ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ - ตอนที่ 100 ในบ่อน้ำ
ตอนที่ 100 ในบ่อน้ำ
ผู้นำหนุ่มรีบสั่งให้คนดึงเชือกเส้นใหญ่นั้นขึ้นมา
ขณะที่เชือกขยับขึ้นมาทีละน้อย ศีรษะของผู้ชายที่ลงไปในบ่อก็ค่อยๆ โผล่พ้นขอบบ่อ เขาใช้มือทั้งสองข้างเกาะที่ขอบบ่อน้ำและดันร่างตัวเองขึ้นมา จากนั้นก็พลิกตัวและนั่งลงหายใจหอบบนปากบ่อ
บนกล้ามเนื้อเปลือยเปล่าที่ดูแข็งแกร่งของชายผู้นั้นมีหยดน้ำประกายระยิบระยับหยดลงมา ในมือของเขามิได้ถือสิ่งใด เห็นได้ชัดว่าในบ่อนั้นไม่มีอะไรเลย
พระสงฆ์วัยกลางคนที่เข้ามาขวางพร้อมกล่าวบทสวดก่อนหน้านี้กล่าวด้วยวาจาแข็งกร้าวว่า “หากโยมยังไม่ไปและยังทำให้พระพุทธองค์ต้องแปดเปื้อน พวกอาตมาคงต้องเอาตัวโยมไปส่งให้กับทางการ!”
พระสงฆ์หนุ่มอีกหลายสิบรูปที่ไม่รู้ว่ามารวมตัวตั้งแต่เมื่อไหร่ถือไม้กระบองอยู่ในมือ
จากเครื่องแต่งกายแล้ว พระสงฆ์กลุ่มนี้คงเป็นพระนักรบหลวงจีน
วัดที่มีคนเข้ามาสักการบูชามากมายเช่นนี้ แม้จะเป็นวัดตามเมืองเล็กๆ ก็ยังได้รับปัจจัยถวายเป็นเงินจำนวนที่คนเห็นยังต้องตะลึง ซึ่งแน่นอนว่าปัจจัยเหล่านั้นถูกนำไปใช้เลี้ยงดูพระสงฆ์เหล่านักรบเพื่อจะให้ช่วยดูแลความปลอดภัยของวัด
ผู้นำหนุ่มสีหน้าไม่สู้ดีจึงเอ่ยแผ่วเบาขึ้นว่า “ในเมื่อหาน้องข้าไม่พบ งั้นข้าก็จะไม่หาที่นี่ต่อแล้ว…”
“มี มีคน…” ชายที่ปีนขึ้นมาจากบ่อเพิ่งได้สติ ครั้นอ้าปากเอ่ยก็ทำให้สถานการณ์ที่ตึงเครียดอยู่แล้วตึงเครียดยิ่งขึ้นไปอีก
“มีคนอะไร” ผู้นำหนุ่มสีหน้าเปลี่ยนไป ความขลาดกลัวก่อนหน้าถูกขจัดออกไปจนหมดสิ้น
ชายผู้นั้นชี้ลงไปที่บ่อและเอ่ยเสียงเรียบออกมา “ในบ่อน้ำนั้นมีคน!”
ต้องยอมรับว่าชายหนุ่มที่ถูกสั่งให้ลงไปหาศพในบ่อน้ำนั้นยังพอมีความกล้าหาญอยู่บ้าง
เมื่อประโยคนั้นถูกเอ่ยออกไป สีหน้าของพระสงฆ์วัยกลางคนก็พลันเปลี่ยนทันที ฝูงชนที่เฝ้าดูเหตุการณ์เถียงกันไปมาอย่างอื้ออึง
สวรรค์ น้องสาวของเขาตายอยู่ที่ก้นบ่อจริงๆ ด้วย ถ้าพ่อแม่รู้ข่าวจะทำอย่างไร!
