่านะ
“แต่ในตอนที่ฉันกำลังถูกความเหงานั้นกลืนกิน จู่ ๆ เสียงของพระเจ้าก็ได้บอกไว้ว่า “หากนั้นสิ่งที่ทำให้เจ้าทุกข์ทนอยู่ ข้าจะละเว้นให้หากเจ้ายังยึดถือในหนทางแห่งความรักต่อผู้คนของข้า” แบบนั้นละค่ะ”
ความจริงคือตอนนั้นผมบ่นเจ้าพระเจ้ารัว ๆ เลยล่ะว่าทำไมต้องมากำหนดกฎมั่วซั่วอะไรแบบนี้ ซึ่งเจ้าหมอนั่นก็บอกมาว่า “ข้าเปล่าซะหน่อย พวกโบสถ์กำหนดมั่ว ๆ กันเอง”
ประดุจชี้โพรงให้กระรอก หากไม่ห้ามก็เท่ากับอนุญาต คำของศาสนจักรจะมาสู้พระเจ้าได้อย่างไร เพราะฉะนั้นการที่ผมบอกไปแบบนั้นก็นับว่าพระเจ้ายกเว้นให้ผม… เห็นมะ ไม่ได้โกหกแม้แต่น้อย
‘ข้ายอมใจเจ้าจริง ๆ พระองค์จะต้องปวดหัวกับเจ้ามากแน่ ๆ’
หึ ๆ แต่ดูซะราส ดูพลังแห่งวาจาของออโรร่าน้อยคนนี้ซะว่ามันได้ผลดีขนาดไหน
คิดเสร็จผมก็มองไปทางซิลเวียที่นั่งฟังผมนั่งโม้เหม็นปั้นเรื่องเป็นน้ำอยู่นานสองนาน เท่านั้นล่ะ….. ผมอึ้งไปเลย
“ฮะ…ฮึก ๆ ท่านออโรร่าคะ… ท่…ท่านช่างเข้มแข็งจริง ๆ ค่ะ”
ดวงตาสีฟ้าครามของเธอเอ่อล้นไปด้วยน้ำตา ซิลเวียนั้นร้องไห้สะอื้นและมองมาที่ผม มันเป็นสายตาที่โศกเศร้าให้กับโชคชะตาและชื่นชมให้กับผู้ที่ผ่านพ้นมาได้
อะ…เอ๋ มันได้ผลดีเกินไปไหมเนี่ย ถึงขึ้นร้องไห้น้ำตาไหลเลยเหรอ! คอเข้าใจอยู่นะว่าเด็ก ๆ เขาสะเทือนขวัญกับเรื่องดราม่า ๆ ได้ง่าย แต่ชักรู้สึกผิดแบบระดับที่คิดว่าต้องหาทางทำอะไรไถ่โทษที่ให้มาเสียน้ำตากับเรื่องแต่งของผมแล้วสิ!
“ทั้ง ๆ ที่ต้องถูกพรากสิ่งสำคัญขนาดนั้นแต่ก็ยังยืนหยัดเข้มแข็งได้มาอย่างเนิ่นนานจนพระผู้เป็นเจ้ายังสงสารและมอบข้อยกเว้นให้เช่นนี้ ท่านออโรร่ามีจิตใจที่มั่นคงและแข็งเกร่งขนาดไหนกัน…ข้า ข้านึกไม่ถึงจริง ๆ ค่ะ”
“ไม่หรอกค่ะ พระองค์เมตตาต่อทุกคน เมื่อเห็นใครเป็นทุกข์ก็ต้องช่วยเหลือ ที่คุณควรสรรเสริญและชื่นชมนั้นไม่ใช่ฉันแต่เป็นพระผู้เป็นเจ้าค่ะ”
ยิ่งพูด ซิลเวียก็ยิ่งส่ายหน้า
“อย่าถ่อมตนเลยค่ะ การที่พระองค์ทรงละเว้นความผิดบาปให้แก่ท่านออโรร่าโดยเฉพาะนั้น ท่านออโรร่าต้องพิสูจน์ความศรัทธามามากอย่างแน่นอนค่ะ!”
เอ้า! กับการให้กินขนมหวานเนี่ยนะ! กับการที่นั่งทนไม่กินขนมหวานมาปีกว่าเนี่ยนะ!!!!
