ซวยแล้ว! ผมดันโดนเตะมาเกิดใหม่เป็นนักบุญหญิงศักดิ์สิทธิ์ - บทที่ 53 ออโรร่าน้อยกับดาบแห่งเหมันต์
- Home
- ซวยแล้ว! ผมดันโดนเตะมาเกิดใหม่เป็นนักบุญหญิงศักดิ์สิทธิ์
- บทที่ 53 ออโรร่าน้อยกับดาบแห่งเหมันต์
เอาแล้วไง นี่มันกลายเป็นเรื่องยุ่งสุด ๆ ไปเลยไม่ใช่เหรอ…
ตอนนี้เบื้องหน้าของผมคือบานประตูเหล็กขนาดใหญ่ซึ่งถูกลงผนึกวงเวทสีฟ้าขนาดใหญ่ พลังเวทของมันยังแผ่ออกมาให้สัมผัสได้อย่างชัดเจน แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ผมกำลังกังวลอยู่
“ท่านนักบุญดูหน้าเครียด ๆ นะ”
“แม้จะเป็นนักบุญผู้เป็นที่รักของพระเจ้า ทว่าเรื่องใหญ่เช่นนี้ ไม่แปลกหรอกที่ท่านจะกดดัน”
“ถ้างั้นปัญหานั่นก็อาจจะใหญ่กว่าที่เราคิดไว้ หรือว่าจอมปีศาจเหมันต์จะตื่นขึ้น”
ที่เครียดน่ะมันก็เพราะพวกแกไม่ใช่เหรอไง!!!
ผมเหลือบมองไปยังเหล่าขุนนางมากมายที่เดินติดตามผมมาหลังจากที่ท่านดยุคแห่งฟรอเซียได้ประกาศออกไปถึงหายนะที่กำลังจะมาถึง แน่นอนว่าไอ้ที่ว่ามานั่นทั้งหมดนั้น พวกเขามโนกันเองล้วน ๆ
ไม่รู้ว่าทำไมกับการที่บอกซิลวี่แค่มาตรวจสอบแล้วเรื่องมันจะกลายเป็นแบบนี้ได้ ถ้าแค่พ่อของเธอหรือผู้ติดตามไม่กี่คนผมยังพอรู้สึกว่าปกติ แต่นี่เล่นยกกันมาหมดแคว้นแถมจัดพิธีใหญ่โตเพื่อเปิดผนึกประตูนี่ ถ้าเกิดไม่มีอะไรนี่ผมไม่หน้าแหกยับ ๆ ต้องเอาปี๊ปมาคุมหัวเหรอไง
ส่วนซิลวี่ที่ทำให้เรื่องมันยุ่งสุด ๆ ก็กำลังยิ้มอย่างมีความสุขเนื่องด้วยเข้าใจไปแล้วว่าเธอได้ช่วยเพื่อนรักของเธอ ซึ่งอันที่จริงแล้วแม่คุณทำให้เรื่องมันวุ่นวายหนักกว่าเดิมต่างหากล่ะ แต่ด้วยความห่วงจิตใจของเพื่อนใหม่คนนี้ ผมจึงไม่พูดอะไรออกไป
อย่างน้อยหากมองโลกในแง่ดี เธอก็พอยืนหยัดเพื่อทำสิ่งที่ต้องการได้ล่ะนะ ถึงสิ่งที่เธอทำจะไม่ใช่สิ่งที่ผมอยากให้ทำก็เถอะ
“ไม่ต้องห่วงนะคะ สิ่งที่อัลคิดจะทำ ฉันจะช่วยให้ถึงที่สุดเลย”
“ขอบคุณมากนะซิลวี่”
ผมยิ้มอย่างฝืน ๆ เพื่อรักษาน้ำใจแก่เพื่อนใหม่คนนี้ โดยในใจก็ภาวนาขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์นำพาให้ผมรอดจากสถานการณ์สุ่มเสียงต่อการหน้าแตกนี่ด้วยเถอะ
“ประตูนี่น่ะ จะเปิดเฉพาะช่วงงานพิธีการซึ่งต้องมีขั้นตอนมากมายเพื่อปลดอาคม แต่เนื่องจากเป็นพิธีฉุกเฉิน จึงได้เรียกนักบวชชั้นสูงที่พอหาได้มาช่วยปลดผนึกในครั้งนี้น่ะ”
ทำไมกันนะ ทำไมผมรู้สึกผิดต่อท่านนักบวชทั้งหลายขึ้นมาเลย… ขอโทษที่ทำให้วุ่นวายครับ!!!