จากการสอบถามของผู้นำหนุ่ม ชายผู้นั้นยิ้มเฝื่อน “ยกไม่ไหว เผลอๆ เชือกก็เอาไม่อยู่…”
ผู้คนเหลือบมองไปที่เชือกที่พันอยู่รอบเอวของชายหนุ่มและทั้งหมดก็ตกอยู่ในความเงียบ
เชือกใหญ่เส้นนี้ดูออกจะแข็งแรง แต่ใครจะรู้ว่าจะสามารถรับน้ำหนักคนสองคนได้หรือไม่ เพราะหากขาดขึ้นมาก็ตายกันพอดี
ผู้นำหนุ่มผู้มีไหวพริบดีได้ขบคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงสั่งให้คนไปเตรียมเชือกอีกเส้นมา “พวกเจ้าจับเชือกเส้นนี้เอาไว้ ส่วนเจ้าก็ลงไปข้างล่าง… พอมัดร่างนั้นแน่นแล้วเจ้าก็กระตุกเชือกที่เอวของตัวเอง ถึงเวลานั้นก็จะให้คนดึงเจ้าขึ้นมา แล้วค่อยดึงร่างนั้นตามขึ้นมาทีหลัง”
การวางแผนเป็นไปตามขั้นตอน ชายผู้นั้นลงไปในบ่อน้ำอีกครั้งอย่างรวดเร็ว และท่ามกลางสายตาทุกคู่ เชือกนั้นก็ถูกกระตุก
“ดึงคนขึ้นมา!”
บ่าวรับใช้ผู้มีประสบการณ์ทั้งสองคนก็ออกแรงดึงเชือกขึ้นมาตามคำสั่งของผู้นำหนุ่ม ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น บ่าวรับใช้อีกสองคนที่กำลังจับเชือกอีกเส้นก็เริ่มหวาดหวั่นพรั่นใจขึ้นมา
ไม่นานชายผู้นั้นก็ถูกดึงตัวขึ้นมา เขานั่งพักอยู่บนพื้นดินที่เปียกชุ่มด้วยใบหน้าซีดเซียวเหมือนคนหมดแรง
เชือกอีกเส้นค่อยๆ ถูกดึงตามขึ้นมา
ในเวลานั้นผู้คนต่างก็รู้สึกว่าเวลาถูกทำให้เดินช้าลง
เจียงจั้นรู้สึกประหม่าจนเผลอกลั้นหายใจ แววตาไม่ไหวติงจับจ้องไปที่ปากบ่อน้ำ
ผีผู้หญิงกำลังจะออกมาแล้ว ไม่รู้ว่าจะน่ากลัวเหมือนในฝันของเขาหรือเปล่า…
ในที่สุดท่ามกลางสายตาทุกคู่ที่จดจ้องอย่างเงียบงัน จู่ๆ ก็มีกลุ่มเงาดำปรากฏขึ้น
“มารดามันเถอะ นั่นอะไรน่ะ” มีคนร้องออกมาอย่างช่วยไม่ได้
มือของบ่าวรับใช้ทั้งสองที่กำลังดึงเชือกนั้นสั่นระริกจนทำให้เชือกไหลกลับลงไปช่วงหนึ่ง
ในตอนแรกผู้คนในที่นั้นรู้สึกหวาดกลัวจนหัวใจแทบจะหลุดออกมา เพราะอีกเดี๋ยวก็จะได้เห็นว่าสิ่งที่ถูกดึงขึ้นมาคืออะไร แต่เมื่อเป็นเช่นนี้กลับรู้สึกเหมือนว่ามีลมหายใจคาอยู่ที่ลำคอ จะหายใจออกก็ไม่ได้ จะหายใจเข้าก็ไม่ได้เช่นกัน
ความรู้สึกค้างคาเช่นนี้ทำให้ผู้คนลืมหวาดกลัวไปเสียสนิท มีคนตะโกนออกไปว่า “จะกลัวอะไรล่ะ คนตั้งเยอะตั้งแยะ ทั้งยังเป็นที่ศักดิ์สิทธิ์ ต่อให้กลายเป็นผีก็ไม่กล้าออกมาสร้างเรื่องหรอกหน่า…”