“เรื่องนั้น… ฉันไม่ได้พิสูจน์อะไรหรอกค่ะ แค่พยายามทำตัวเองให้เป็นตัวเองคนเดิมเท่านั้นเองค่ะ”
ใช่!!! ผมไม่ได้ทำอะไรเลย!!! วัน ๆ นอนอืดกับกินอย่างเดียว เพราะงั้นอย่าพูดถึงเรื่องนักบุญผู้ยิ่งใหญ่ขน่าดนั้นเลยนะ!!!
“การพิสูจน์ตัวเอง…ด้วยการพยายามทำตัวเองให้เป็นตัวเองที่สุด…”
หล่อนฟังอีท่าไหนถึงจับใจความแบบนั้นกัน!!!
“ท่านออโรร่า….ท่านช่างสมเป็นนักบุญที่ยิ่งใหญ่และได้รับความรักอันสูงสุดจากพระผู้เป็นเจ้าจริงๆ ค่ะ!!!”
หยุดเถอะซิลเวีย! นักบุญทุกคนกำลังร้องไห้อยู่นะ! ยิ่งเธอชมผมมากเท่าไหร่ นักบุญทั้งหลายก็ยิ่งร้องไห้ตายตาไม่หลับกันจนล้นโลงศพมากเท่านั้น เพราะฉะนั้นพอเถอะ!!!
หลังจากร้องไห้สะเทือนขวัญ ต่อมาก็กล่าวชมรัว ๆ เอาจนผมเริ่มรู้สึกกระอักกระอ่วนใจขึ้นเรื่อย ๆ เหงื่อของผมนี่ผุดอยู่หลังหัวเป็นร้อยเม็ดได้แล้ว จะให้บอกว่านี่เป็นเรื่องแต่งไปตอนนี้คงไม่ทัน ไม่งั้นงานคงได้งอกกว่านี้ร้อยเท่า…..
อีกอย่างนะ เมื่อครู่ซิลเวียเล่นเรียกผมท่านออโรร่ารัว ๆ แถมยังไม่เก็บเสียงด้วยความที่กำลังอินกับเรื่องเล่าของผม…. แผนหนีเที่ยวโอกาสพังสูงมาก
ไม่สิ คิด ๆ ไป จากนี้มันต้องมีโอกาสเกิดเรื่องที่ทำให้เธอต้องประทับใจเรื่องแปลก ๆ ที่ผมมั่วขึ้นมาแน่ เพราะงั้นต้องหาอะไรสักอย่าง อะไรสักอย่างที่มาอุดจุดบอดนี้
‘ข้าว่าเจ้าแค่พูดความจริงมันน่าจะแก้ได้ง่ายนะ’
รู้แล้ว!!! แค่ให้เธอเรียกเราด้วยชื่ออื่นก็พอแล้วนี่นา!!! ใช่ ถ้าการเรียกชื่อมันสร้างความเด่นมากขนาดนั้น ก็แค่เปลี่ยนให้ไปเรียกชื่ออื่นก็ไม่มีใครสนใจแล้ว!!!
‘นี่เจ้าใช้สมองส่วนไหนคิดกัน ผลลัพธ์ถึงออกมาแบบนี้ ที่คนเขามองพวกเจ้าก็เป็นเพราะการเล่นใหญ่ไฟฟระพริบของพวกเจ้าต่างหากเล่า ยัยเผือกกกกกกก’
“เอ่อ…. คุณซิลเวียคะ”
“คะ? ท่านออโรร่า”
ซิลเวียเหมือนเธอจะเริ่มสงบสติอารมณ์ของตัวเองได้แล้ว จึงกลับมานั่งสงบเหมือนเดิม แต่มิวายดวงตาที่เปี่ยมล้นไปด้วยความชื่นชมยังคงเก็บไม่มิด ยิ่งแสดงถึงโอกาสที่แผนจะแหกยังคงสูงอยู่
“สภาพตอนนี้มีสิทธิที่จะความแตกเอาได้ ฉันคิดว่าคุณซิลเวียเรียกฉันด้วยอย่างอื่นดีกว่านะคะ”
“งั้นให้เรียกว่าอะไรดีคะ?”
