ซวยแล้ว! ผมดันโดนเตะมาเกิดใหม่เป็นนักบุญหญิงศักดิ์สิทธิ์ - บทที่ 58 ออโรร่าน้อยกับสุดยอดบอสประจำบท
- Home
- ซวยแล้ว! ผมดันโดนเตะมาเกิดใหม่เป็นนักบุญหญิงศักดิ์สิทธิ์
- บทที่ 58 ออโรร่าน้อยกับสุดยอดบอสประจำบท
แฮก แฮก
เป็นอย่างที่เจ้าโลว์บอกไว้ไม่มีผิดเส้นทางหลังจากนี้นั้นปลอดภัย ปลอดภัยมากจนเรียกได้ว่าสยองผิดปกติเลยด้วยซ้ำ
ตลอดเส้นทางที่วิ่งมา ภาพของท้องถนนที่งดงามเมื่อวันวาน ได้แปรเปลี่ยนเป็นเปลวเพลิง ที่ลุกโชน ทว่ากลับไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิตใด ๆ มันเต็มไปด้วยซากศพของเหล่าปีศาจซึ่งแต่ละตนหากไม่มีรอยแหว่งขนาดใหญ่ ลำตัวก็ถูกผ่าครึ่งตายในการฟันครั้งเดียวโดยไม่มีแม้แต่โอกาสตอบโต้
โลว์… เจ้าหมอนี่เป็นใครกันแน่นะ
ความสงสัยในใจของผมเริ่มเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ถึงตัวตนของเด็กชายปริศนาจากจักรวรรดิทางตะวันตก ไม่ว่าจะความเก่งที่มีมากเกินไปหรือนิสัยที่แปลกเกินกว่าเด็ก หากจะให้บอกว่าเป็นคนที่กลับมาเกิดใหม่เหมือนกับผม ผมก็จะบอกว่าไม่แปลกเลยแม้แต่น้อย
เพียงแต่หากเป็นอย่างนั้น ไอ้แววตาที่ทำท่าทางราวกับรู้จักผมมานานนี่มันคืออะไรกันนะ ถ้าหากจะบอกว่าเป็นคนรู้จักของผมในชาติก่อนก็ว่าไม่เคยมีคนแปลกขนาดนี้อยู่ในสาระบบเลยแม้แต่นิดเดียว
‘ยัยหนู เจ้าหมอนั่นแน่ใจนะว่าไม่ได้เป็นยอดนักรบปลอมตัวมา’
ขนาดราสเองยังรู้สึกถึงความผิดแปลก หากไม่นับเรื่องทำตัวแก่แดดเกินวัย ไอ้สิ่งที่แสดงมามันก็ไม่สมกับเป็นเด็กอายุไม่ถึงสิบขวบจะทำได้จริง ๆ นั่นล่ะ
‘พลังที่เจ้านั่นปล่อยออกมามันมหาศาลมากนัก เจ้าบอกว่ามันเป็นคนของจักรวรรดิสินะ’
อืม ถ้าจำไม่ผิด เหมือนเขาจะเป็นลูกของดยุคแคว้นหนึ่งในจักรวรรดิ มาที่เรสเวนน่าแห่งนี้กับพ่อในฐานะคณะทูตน่ะ แต่ก็เจอกันแค่ไม่กี่ครั้งเท่านั้น เพราะงั้นผมไม่รู้หรอกว่าเขามีความเป็นไงมาไง
‘งั้นเหรอ แต่เจ้าเด็กนั่นดูจะสนใจเจ้าเป็นพิเศษเลยนะ’
เหรอ บางทีอาจเป็นเพราะผมเป็นนักบุญเหรอเปล่า เพราะพวกจักรวรรดิเองก็ชอบสนใจคนที่มีฝีมือมาก ๆ อยู่นะ
‘ข้าว่ามันมีอะไรมากกว่านั้น แต่เรื่องนั้นไว้ก่อน กำลังจะถึงแล้วนะแล้วที่ตรงนั้นก็เหมือนยังมีปีศาจด้วย’
ผมพยายามสำรวจพลังของตัวเอง ก็พบว่าตอนนี้มันเริ่มกลับมาสงบระดับหนึ่งแล้ว ถึงแม้จะยังไม่สามารถเรียกปาฏิหาริย์ขนาดใหญ่มาได้แบบล้างบางพวกปีศาจในทีเดียว แต่ถ้าไม่กี่ตัวก็น่าจะพอสู้ได้ไหว
“นั่นนักบุญไม่ใช่เหรอ”
เสียงผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้นมานั่นคืออาจารย์เอลดราน ตอนนี้เขากำลังถือดาบคู่ตัวฟันไปมากับสัตว์อสูรขนาดยักษ์ที่มีรูปร่างคล้ายไดโนเสาร์ทีเร็กซ์ ท่วงท่าของเขาสมชื่อกับเป็นปรามาจารย์ดาบที่ซิลเวียนับถือ เพราะแม้เจ้าปีศาจนั่นจะจู่โจมรุนแรงและรวดเร็ว ทว่าไม่มีการโจมตีใดโดนตัวของอาจารย์ผู้นี้เลยแม้แต่น้อย เขาใช้ดาบเบี่ยงการโจมตีของอีกฝั่งออกแล้วสวนเอาเรื่อย ๆ อย่างเป็นจังหวะ
โคตรเท่!!!
