ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ - ตอนที่ 104 ไม่มีสิ่งใดต้องรู้สึกผิด
ตอนที่ 104 ไม่มีสิ่งใดต้องรู้สึกผิด
ท่ามกลางสายตาทุกคนในที่นั่น คุณหนูหลี่จึงอดไม่ได้ที่จะไปซ่อนตัวอยู่หลังคุณชายหลี่
คุณชายหลี่เองก็รู้สึกไม่ค่อยพอใจนัก “ใต้เท้า ไม่ว่าใครจะเป็นฆาตกรก็รับรองว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเราสองพี่น้องอย่างแน่นอน น้องสาวข้าเป็นคนขี้กลัว ขอท่านอย่าทำให้นางตกใจเลยจะดีกว่า”
ผู้บัญชาการจ้องมองไปที่คุณชายหลี่ก่อนจะยิ้มพลางเอ่ยว่า “ข้ารับผิดชอบคดีความมาหลายปีก็พอมีประสบการณ์อยู่บ้าง ยามเกิดเหตุคดีฆาตกรรม เพียงแค่ได้เข้ามาเอี่ยวแล้วก็ย่อมมีความเกี่ยวข้องไม่ว่าทางใดก็ทางหนึ่ง ฉะนั้นข้าหวังว่าคุณชายหลี่และคุณหนูหลี่จะให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี”
“ก็ข้าบอกแล้วว่ามีคนแจ้งข่าวซี้ซั้ว มิเช่นนั้นพวกข้าก็คงมิอาจเข้าไปเกี่ยวข้องเป็นแน่!”
“ในเมื่อมีเหล่าผู้เลื่อมใสศรัทธาทั้งชายหญิงมากมายเช่นนี้ แต่เหตุใดข่าวซี้ซั้วนั่นถึงกระฉ่อนไปที่ตระกูลหลี่เท่านั้นเล่า” ผู้บัญชาการเบือนหน้าจากคุณชายหลี่ และหันไปเพ่งเล็งคุณหนูหลี่ที่หลบอยู่ด้านหลัง “คุณหนูหลี่คงรู้จักกับหลิวเซิ่งผู้ตายสินะ”
คุณหนูหลี่สั่นสะท้านไปทั้งตัว ใบหน้าของนางซีดเผือด
“ใต้เท้า นี่ท่านหมายความว่าอย่างไร น้องสาวข้าจะรู้จักกับผู้ตายได้อย่างไร!” คุณชายหลี่กระแทกเสียงอย่างไม่พอใจ
ถึงแม้ประเพณีนิยมในสังคมจะผ่อนปรนไปบ้าง ฉะนั้นการที่สตรีที่ยังไม่ได้ออกเรือนในเมืองอย่างชิงหนิวหรือต้าหยางจะนัดหมายกับบุรุษที่ตนเองชอบพอจึงไม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใด หรือต่อให้ประพฤติตัวเลยเถิด ชาวบ้านส่วนใหญ่ก็มักจะทำทีปิดตาข้างหนึ่ง แต่ครั้นเรื่องราวดันมาเกี่ยวข้องกับคดีฆาตกรรม ทั้งยังถูกขุนนางสอบสวนต่อหน้าคนจำนวนมากเช่นนี้กลับไม่ใช่เรื่องดีเลยสักนิด
ผู้บัญชาการมิได้ใส่ใจท่าทีของคุณชายหลี่ เพียงแต่หัวเราะขึ้นพลางเอ่ยว่า “คุณหนูหลี่ ข้าแค่อยากฟังจากปากเจ้าเท่านั้นเอง”
คุณหนูหลี่เม้มปากแน่น ใบหน้ายังคงขาวซีด ริมฝีปากแห้งผากยังคงสั่นไม่หยุด ราวกับว่าพยายามต่อสู้อย่างหนัก
“ใต้เท้า น้องสาวข้าเป็นเพียงเด็กสาวที่ยังมิได้ออกเรือน เมื่อต้องมาเผชิญกับเรื่องเช่นนี้จึงได้ตกใจกลัว ท่านอย่าบีบคั้นนางอีกเลย!”