นั่นสินะ…. จะให้เธอเรียกผมว่าอะไรดี แบบชื่อย่อ ๆ งี้ไหม? มันก็จะออกมาเป็น… ท่านออ ท่านโรหรือท่านร่า?
……
‘ถ้าเจ้าเอาจริง ข้าว่าเจ้าเป็นหนักอะ’
เอาก็แย่แล้ว! ยิ่งท่าน “ร่า” เนี่ย ฟังไง ๆ มันก็ดูไม่ค่อยเป็นมงคลต่อการถูกนำคำนำหน้าชื่อแปลก ๆ มาใส่เอาเสียมาก ๆ เลยนะ!!!
เพราะงั้นเอาชื่อไรดีหว่า?
ผมพยายามนั่งคิดอย่างอยู่พักหนึ่ง จู่ ๆ ความคิดก็มีชื่อ ๆ นึงดังเข้ามาอยู่ในหัว มันเป็นเสียงของใครบางคนที่คุ้นเคยและไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกว่าชื่อนี้มันโอเสียมาก ๆ
“เรียกว่า “อัล” ก็แล้วกันค่ะ… แค่อัลเฉย ๆ ก็พอ”
ใช่~ ชื่ออัล เป็นชื่อที่เจ้าโล เด็กแก่แดดจากจักรวรรดิมาตั้งตั้งให้ผมเสียดื้อ ๆ แต่ดูแล้วมันก็ใกล้เคียงชื่อผมแถมยังฟังดูไม่ประหลาดด้วย ดังนั้นอันนี้น่าจะดี
“ท่านอัลสินะคะ”
“แค่อัลเฉย ๆ ก็พอค่ะ”
เพราะขืนเดินไปเดินมาในเมืองและมีคนมาเรียก ท่าน ๆ รัว ๆ แถมยังใส่ฮู๊ดปิดบังตัวเองแบบนี้ มันต้องเป็นการกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นของเหล่าป้าจอมจุ้นแน่นอน เพราะงั้นให้เรียกแบบธรรมดาไปก็พอแล้ว
“เอ่อ…. มันจะไม่เหมาะสมนะคะ”
ซิลเวียได้ยินแบบนั้นเธอก็ส่ายหัวไปมา รัว ๆ
ก็เข้าใจที่เธอว่าอยู่หรอก เพราะไอ้ตำแหน่งนักบุญของผมเนี่ย มันสูงระดับเป็นลองแค่ไม่กี่คนในอาณาจักร เพราะงั้นการที่ลูกขุนนางมาเรียกชื่อเล่นห้วน ๆ แบบนี้มันจะไม่เหมาะสมเอาได้
ให้ตายสิ ยุ่งยากจังเลยนะ~
แต่เอาจริง ๆ ผมก็ไม่ได้เดินเล่นแบบนี้มานานแล้วแหะ ยิ่งมากับคนอายุใกล้เคียงแบบนี้ด้วยยิ่งแล้วใหญ่ ถ้าไม่นับเจ้าเด็กสุดมืดมน ลูกศิษย์คุณพ่อแล้วล่ะก็ ซิลเวียแทบจะเป็นเพื่อนคนแรก ที่มาเดินเล่นกับผมแบบนี้เลย
เพื่อน? โอ้~
ความคิดบางอย่างวิ่งผ่านเข้ามาในหัวของผม ไม่รอช้า ผมจึงยื่นมือของตัวเองเข้าไปหาซิลเวียแล้วก็กุมมือทั้งสองที่ยังคงสั่น ๆ อยู่ของเธอ
“อย่าว่าแบบนั้นเลยค่ะ ซิลเวีย พวกเราน่ะเป็นเพื่อนกันแล้วนะคะ เพราะงั้นโปรดเรียกชื่อของฉันแบบที่เพื่อนควรจะเรียกกันเถอะค่ะ”
แค่นั้นล่ะ มือของเด็กสาวผมสีทองที่ว่าสั่นอยู่แล้วยิ่งสั่นหนักกว่าเดิม ดวงตาที่เริ่มกลับมาสงบนิ่งตอนนี้เหลือบล่อกแล่กไปมารัว ๆ
“พะ…เพื่อนงั้นเหรอคะ ข้า… ข้าได้เป็นเพื่อนกับท่านออโรร่า…กับท่านนักบุ..อุบ!”