นึกไม่ถึงว่านี่จะเป็นคุณลุงคนเดียวกับที่โดนออโรร่าน้อยซัดทีเดียวหมอบกับพื้น.. ไม่ ๆ เรื่องไร้สาระเอาไว้ก่อนนะออโรร่า ตอนนี้เรามาเพื่อตามหาซิลวี่ก่อน
“ภายใต้นามของพระองค์ผู้ยิ่งใหญ่ ขอแสงแห่งท่านชำระล้างผู้ต้องซึ่งบาปให้มลายหายไปจากโลกนี้ด้วย!!”
สิ้นคำร่าย ละอองแสงจำนวนมากได้บังเกิดหมุนวนรอบตัวของผมก่อนจะรวมตัวกันกลายเป็นลำแสงขนาดใหญ่แล้วพุ่งเข้าใส่เจ้าสัตว์อสูรตรงหน้าเอลดรานก่อนที่มันจะสลายไปในทันทีที่ต้องแสง
“ปลอดภัยใช่ไหมคะ”
“เฮย ๆ ระวังหน่อยสิท่านนักบุญ เล่นปล่อยพลังมาขนาดนี้ขืนโดนข้าขึ้นมาจะเป็นอย่างไรเนี่ย”
เอลดรานบ่นโวยวายขึ้นมาทันทีเมื่อแสงสว่างที่ผมยิงไปเฉียดหัวเขาไปหวุดหวิด ถ้าเป็นคนปกติก็ต้องเป็นแบบนั้นแต่ขึ้นชื่อว่าเวทศักดิ์สิทธิ์ของออโรร่าผู้นี้น่ะ มันไม่ได้อ่อนแอแบบนั้นหรอกนะ
“เรื่องนั้นอย่ากังวลเลยค่ะท่านอาจารย์เอลดราน พลังศักดิ์สิทธิ์ของหนูที่ปล่อยไปเมื่อครู่น่ะจำเพาะกับปีศาจเท่านั้น เช่นนั้นแล้วต่อให้โดนไปทั้งลำก็หายห่วงค่ะ”
“แล้วใครจะรู้กับท่านเนี่ย.. เห้อ แต่เอาเถอะ ข้าขอบคุณที่ช่วยแล้วกัน ว่าแต่เมื่อครู่ได้ยินว่าท่านนักบุญตัวน้อยถามถึงซิลเวียนี่”
“ค่ะ ซิลวี่ได้มาที่นี่เหรอเปล่าคะ”
ทันทีที่ผมถามแบบนั้นออกไป ดวงตาสีเขียวของเอลดรานก็หรี่แคบลงแล้วจ้องมองผมอย่างสงสัย
“ท่านมาหานางเพื่ออะไร”
ไม่แปลกที่เขาจะสงสัยผม ถึงผมจะเป็นนักบุญแต่สำหรับเขาแล้วผมก็เพิ่งได้รู้จักเขาก็แค่เช้านี้เท่านั้นเอง อีกอย่างซิลเวียก็เพิ่งแนะนำผมให้เขา ดังนั้นสำหรับเขาแล้วผมมันก็แค่คนแปลกหน้า
แต่นั่นผมเองก็ไม่มั่นใจว่าเขานั้นรู้ตื้นลึกหนาบางเกี่ยวกับซิลวี่ขนาดไหน ก็แบบเดียวกับที่เขาไม่เชื่อใจผม ผมเองก้ยังไม่สามารถเชื่อเขาได้เต็มที่เช่นกัน
“ซิลวี่หายตัวไประหว่างที่เราอยู่ด้วยกันค่ะ เลยคิดว่าหากเธออจะหลบหนีอันตรายก็คงมาที่นี่ก่อน”
จะบอกว่าโกหกก็ไม่ถูก เรียกได้ว่าผมตอบไปตามความจริงครึ่งหนึ่งก็เท่านั้นเอง
“อย่างที่เจ้าบอก นางมาที่นี่จริง ๆ”