“จริงด้วย เมื่อกี้ข้าเห็นชัดๆ เลยว่ามันเป็นแค่หัวคนเท่านั้นเอง”
เนื่องจากมีคนรออยู่จำนวนมาก ภาพเหตุการณ์ชวนสยองขวัญในตอนแรกจึงกลายเป็นสิ่งที่คนตั้งตารออย่างใจจดใจจ่อ
“กินข้าวมาไม่อิ่มหรือไง” ผู้นำหนุ่มตะโกนถาม
บ่าวรับใช้ทั้งสองสบตากันก่อนจะช่วยกันออกแรงดึงอีกครั้ง
เวลาในชั่วขณะนั้นเหมือนถูกทำให้เดินช้าลงเป็นครั้งที่สอง ในที่สุดเงาดำมืดก็ถูกดึงออกมาและก็ตามมาด้วยร่างคน…
ตุบ ร่างที่ถูกดึงขึ้นมาร่วงหล่นไปบนพื้น ราวกับว่าเสียงนั้นหล่นตุบลงไปในใจของพวกเขาก็มิปาน ชั่วอึดใจนั้นทุกอย่างเงียบสงัด
ผู้นำหนุ่มเดินเซไปสองสามก้าวก่อนจะปิดตาลงและร้องตะโกนออกมา “น้องสาวของข้า เจ้าตายอย่างน่าอนาถเสียจริง…”
ผู้คนมองไปที่ผู้นำหนุ่ม ต่างก็พยายามรวบรวมความกล้ามองไปยังร่างศพที่นอนแน่นิ่งอยู่ตรงนั้น
และในที่สุดก็มีบ่าวรับใช้คนหนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างอดไม่ได้ว่า “นายท่าน นี่มันศพผู้ชาย…”
“ฮือๆๆ… หื้ม?” ผู้นำหนุ่มที่กำลังร้องไห้ฟูมฟายชะงักไปทันที
เขาจ้องมองไปที่ร่างศพด้วยดวงตาเบิกกว้าง แม้ว่าจะมีผมเผ้าบังหน้าอยู่แต่จากรูปร่างและการแต่งกายแล้ว ร่างนั้นเป็นผู้ชายอย่างไม่ต้องสงสัย
เหตุใดถึงเป็นผู้ชายล่ะ
ในขณะนั้นความสงสัยนี้เกิดขึ้นกับเจียงจั้น
เขาเผลอก้าวเท้าเดินไปข้างหน้า และขยี้ตาตัวเองอย่างแรง
ผีผู้หญิงไปไหนแล้วล่ะ เหตุใดจึงกลายเป็นผู้ชายเสียได้
เจียงซื่อเอื้อมมือไปดึงพี่ชายให้กลับเข้ามารวมอยู่กับฝูงชน
นี่ไม่ใช่เวลาจะมาเสนอหน้า การแฝงตัวอยู่ในฝูงชนปลอดภัยที่สุดแล้ว
แต่จะว่าไปแล้วเรื่องนี้ก็เกินความคาดหมายของนางอยู่ประมาณหนึ่ง
นางหันไปมองอวี้จิ่นอย่างอดไม่ได้
ชายหนุ่มมองไปด้านหน้าด้วยท่าทีสงบนิ่ง ความเฉยเมยนั้นกำลังบอกว่าเรื่องตรงหน้าไม่เกี่ยวกับตนเอง
ชายหนุ่มสัมผัสได้ว่าเจียงซื่อกำลังมองมาทางเขา เขาจึงหันกลับมาสบตาคู่นั้น สายลมในฤดูใบไม้ผลิหลอมละลายความเฉยเมยนั้นไปจนหมดสิ้น และเผยให้เห็นรอยยิ้มจางๆ
เจียงซื่อถอนสายตากลับมาและมองไปด้านหน้าอีกครั้ง
แต่จู่ๆ ก็มีเสียงเอะอะดังขึ้นจากในกลุ่มฝูงชน “ดูสิ ตัวของเขาถูกผูกติดอยู่กับก้อนหิน!”