“แม้พวกเราจะไม่มีพลังเทียบเท่าท่านนักบุญ แต่ว่าด้วยที่ท่านจำเป็นต้องถนอมพลังไว้ใช้กับพิธีของดาบแห่งเหมันต์ เช่นนั้นแล้วพวกเราจึงอยากช่วยแบ่งเบาภาระท่านนักบุญครับ”
นักบวชกลุ่มหนึ่งที่ยืนอยู่หน้าประตูหันมาพูดกับผมด้วยรอยยิ้ม พวกเขาอยู่ในชุดสีขาวซึ่งตกแต่งอย่างดีด้วยลายสลักลวดลายสีทองมากมาย บ่งบอกถึงยศฐานะที่สูงส่งของพวกเขา
“อืม สู้ ๆ นะคะ”
ผมตอบกลับไปด้วยรอยยิ้ม แต่แววตานั้นหาได้มีแววใด ๆ มีเพียงแววตาปลาตายเท่านั้นที่สามารถส่งกลับไปให้พวกเขาได้อย่างท้อใจ
การบริกรรมร่ายคาถาได้ใช้เวลาอยู่ชั่วครู่หนึ่งก่อนที่วงเวทที่สลักอยู่ประตูจะเริ่มจางหายไป เหล่าทหารของดยุคไม่รอช้ารีบผลักประตูไป ตอนนั้นเองที่อากาศของห้องเริ่มแปรเปลี่ยนไป
แม้อากาศของแดนเหนือจะหนาวเหน็บ ทว่าบรรยากาศที่เปลี่ยนแปลงไปนั้นกลับหนาวเย็นมากกว่า ไอเย็นได้แผ่ออกมาจากช่องประตูที่ถูกแง้มออกมา พร้อมกันไอเย็นที่จับกันจนเป็นหมอกควันก็ออกมาด้วย
หนาว หนาวโคตร ๆ
ผมรู้สึกได้ถึงความหนาวเย็น แน่นอนว่าเหล่าคนรอบ ๆ ที่ตามมาเองก็เช่นกัน ช่างเป็นการเปิดตัวของดาบที่โหดร้ายต่อผู้คนจริง ๆ
พระเจ้าบ้า ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว ช่วยส่งฮีตเตอร์หรืออะไรก็ได้ที่ทำความร้อนมาให้หน่อย ขืนเป็นแบบนี้ต่อไป ผมได้เป็นหวัดแหง ๆ
“ด้วยอำนาจอันยิ่งใหญ่ของท่านผู้เหนือทุกสิ่ง โปรดมอบความอบอุ่นแห่งอ้อมกอดของท่านแก่พวกเราด้วยเถิด”
เพียงแค่คิด ปากของผมร่ายมนตร์โดยอาศัยพลังของนักบุญไป ก็บังเกิดแสงสว่างเรืองรองกระจายออกจากร่างของผม พร้อมกันความหนาวเย็นเมื่อครู่ก็หายไปเหลือเพียงความอบอุ่นที่โอบล้อมรอบทุก ๆ คนเอาไว้
ควรขอบคุณกันสินะ พระเจ้าอะไร ขอได้ดั่งใจขนาดนี้
“โอ้ สมเป็นท่านนักบุญ”
“นี่เหรอคือพลังของผู้เป็นที่รักของพระเจ้า”
“แม้แต่ดาบเหมันต์ในตำนานที่แช่แข็งจอมปีศาจก็ไม่อาจสู้กับพลังของท่านนักบุญได้”