ในที่สุดใบหน้าของผู้บัญชาการก็พลันเปลี่ยนเป็นเย็นชา ก่อนจะยกมือขึ้นชี้ไปที่เจียงซื่อ “คุณหนูนางนี้ก็เป็นเพียงเด็กสาวที่ยังมิได้ออกเรือน แต่เหตุใดถึงได้สงบนิ่งปานนั้น”
แม้คำพูดนั้นเป็นการย้อนถามเพียงให้คุณชายหลี่สงบปาก แต่ไม่ได้คิดว่าหญิงสาวที่ถูกชี้จะเผยยิ้มอ่อนโยนก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบว่า “เพราะข้าไม่มีสิ่งใดต้องรู้สึกผิดนี่เจ้าคะ ตอนเช้ามิได้ทำเรื่องเลวร้าย ตกค่ำจึงมิต้องตกใจกับแค่เสียงเคาะประตู หากน้องสาวไม่ได้ร้อนตัว ยามเจอเหตุการณ์เช่นนี้ก็น่าจะแค่รู้สึกสงสารผู้ตายเท่านั้น แต่เหตุใดถึงต้องกลัวเล่า”
“พูดได้ดี!” เจียงจั้นรู้สึกว่าน้องสาวตัวเองพูดได้ดีจึงยกนิ้วชม
อวี้จิ่นเม้มปากเพื่อข่มรอยยิ้มนั้นไว้ สายตาของเขาจับจ้องไปบนใบหน้าของหญิงสาว
ผู้บัญชาการผงะไปชั่วขณะก่อนจะหันไปมองเจียงซื่ออย่างตั้งใจและเอ่ยชมขึ้นว่า “คุณหนูพูดได้ดีจริงๆ”
อะแฮ่ม ไม่คิดว่าวันนี้จะโชคดีได้เจอเด็กสาวที่กล้าหาญเช่นนี้ ลูกชายตระกูลหลี่จะได้สงบปากสงบคำลงเสียที
ในเมื่อสตรีนางอื่นกล่าวออกมาเช่นนี้ การที่คุณชายหลี่ยังถามไม่ให้สอบสวนก็รังแต่จะทำให้คุณหนูหลี่รู้สึกร้อนใจเข้าไปใหญ่
เป็นจริงดังที่คาด เพราะหลังจากที่เจียงซื่อเอ่ยจบ คุณชายหลี่ที่กำลังอ้าปากกว้างจะกล่าวเอ่ยบางสิ่งก็ถึงกับจนด้วยคำพูด และในที่สุดคุณหนูหลี่ก็ยอมปริปากพร้อมกับใบหน้าที่เปลี่ยนไป “ข้า…รู้จักกับนายน้อยหลิวจริงๆ…”
เมื่อเห็นว่าผู้บัญชาการกำลังรับฟังอย่างตั้งใจ นางจึงกัดฟันเอ่ยออกมาว่า “แค่รู้จักกันเท่านั้น…”
“ไม่ทราบว่าคุณหนูหลี่รู้จักกับได้เขาได้อย่างไร” ผู้บัญชาการทราบดีว่าไม่ควรเร่งรัดจึงเอ่ยถามเสียงเรียบ
“ข้ามักจะมาพำนักที่วัดหลิงอู้อยู่เป็นประจำ บางครั้งก็มีโอกาสได้พบนายน้อยตระกูลหลิวบ้าง ทำให้ได้รู้จักกันเจ้าค่ะ…” คุณหนูหลี่มองตาผู้บัญชาการอย่างลุกลี้ลุกลนก่อนจะรีบกล่าวเสริมว่า “แต่พวกเรามิได้สนิทกันนะเจ้าคะ!”