“ถ้างั้นขอหนูไปพบเธอได้ไหมคะ”
อาจารย์เอลดรานเงียบไปชั่วครู่หนึ่งเหมือนใช้ความคิด คล้ายกับยังระแวงในตัวตนของผมอยู่ ก็คงไม่แปลก เพราะจู่ ๆ ก็มีคนที่บอกว่าเป็นนักบุญมาหาลูกศิษย์ตัวเอง ต่อให้จะแสดงพลังไปให้ดูแล้วก็อาจคิดว่าเป็นแก๊งคหลอกลวงได้ เรื่องนี้ผมเข้าใจ
เพราะขนาดในโลกของผม ยังมีพวกแก๊งคต้มตุ๋นที่ชอบโทรเข้ามาหาแล้วหลอกว่าตัวเองเป็นคนนั้นคนนู้น ซึ่งทำตัวเนียนซะจนมีคนตกเป็นเหยื่อยโอนเงินให้กันตั้งหลายราย ทำเอาผมหลอนทุกครั้งที่มีคนโทรมาหาจริง ๆ
ว่าแต่ถึงจะแบบนั้นก็เถอะนะท่านเอลดราน เข้าใจว่าเป็นห่วงความปลอดภัยของลูกศิษย์สุดรัก แต่ว่าอย่างน้อยก็พาผมไปหลบหน่อยก็ดีนะ มายืนกลางถนนที่มีปีศาจบุกเมืองอยู่น่ะ มันใช่ไหมท่านอาจารย์
เปิดตาดูหน่อยเถอะท่าน ตรงหน้าท่านน่ะเป็นแค่สาวน้อยบอบบางที่อายุไม่ถึงสิบขวบนะ ถึงแม้จะยิงแสงสลายปีศาจทีเดียวระเหิดได้แต่ก็ยังเป็นสาวน้อยแสนบอบบางอยู่นะ!!!
“เอาสิ เดี๋ยวข้าพาไป แต่ข้าว่าเราควรเข้าไปคุยกันข้างในก่อนดีกว่า”
ในที่สุดก็รู้แล้วสินะว่าตรงจุดนี้มันไม่เหมาะกับการคุยเรื่องจริงจังน่ะ มันเป็นจุดที่พร้อมจะมาอะไรมาตบหัวเราขาดขณะกำลังพูดเรื่องสำคัญเลยล่ะ
“ขอบคุณที่เข้าใจค่ะ”
เขาพาผมเดินเข้ามาที่บ้านของเขาซึ่งผมเพิ่งจากมาเมื่อช่วงเช้า หลุมที่เกิดจากพลังของผมยังคงมีอยู่แต่นอกจากนั้นรอบ ๆ ก็ยังมีหลุมจำนวนมากที่เกิดจากการต่อสู้
“เด็ก ๆ ปลอดภัยไหมคะ”
“แน่นอน ตอนแรกก็เกือบช่วยไม่ทัน ดีนะซิลเวียมาช่วยพอดีทำให้พวกเด็ก ๆ ปลอดภัย”
เป็นอย่างที่คิดจริง ๆ ด้วยสินะ
ซิลเวียที่ตื่นตระหนกกับการบุกของพวกปีศาจจึงได้รีบวิ่งออกมาเพราะเป็นห่วงเหล่าเด็ก ๆ จนไม่ได้คิดหน้าคิดหลัง ทั้งยังไม่รู้ตัวด้วยว่าเผลอใช้พลังของมณีไป… ว่าแต่มณีนั้นมันทำงานได้ไงหว่า อยู่ในตัวของซิลเวียเหรอ
ยังมีคำถามที่ผมยังหาคำตอบไม่ได้ แต่เรื่องนั้นช่างมันก่อน ถ้าเจอซิลเวียแล้วล่ะก็อย่างน้อยผมก็น่าจะพอรู้ความจริงอะไรขึ้นมาบ้าง
“ซิลวี่!!”