ก่อนที่เธอจะพูดคำต้องห้ามออกมา ผมรีบยกมือของตัวเองเข้าไปปิดปากของเธออย่างฉับไว เรียกออโรร่าว่าแย่แล้ว ท่านนักบุญยิ่งแล้วใหญ่
เมื่อซิลเวียดูจะเริ่มสงบลงอีกครั้งผมจึงลดระดับมือของตัวเองลงก่อนจะเริ่มพูดอีกครั้ง
“หรือว่าที่ไม่เรียกชื่อเล่นของฉัน….เพราะไม่อยากเป็นเพื่อนกับฉันงั้นเหรอคะ?”
ทั้งหมดผมกำลังทำอยู่นั้นคือการลอกตามแบบพวกตัวละครผู้หญิงสายแผนการที่ชอบจับลากตัวละครอื่นมาเป็นเพื่อนแบบแกมบังคับ…ดูเหมือนจะได้ผล….
“มะ..ไม่ค่ะ อยากเป็นสิคะ ได้เป็นเพื่อนกับท่านออโร….เอ่อ”
จ้องงงงงง
“ท่านอัล….!”
จ้องงงงงงงงงงง
“อะ……อัล”
ซิลเวียพอได้พูดชื่อเล่นของผมแบบไม่มีคำนำหน้าแล้ว เธอยิ่งลนหนักกว่าเดิม ตอนนี้ทั้งสองมือของเธอม้วนไปมาอย่างอยู่ไม่สุข
“ค่ะ แบบนั้นล่ะค่ะ”
แบบนั้นล่ะ! เยี่ยม สกิลการเพิ่มเพื่อนของออโรร่าน้อยนี่ช่างทรงพลังดีจริง ๆ
“ครั้งแรกเลยนะคะ ที่มีคนอายุรุ่นเดียวกันมาขอเป็นเพื่อนแบบนี้แถมคนนั้นยังเป็นท่าน….เอ่อ เป็นอัลด้วยแล้ว ยิ่ง…ดีใจมาก ๆ เลยค่ะ”
รอยยิ้มบาง ๆ เริ่มถูกคลี่ออกมาอย่างสุขใจอยากสาวน้อยผมสีทองตรงหน้าผม ดูเหมือนชีวิตการเป็นบุตรีของดยุคนั้นน่าจะหนักหนาและเหงาหงอยอยู่พอสมควรนะ เมื่อดูจากอาการของเธอ… ให้ตายสิชีวิตขุนนาง
จะว่าไป ไหน ๆ ผมกับเธอก็เป็นเพื่อนกันแล้วถ้างั้นผมก็ต้องเรียกชื่อเล่นเธอเหมือนกันสินะ แถมเป็นเพื่อนคนแรกด้วยสิ เพราะงั้นต้องจัดใหญ่แล้วล่ะ!
ไม่รอช้า ผมค่อย ๆ เอียงคอและจัดองศาให้เหมาะสมประดุจกำลังถ่ายรูปเซลฟี่ ก่อนที่จะค่อย ๆ คลี่ยิ้มออกมาให้ดูยินดีและเจิดจ้ามากที่สุดเท่าที่ออโรร่าน้อยจะทำได้
“ฉันเองก็ดีใจมาก ๆ เช่นกันค่ะ ซิลวี่”
!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
กึก
หือ? อย่างกับได้ยินเสียงอะไรบางอย่างกลายเป็นหิน?
สิ่งที่ว่านั้นก็ไม่ใช่อะไร คือเด็กสาวผมสีทองตรงหน้าของผมนั่นเอง ซิลเวียตอนนี้นิ่งแข็งค้างไปทันทีเมื่อถูกผมเรียกด้วยชื่อเล่นอันแสนจะสนิทสนม…..
ดังนั้นผมจึงยืนยันได้หนึ่งสิ่ง
พลังทำลายออโรร่าน้อยนี่…. ยังแรงไม่เปลี่ยนจริง ๆ !!!!
——————————————————————–
จบไปแล้วอีกตอนนะครับ หลายคนอาจสังเกตุว่ามันกาวน้อยลง… แน่นอน! ของดีมันต้องเก็บไว้ตอนเหมาะสม ดั่งบอกว่าเราต้องกินข้าวก่อนถึงจะได้กินกับนั่นล่ะ