ผู้บัญชาการหันไปมองพระเสวียนฉือและพระสงฆ์ท่านอื่นๆ “หลิวเซิ่งมาที่วัดหลิงอู้บ่อยหรือไม่”
พระจือเค่อเอ่ยตอบ “บางครั้งก็มาพักอยู่ที่นี่สองสามวันขอรับ”
“ในเมื่อหลิวเซิ่งเป็นชาวเมืองหนิวชิง เหตุใดจึงต้องมานอนพักที่วัดเล่า”
พระจือเค่ออดไม่ได้ที่จะหันไปมองพระเสวียนฉือ
พระเสวียนฉือจึงอธิบายว่า “ผู้แสวงบุญบางท่านชอบมาทำความสะอาดที่วัด บางท่านก็ชอบน้ำแกงผักป่าของที่วัด ฉะนั้นคนในเมืองบางคนจึงชอบมาอาศัยอยู่ที่วัด”
ครั้นได้ยินคำว่า ‘น้ำแกงผักป่า; ไม่เพียงแต่ใบหน้าของเจียงจั้นเท่านั้นที่พลันเปลี่ยนเป็นขาวซีด เพราะผู้แสวงบุญอีกหลายคนก็มีอาการหดหู่ไม่แพ้กัน
“ใต้เท้า ฝ่ายชันสูตรศพตรวจสอบเบื้องต้นเรียบร้อยแล้วขอรับ”
“ไปเรียกเขาเข้ามา”
ไม่นานฝ่ายชันสูตรศพก็เข้ามา “คารวะใต้เท้า”
ผู้บัญชาการพยักหน้าเป็นเชิงให้อีกฝ่ายกล่าวต่อ
เห็นได้ชัดว่าฝ่ายชันสูตรศพคุ้นเคยกับเหตุการณ์เช่นนี้เป็นอย่างดี เขาไม่ได้หันไปมองคนอื่นๆ เพียงแต่เอ่ยสั้นๆ ว่า “ดวงตาของผู้ตายปูดโปนออกมา ที่บริเวณลำคอมีร่องรอยของบาดแผล ก้อนหินถูกผูกติดอยู่ที่ด้านหลัง เบื้องต้นสันนิษฐานว่าถูกฆาตกรรมก่อนจะนำร่างศพไปถ่วงน้ำ และคาดว่าฆาตกรเป็นผู้ชายขอรับ”
“เหตุใดถึงแน่ใจว่าเป็นผู้ชายล่ะ”
ฝ่ายชันสูตรศพกล่าวตอบ “เล็บของผู้ตายหักซึ่งแสดงว่ามีการต่อสู้กันอย่างรุนแรง การที่สามารถลงมือฆ่าผู้ตายที่มิใช่ชายหนุ่มผอมแห้งแรงน้อย ทั้งยังนำร่างศพผูกติดกับหินและนำไปถ่วงน้ำอีก สตรีเพศไม่น่าจะมีแรงมากขนาดนี้ขอรับ”
“แล้วเวลาตายล่ะ”
“คาดว่าเป็นช่วงเมื่อวานตอนบ่ายจนถึงยามโหย่ว[1]ขอรับ”
เมื่อเจียงจั้นได้ยินว่าผู้บัญชาการถามถึงเวลาของผู้ตาย เขาก็เริ่มประหม่าขึ้นมาเล็กน้อย แต่ครั้นได้ยินคำตอบของฝ่ายชันสูตรศพ เขาก็กลั้นยิ้มเอาไว้ไม่อยู่
โชคดีที่ผู้บัญชาการและฝ่ายชันสูตรศพไม่ใช่พวกไร้น้ำยา
“ดี เจ้าก็ไปตรวจสอบให้ละเอียดอีกครั้งแล้วกัน”
ฝ่ายชันสูตรศพกลับออกไป
ผู้บัญชาการกวาดตามองไปยังคนที่อยู่ในห้องนั้น แต่มิได้แสดงท่าทีระแคะระคายออกมา “ในเมื่อเวลาของผู้ตายถูกประมาณออกมาคร่าวๆ แล้ว เช่นนั้นเจี่ยงเอ้อร์ก็หลุดจากการเป็นผู้ต้องสงสัย…”
ซื่อไห่รีบพูดแทรกผู้บัญชาการทันที “ไม่แน่ว่าเจี่ยงเอ้อร์อาจจะมาที่วัดเมื่อวานนี้ก็เป็นได้ แต่ละวันมีผู้แสวงบุญเดินทางมาที่วัดหลิงอู้ตั้งมากมาย อาจไปได้ว่าเข้าจะแฝงตัวอยู่เพื่อไม่ให้ถูกจับได้”