ทุกคนต่างพูดชื่นชมผมเป็นเสียงเดียวกันด้วยสายตานับถือเถิดถูน เป็นสัญญาณบอกถึงความสามารถอันสุดยอดของดาบที่อยู่ข้างในได้เป็นอย่างดี นี่หากไม่ใช่เพราะพลังที่ราวกับแก้ระบบของโลกได้ที่พระเจ้าให้มา ก็คงไม่มีพลังไหนเคยชนะมันให้พวกเขาเห็นมาก่อน
ไอเย็นแผ่ขยายออกมาจนปกคลุมทั่วห้อง ทว่าเมื่อมันเจอเข้ากับแสงที่โอบล้อมร่างกายจากเวทของผม มันก็สลายหายไปโดยไม่รู้สึกอะไรแม้แต่นิดเดียว
“สุดยอดมากเลยค่ะอัล… ไม่นึกว่าอัลจะมีพลังมากขนาดนี้”
“มันขนาดนั้นเลยเหรอซิลวี่”
ถึงแม้จะพอรู้อยู่บ้างถึงความยิ่งใหญ่และพลังของตัวเอง แต่ผมก็นึกไม่ถึงว่าสิ่งที่ทำไปมันจะเป็นอะไรที่สุดยอดขนาดนั้น ไอ้พลังฮีตเตอร์เนี่ย
“แน่นอนค่ะ พลังของซิลฟรอเทียนั้นเป็นพลังที่ได้รับมาจากพระเจ้า พลังแห่งเหมันต์อันยิ่งใหญ่ที่มากพอจะสยบทุกสิ่ง หนาวเหน็บจนแช่ได้แม้แต่กาลเวลา นั่นคือสิ่งที่ต้นตระกูลของพวกเรา ท่านฟรอเซีย ได้รับมาจากพระเจ้าในการกำราบปีศาจแห่งเหมันต์ค่ะ”
“ใช้ปราบปีศาจแห่งเหมันต์งั้นเหรอคะ?”
“ค่ะ ความเย็นของมันมากจนแม้แต่ปีศาจแห่งเหมันต์ยังต้องถูกสยบแต่เพราะเช่นนั้น แม้พลังจะยังไม่ถูกปลดปล่อยหมด แต่บรรยากาศโดยรอบของมันก็ยังหนาวเย็นมากพอที่จะทำให้พื้นที่นั้นหนาวยิ่งกว่าฤดูเหมันต์จนต้องมีนักเวทมาปรับสภาพให้เพื่อพอเข้าไปทำพิธีได้ค่ะ”
…..
ฟังดูยิ่งใหญ่มาก แต่ไม่รู้สึกว่ามันแปลก ๆ หน่อยเหรอ เอาพลังความเย็นไปสู้กับจอมปีศาจน้ำแข็งเนี่ยนะ ปกติมันต้องเป็นพวกดาบไฟอะไรแบบนั้นเพื่อมาต่อต้านไม่ใช่เหรอไง นี่อะไรให้พลังที่เย็นยิ่งกว่ามาใช้งานจนแม้แต่ปีศาจต้องยอมแพ้
นี่มันอยากขิงพลังของตัวเองชัด ๆ เลยไม่ใช่เหรอเจ้าพระเจ้า!!!
“พลังของพระองค์นั้นช่างยิ่งใหญ่ หาผู้ใดเทียบ เหมันต์ใดก็มิอาจสู้อำนาจของผู้ยิ่งใหญ่เหนือผู้ใด”
โอเค ผมชินแล้วล่ะ
“โอ พลังของพระองค์ช่างยิ่งใหญ่ พลังของนักบุญแห่งท่านก็ยิ่งใหญ่เช่นกัน!!!”
“แม้ปีศาจแห่งเหมันต์จะตื่นขึ้นมา ด้วยพลังของท่านนักบุญ พวกเราก็ไม่ต้องกลัว!!”
ใจเย็นก่อนพวก เรื่องนั้นกับเรื่องนี้มันคนล่ะเรื่องกันเลยนะ ระหว่างการปรับอุณหภูมิกับการปราบปีศาจน่ะ แล้วก็ปีศาจตื่นอะไรกัน อย่ามาพูดเป็นลางนะ!!!