ที่ตรงนั้นเองมีร่างเล็ก ๆ ร่างหนึ่งกำลังนอนนิ่งสงบอยู่บนเตียง ร่างกายของเธอนั้นไร้ซึ่งบาดแผลใด ๆ ลมหายใจก็ยังปกติ นั่นทำเอาผมที่ตกใจวิ่งเข้าไปหา ถอนหายใจออกมาอย่างเบาใจลง
“สลบไปเท่านั้น ไม่รู้ว่าใช้พลังมากไปตอนที่อยู่ที่ปราสาทหรืออย่างไร มาเจอกันก็ดูเหนื่อยมาก หลังช่วยเด็ก ๆ ก็สลบไปเลยน่ะ”
“งั้นเหรอคะ….หือ?”
คำพูดเมื่อครู่ของเอลดรานทำเอาคิ้วขวาของผมกระตุกรัว ๆ ทำไมกัน เจ้าหมอนี่บอกเองไม่ใช่เหรอว่าซิลวี่มาก็สลบเลย แล้วมันรู้ได้งว่าซิลวี่ไปที่ปราสาทและใช้พลัง
เดี๋ยวนะ….. เอลดราน เธอดูมีพิรุจน์!!!
“อาจารย์เอลดราน พบกับซิลวี่นานแล้วเหรอคะ”
“ปีหนึ่งได้แล้ว… ก็ตอนนั้นช่วยไว้ระหว่างมาที่เมืองนี้พอดี เด็กคนนี้ขอให้ฝึกให้ก็เลยอยู่ต่อนั่นล่ะ”
“แล้วเด็ก ๆ คนอื่นล่ะคะ”
“หืม ข้าก็ช่วยเหลือพวกเขามาเรื่อย ๆ จากพวกปีศาจ คล้ายกับซิลเวียนั่นล่ะ ไป ๆ มา ๆ ก็ไม่นึกว่าจะใหญ่ได้ขนาดนี้ ว่าง ๆ อาจต้องเปิดสำนักกับเขาบ้างแล้ว”
“กลอริเอลไม่มีปีศาจโผล่มานานแล้ว… มีเพียงแค่คนเถื่อนทางเหนือเท่านั้น แล้วอีกอย่าง… พวกเด็ก ๆ หายไปไหนหมดคะ!!”
ใช่ ผมรู้สึกว่าบ้านแห่งนี้มันเงียบเกินไป นอกจากซิลวี่แล้วผมก็ยังไม่เห็นเด็ก ๆ คนอื่นอีกเลยเพราะตามหลักแล้วถ้าพวกเด็ก ๆ ที่หวาดกลัวปีศาจรู้ว่านักบุญเข้ามา อย่างไรก็ต้องวิ่งมาขอความช่วยเหลือบ้าง
“หลบภัยที่อื่นไง”
“จากระยะเวลาที่ซิลวี่หายไปจนถึงตอนนี้ ไม่มีทางที่จะไปที่อื่นได้หรอกนะคะ”
ศพทั้งหลายที่นอนกองกันเต็มไปหมดเป็นฝีมือของโลว์ที่เพิ่งเคลียเส้นทางให้กับผม ดังนั้นไม่มีทางเลยที่เด็ก ๆ พวกนั้นจะสามารถไปหลบที่อื่นได้นอกจากที่ ๆ ตัวเองอยู่แต่แรก
“บอกมานะคะ ว่าเด็ก ๆ พวกนนั้นหายไปไหน”
ไม่นะ ๆ หวังว่าจะไม่ใช่อย่างที่ผมคิดหรอกใช่ไหม….. เพราะลองมาคิดดูดี ๆ ทั้งอาจารย์ปริศนาที่โผล่มาช่วยตัวเอกโดยบังเอิญ ทั้งการทำตัวเป็นอาจารย์ที่น่านับถือนั่นอีก…
นี่มันหลักสูตรพื้นฐานของบอสบท 101 เลยไม่ใช่เหรอไง!!