เจียงจั้นเยาะเย้ย “ไร้สาระ เมื่อวานพวกเราเพิ่งจะมาถึงที่เมืองชิงหนิวนี่เอง เจ้าของโรงเตี้ยมและคนงานในนั้นเป็นพยานให้ได้ อีกอย่างระหว่างทางมาที่เมืองชิงหนิวเมื่อวานนี้มีเพิงขายแตงที่อยู่ห่างออกไปกว่าสิบลี้ พวกข้ายังซื้อแตงสองสามผลจากชาวสวนคนนั้นอยู่เลย หากใต้เท้ายังมิคลายสงสัยจะไปตรวจสอบดูก็ได้นะขอรับ”
ผู้บัญชาการพยักหน้าและหันไปทางกลุ่มพระสงฆ์ “มีหลายคนเดินทางมาด้วยกัน ฉะนั้นย่อมทิ้งร่องรอยเอาไว้ตามทางอยู่แล้ว หากไปตรวจสอบดูก็จะสามารถรู้ได้ ฉะนั้นข้าจึงขอตัดเจี่ยงเอ้อร์ออกจากการเป็นผู้ต้องสงสัยออกไปก่อน เพราะที่สำคัญก็คือเขาไม่มีเหตุจูงใจในการก่อคดีฆาตกรรมครั้งนี้เลย เพราะเหตุจูงใจจะเป็นกุญแจสำคัญที่สุดในการลงมือฆาตกรรม ยิ่งไปกว่านั้นคือข้าสังเกตเห็นว่าทางจากห้องพักไปยังเขาด้านหลังนั้นค่อนข้างซับซ้อน การที่ผู้แสวงบุญที่มาพำนักอยู่ที่วัดจะไปยังภูเขาด้านหลังได้โดยที่ไม่ถูกคนในวัดสังเกตเห็นเป็นเรื่องยากโดยแท้”
“ถ้าเช่นนั้นฆาตกรคือใครกันล่ะ” พระเสวียนฉือเอ่ยถามอย่างใคร่รู้
“จากเบาะแสที่มีเบื้องต้น ฆาตกรน่าจะคุ้นเคยกับเขาด้านหลังเป็นอย่างดี ฉะนั้น…” ผู้บัญชาการหยุดพูดไปชั่วขณะ “คนที่ดูเป็นไปได้มากที่สุดก็คือพระในวัดและเหล่าผู้แสวงบุญที่มาพำนักในวัดเนี่ยแหละ”
“อมิตาพุทธ หวังว่าใต้เท้าจะตรวจสอบเรื่องนี้อย่างละเอียด และคืนความบริสุทธิ์ให้แก่พระสงฆ์ในวัดของเราด้วย” พระเสวียนฉือพนมมือขึ้นพลางเอ่ย
“นั่นเป็นเรื่องที่ต้องทำอยู่แล้ว ตอนนี้ข้าจะสอบปากคำทีละคน รบกวนพระอาจารย์เสวียนฉือจัดห้องแยกให้ที” ผู้บัญชาการพูดจบก็หันไปยิ้มให้เจียงจั้นและคนอื่นๆ “พวกท่านก็ไปพักก่อนเถิด หากมีเรื่องอะไรข้าจะให้คนไปตามพวกท่านทีหลัง”
ไม่นานห้องแยกก็ถูกจัดไว้เรียบร้อย เจียงซื่อและคนอื่นๆ ยืนอยู่บนระเบียงทางเดินที่ทอดยาว ในตอนนั้นต่างคนต่างก็ไม่รู้สึกง่วงนอนเลยแม้แต่น้อย
“น้องสี่กับพี่อวี๋ชีดูสิ คนที่ถูกเรียกออกไปคนแรกคือผู้แสวงบุญที่มาพำนักอยู่ที่นี่” เจียงจั้นที่หลุดพ้นจากการเป็นผู้ต้องสงสัยรู้สึกผ่อนคลายและดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาก
อวี้จิ่นยิ้มพลางเอ่ย “พวกเราถูกสอบสวนไปแล้วหนหนึ่ง ยามนี้ก็ถึงคราวของเหล่าผู้แสวงบุญบ้าง แต่ว่าใต้เท้าผู้นั้นก็น่าสนใจทีเดียว เขาให้ทุกคนเข้าใจสถานการณ์เบื้องต้นพร้อมกัน จากนั้นก็สอบถามรายละเอียดทีละคน คาดว่าคงจะได้เบาะแสอะไรบางอย่าง”
เขาเอ่ยพลางลูบคางของตัวเองอย่างเบามือก่อนจะหันไปหาเจียงซื่อ “ข้ามีเรื่องอยากจะถามหลี่เจิ้งเกี่ยวกับชายหนุ่มผู้นั้นอีกหน่อย จะได้ด้วยกันหรือไม่”
………………………………………………………………………………………………….
[1] ยามโหย่ว คือช่วง 17:00-19:00 น.