คิดแล้วก็นึกถึงสภาพของผมตอนไปใช้พลังกับท่านอาจารย์เอลดรานที่สร้างหลุมขนาดใหญ่โดยไม่ได้ตั้งใจ แล้วนี่ถ้าให้ไปสู้กับปีศาจตัวนั้นจริง เมืองมันจะไม่หายไปทั้งเมืองเลยเหรอ… ไม่สิ บางทีพลังผมอาจยังไม่พอก็ได้
‘ถูกต้องแล้วยัยหนู จากที่ข้าสังเกต ข้าเชื่อว่าพลังของเจ้านั้นสามารถสยบจอมปีศาจใด ๆ ได้ ทว่าก่อนพวกมันจะสิ้นฤทธิ์ ตัวเจ้าที่พลังศักดิ์สิทธิ์ไม่เสถียรอาจหมดสติก่อนได้ เช่นนั้นการฝึกจึงจำเป็นมากไงล่ะ’
เข้าใจแล้ว ๆ เดี๋ยวจบเรื่องนี้จะให้ฝึกเต็มที่เลย
ผมได้แต่ถอนหายใจพลางยอมรับชะตากรรม เพราะหลังจากนี้ไป ผมคงได้ถูกศาสนจักรมาขอร้องให้ช่วยเหลือในการปราบปีศาจหรือคำสาปแปลก ๆ อย่างแน่นอน
“ว่าแต่ซิลวี่ไม่หนาวงั้นเหรอ”
ผมทักเธอไปเล่น ๆ เพราะก่อนที่ผมจะร่ายเวทแห่งความอบอุ่น มีเพียงเธอเท่านั้นที่ยังคงยืนนิ่งสงบไม่ออกอาการหนาวสั่นแบบคนอื่นเขากัน
“เรื่องนั้นตระกูลเดอ ฟรอเซียได้รับพรในต้านทานความหนาวเย็นน่ะค่ะ จึงไม่ค่อยรู้สึกอะไรเท่าไหร่”
“สุดยอดไปเลยนะ”
“ไม่หรอกค่ะ พลังของอัลต่างหากที่สุดยอด”
“ฮะ ๆ”
ผมได้แต่หัวเราะแก้เขินกับคำชมไปก่อนจะรวบรวมสมาธิของตัวเองแล้วเพ่งเข้าไปข้างในที่ถูกเผยออกมาหลังไอความเย็นเริ่มจางหาย
ห้องข้างในเป็นห้องขนาดใหญ่ ที่ใจกลางของมันมีเนินสูงขึ้นมา ที่ใจกลางของเนินนั่นมีดาบเล่มหนึ่งปักอยู่ ตัวดาบนั่นกระจ่างใสราวกับน้ำแข็งของฤดูเหมันต์ ใบดาบคมกริบจนมากพอที่จะตัดทุกสิ่งให้ขาดสะบั้น ด้ามดาบของมันถูกประดับด้วยแซฟไฟร์ซึ่งทอประกายออกมาราวกับดวงดาวของท้องฟ้ายามราตรี
หมอกไอความเย็นแผ่กระจายออกมาจากตัวดาบแห่งเหมันต์ ยิ่งใกล้มันเท่าไหร่ ความเย็นก็มากขึ้นเรื่อย ๆ จนทุกก้าวเท้าที่ผมเดิน แสงเรืองรองที่โอบรอบตัวก็ยิ่งทอประกายบ่งบอกถึงความพยายามของพรที่กำลังต้านพลังของดาบนี่อยู่
ยิ่งเข้าใกล้ ก็ยิ่งตระหนักได้ถึงความงดงามของมัน ราวกับช่วงเวลาต่าง ๆ กำลังค่อย ๆ หยุดนิ่งลงอย่างช้า ๆ ในทุกก้าวที่ก้าวไป พลังเวทอันมหาศาลนั่นผมสัมผัสมันได้อย่างชัดเจน พลังที่เอ่อล้นมาจนแม้แต่กาลเวลาก็ยังต้องยอมสยบ
และนั่นคือซิลฟรอเทีย ดาบพิฆาตเหมันต์
“อยากได้ดาบเล่มนั้นงั้นเหรอ”
เสียงหนึ่งดังขึ้นมา มันเป็นเสียงที่ช่างคุ้นเคย เป็นเสียงที่ได้ยินทีไรก็นำมาซึ่งความหงุดหงิดใจแต่ในเวลาเดียวกันก็รู้สึกได้ถึงมิตรภาพและความหวังดีที่น่ารำคาญ
“ไม่เจอหน้ากันนานนะคะ พระเจ้า”
—————————————————————————————-