แม้ว่าขณะนั้นดวงอาทิตย์จะลาลับขอบฟ้าไปแล้ว แต่ท้องฟ้ากลับยังสว่างโล่ง ทำให้พื้นที่ภูเขาด้านหลังหลังที่โล่งแจ้งแห่งนี้ยิ่งสว่างไสวขึ้นไปอีก ฉะนั้นแม้ว่าจะไม่มีแสงจากเปลวไฟ ผู้คนก็สามารถเห็นได้ชัดเจนว่าร่างของชายผู้นั้นถูกผูกติดอยู่กับก้อนหิน
ใบหน้าของชายที่ลงไปในบ่อน้ำตกตะลึงนิ่งไป
มิน่าล่ะ ยามที่เขาอยู่ในบ่อน้ำพยายามออกแรงดึงแค่ไหนก็ดึงร่างนั้นไม่ขึ้น ที่แท้ก็เพราะว่ามีหินถ่วงอยู่นี่เอง อีกอย่างคือขณะที่เขาลงไปผูกร่างศพนั้น เขามัวแต่ลนลานและมีแสงสว่างไม่พอจึงไม่ทันได้สังเกต
“นี่ นี่เป็นการฆาตกรรมชัดๆ!” คนในฝูงชนร้องออกมาด้วยความตกใจ
ในเวลานั้นใบหน้าของพระสงฆ์ต่างก็ไม่สู้ดีเอาเสียเลย
เพราะหากร่างศพนั้นถูกนำขึ้นมาจากบ่อน้ำก็ยังอ้างได้ว่าเป็นการพลัดตกลงไปเอง อย่างมากทางวัดก็สามารถให้เหตุผลว่ารักษาความปลอดภัยไม่เข้มงวดมากพอ แต่เมื่อร่างศพนั้นถูกก้อนหินถ่วงให้จมลงไปเช่นนี้ จึงสรุปได้อย่างเดียวว่า นี่เป็นการฆาตกรรมอย่างไม่ต้องสงสัย!
วัดหลิงอู้มีผู้แสวงบุญถูกฆ่าตายในวัดเช่นนี้ หนำซ้ำร่างศพนั้นยังถูกนำขึ้นมาวางต่อหน้าสาธารณชน แน่นอนว่าเรื่องนี้จะส่งผลกระทบต่อวัดอย่างมหาศาล!
ในขณะนั้นสีหน้าของคนที่เฝ้าดูเหตุการณ์ก็พลันเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน
จากเดิมที่มองคนจากเมืองต้าหยางด้วยสายตาระแวดระวังและพร้อมจะลงมือได้ทุกเมื่อ ขณะนี้สายตาเหล่านั้นพุ่งเป้าไปที่เหล่าพระสงฆ์ในวัดแทน
“เรื่องนี้น่ะ ต้องแจ้งทางการรึเปล่า”
“ต้องแจ้งสิ ไอ้หยา น่ากลัวจริงๆ!”
ฝูงชนเถียงกันไปมา ดูเหมือนว่าในยามนี้จะไม่มีใครยอมกลับไปง่ายๆ
ในที่สุดก็มีคนเสนอขึ้นว่า “นี่คงเป็นเด็กหนุ่มวัยรุ่นล่ะสิ ไหนลองดูสิว่ารู้จักหรือเปล่า…”
ผู้นำหนุ่มที่ทำหน้าที่จัดแจงส่งสายตาให้คนรับใช้ที่ลงไปในบ่อเมื่อครู่
ชายผู้นั้นยองตัวนั่งลงข้างๆ ร่างศพนั้น และค่อยๆ ใช้มือปัดผมที่บดบังใบหน้านั้นออก