บรรยากาศเงียบไปสักพักก่อนที่เอลดรานซึ่งหน้านิ่งมาตลอดทางจะก้มหน้าลง บรรยากาศเย็นสันหลังเริ่มเกิดขึ้นจนผมเผลอเอามือของตัวเองมาบังซิลวี่เอาไว้
“ข้าล่ะเกลียดเด็กเซนต์ดีแบบเจ้าจริง ๆ นักบุญ”
ทันใดนั้นเองที่เบื้องหลังของเขาก็มีร่างน้อย ๆ นับสิบเดินมาข้างหลัง ร่างเหล่านั้นคือพวกเด็ก ๆ ที่ผมเจอเมื่อเช้า แต่แววตาของพวกเขานั้นแปลกไป มันกลายเป็นตาสีแดงเรืองประกาย
“พี่สาว… มาเล่นกันนนนน”
กรี๊ดดดด บทพูดแบบนี้มัน!! ชัวร์เลย พวกเด็ก ๆ โดนจบยัดหม้อแปลงเป็นปีศาจแล้ว!!!
“ไม่นึกว่าเจ้าจะมองพวกปีศาจแปลงกายของข้าออก”
โอ้แล้วไป… เป็นปีศาจอยู่แล้วนี่เอง อย่างน้อยก็ไม่แย่เท่ากับที่คิดเอาไว้
พวกเด็ก ๆ เริ่มเปลี่ยนสภาพกลายเป็นปีศาจที่อยู่ข้างนอกก่อนจะค่อย ๆ มาพยายามล้อมตัวผมเอาไว้
“เพราะแบบนี้สินะเจ้าเลยไปประกาศเรียกกองกำลังมาคุ้มกันเมืองบ้า ๆ แห่งนี้เอาไว้ รวมถึงปิดทางเข้าออกมากมายนี่อีก”
ไม่ ๆ นั่นไม่ใช่ฝีมือผม นั่นมันฝีมือของพวกท่านดยุคที่มโนไปเองต่างหาก… ดันตรงอีกนะ
“อุตส่าห์จะค่อย ๆ ฟูมฟักยัยเด็กสื่อกลางนี่ ใครจะไปคิดว่านักบุญจะมาทำให้ข้าต้องเร่งแผนของตัวเองให้เร็วกว่าเดิม ถ้ารอกว่านี้อีกหน่อยพลังของข้าและลูกสมุนคงฟื้นมากกว่านี้”
อุ้ย นี่อย่าบอกนะว่าไอ้เหตุการณ์สุดมโนเมื่อตอนบ่ายนั่นทำให้นายเข้าใจผิดจนต้องเร่งแผนตัวเองซะจนเละเทะแบบนี้…. สุดจัดจริง ๆ!!!
ไม่รู้ว่าต้องสงสารหรือสมเพช ที่แผนที่น่าจะวางมาอย่างเนิ่นนานของเขาต้องรีบมาแก้ไขจนทุกอย่างมั่วซั่ว พลังยังฟื้นไม่เต็ม และเกราะของซิลฟอร์เทียก็ยังไม่แตก ทั้งหมดเกิดขึ้นจากเพียงแค่ความเข้าใจผิดของคนในปราสาท… เอาเป็นว่าผมเห็นใจนายละกันนะเอลดราน
“เอาเถอะ อย่างน้อยนางก็ปลดพลังของมณีบ้านั่นมาได้ระดับหนึ่ง เพราะฉะนั้น..”
‘ยัยหนู กาลเวลาเริ่มบิดเบือนอีกแล้ว เจ้าระวังตัวด้วย’
“ข้ามิอาจทำอะไรเจ้าได้ด้วยโล่ศักดิ์สิทธิ์ที่คุ้มกันเจ้าในตอนนี้… แต่คนเถื่อนข้างนอกนั่นไม่ใช่ รอกำแพงแตก แล้วเจ้าจะได้พบกับความพินาศ!!
พูดจบ ร่างของซิลเวียก็ค่อย ๆ เริ่มเรืองแสงสีฟ้าอ่อน ๆ สอดรับกับดวงตาของเอลดรานที่บัดนี้สว่างจ้าเป็นสีแดงฉานก่อนที่ทุกอย่างจะค่อย ๆ หายไปเหลือเพียงปีศาจซึ่งกำลังล้อมรอบตัวผมอยู่
สรุปนี่ผมเตรียมเข้าบอสไฟต์แล้วใช่ไหม…. มันจะรีบเกินไปไหมเนี่ย!!!
หวังว่าจะสนุกกันนะครับ เริ่มจะเข้าสู่ช่วงไคลแมกของบทแล้วล่ะ ก็มาเป็นกำลังใจน้องและบอสของเราที่ทุกอย่างพังเพราะความมโนนะครับ