ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ - ตอนที่ 106 กุญแจสำคัญ
ตอนที่ 106 กุญแจสำคัญ
จู่ๆ อวี้จิ่นก็มองมาที่เจียงซื่อ “ตอนที่ผู้บัญชาการไต่สวนคดี หลี่เจิ้งได้บอกเรื่องที่อารองของหลิวเซิ่งตายเมื่อสองปีก่อนด้วยใช่หรือไม่”
“ใช่ หลี่เจิ้งบอกมาแบบนี้ ข้าจำได้เล็กน้อย” เจียงจั้นเอ่ยขึ้น
“ชักจะน่าสนใจแล้วสิ” อวี้จิ่นยิ้มออกมา
ทว่าเจียงซื่อกลับคิดไปไกลมากกว่านั้นนิดหน่อย
สามเณรน้อยบอกว่าครึ่งเดือนก่อนมีหญิงสาวคนหนึ่งแต่งตัวเป็นผู้ชายเข้ามาพักที่วัดหลิงอู้ แถมยังเป็นคนแปลกหน้าอีก นางมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับศพหญิงสาวที่สวนดอกไม้ในจวนฉังซิงโหว และได้มาขอยันต์อยู่เย็นเป็นสุขเหมือนกัน..เช่นนั้น สามารถเดาได้เลยหรือไม่ว่าหญิงสาวที่แซ่ฉื่อคนนั้นอาจเป็นคนเดียวกับศพในสวนดอกไม้
ทว่าเรื่องนี้ต้องไปหาหลักฐานจากแม่นางหลี่
ขณะที่ทั้งสามกำลังกระซิบคุยแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน ทางฝั่งผู้บัญชาการก็ซักถามญาติโยมไปได้สองสามคนแล้ว จากนั้นก็เรียกหลี่เจิ้งกับชายหนุ่มอีกสองคนจากเมืองชิงหนิวเข้าไปไต่ถามตามลำดับ
คุณชายหลี่กำลังต่อว่าแม่นางหลี่ “ในเมื่อเจ้าไม่เป็นไร ตอนที่ข้าพาคนไปงมชายผู้นั้นจากบ่อน้ำขึ้นมาทำไมเจ้าถึงไม่พูดอะไรออกมาซักคำ แถมยังยืนมองดูอยู่ด้านข้างด้วย! งามหน้าไหมล่ะ ทำคนหายไปทั้งคน ไม่รู้ว่าคนอื่นจะหัวเราะเยาะตระกูลของเราไปอีกนานเท่าใด”
แม่นางหลี่ทั้งน้อยใจและสลดใจ “ตอนที่ข้าได้ยินข่าวแล้วรีบมา พี่ใหญ่ก็สั่งให้คนลงไปงมศพในบ่อน้ำแล้ว สถานการณ์แบบนั้นจะให้ข้าเสนอหน้าออกมาได้อย่างไร”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ แล้วเจ้าจะวิ่งเสนอหน้าออกมาทำอะไรอีก” คุณชายหลี่แสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่ได้คล้อยตามง่ายๆ
“ข้า…” แม่นางหลี่กัดริมฝีปากแน่น “ข้าพบว่าข้ารู้จักชายผู้นั้น ก็เลยตกใจกลัวไปชั่วขณะหนึ่ง…”
คุณชายหลี่จ้องแม่นางหลี่ด้วยความระแวง “น้องข้า เจ้ากับชายผู้นั้นเป็นแค่คนรู้จักกันแค่นั้นจริงรึ”
แม่นางหลี่รีบหันซ้ายมองขวาแล้วเอ่ยขึ้นด้วยความโมโห “พี่ใหญ่ ท่านพี่พูดจาเหลวไหลอะไรกัน เดี๋ยวคนอื่นมาได้ยินเข้าจะทำอย่างไร”
คุณชายหลี่ทำหน้าขรึมลง “ได้ กลับเรือนค่อยคุยกัน”
แม่นางหลี่รู้สึกโล่งใจขึ้นมาเล็กน้อย
ทันใดนั้นเองก็มีคนเข้ามาตะโกนเรียกแม่นางหลี่ให้เข้าไปรับการไต่สวน เดิมคุณชายหลี่อยากจะเข้ามาขวาง ทว่าพอเห็นสีหน้าอันสุขุมนุ่มลึก ยากที่จะคาดเดาได้ของผู้บัญชาการที่นั่งตัวตรงอยู่ข้างในห้องที่มีประตูเปิดกว้างไว้จึงต้องหลีกทางไปเงียบๆ
แม่นางหลี่เดินเข้าไปอย่างกล้าๆ กลัวๆ ทันทีที่ก้าวเข้าไปประตูห้องก็ถูกปิดลง นางตกใจกลัวจนหน้าซีดเผือด
“แม่นางหลี่อย่าตื่นตระหนกไปเลย ตอนนี้ข้าต้องการถามเจ้าบางอย่าง เจ้าวางใจเถอะ สิ่งที่เจ้าพูดในตอนนี้จะไม่มีใครรู้แน่นอน”
แม่นางหลี่คุกเข่าลงช้าๆ “เชิญท่านถามมาได้เลย”
ผู้บัญชาการเงียบไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ยถามขึ้นอย่างตรงไปตรงมา “แม่นางหลี่กับผู้ตายเป็นอะไรกันหรือ’
“ก็ ก็แค่คนรู้จัก…”
ผู้บัญชาการแสยะยิ้มออกมา “เมื่อครู่ข้าไต่ถามมาหลายคนแล้ว พวกเขาไม่ได้พูดเช่นนี้นะ”
แม่นางหลี่มองผู้บัญชาการด้วยความตะลึง
“ถ้าไม่อยากให้คนอื่นรู้ว่าไปทำเรื่องอะไร ตัวเองก็ไม่ควรไปทำ เรื่องที่แม่นางหลี่ไปพักชั่วคราวที่วัดหลิงอู้บ่อยๆ คิดหรือว่าจะไม่มีใครเห็น”
“ใต้เท้ากำลังพูดเรื่องอะไร ข้าน้อยไม่เข้าใจ…”
“แม่นางหลี่ ข้าจะไม่พูดอ้อมค้อมกับเจ้า มีคนเห็นเจ้ากับหลิวเซิ่งคุยกันเป็นการส่วนตัวในยามวิกาล…” เมื่อเห็นแม่นางหลี่หน้าซีดเผือด ท่าทางจะล้มแหล่มิล้มแหล่ ผู้บัญชาการจึงเปลี่ยนน้ำเสียงพูดให้อ่อนโยนลง “เมื่อครู่ข้าบอกไปแล้วว่า สิ่งที่เจ้าพูดในนี้จะไม่มีใครรู้ ตอนนี้ข้าต้องการสืบหาเรื่องการตายของหลิวเซิ่ง ไม่ได้สนใจเรื่องของชายหญิงอันใด แต่ถ้าแม่นางหลี่ยังไม่ให้ความร่วมมือ เช่นนั้นข้าจึงต้องลงความเห็นว่าเจ้ามีความเกี่ยวข้องกับการตายของหลิวเซิ่งมากทีสุด ไม่แน่พรุ่งนี้อาจต้องถามคนอื่นเพิ่มอีก”
ตัวของแม่นางหลี่โอนเอนไปมา นางยกมือขึ้นมายันผนังห้องไว้อย่างไม่รู้ตัว ความเย็นยะเยือกจากตัวผนังห้องทำให้นางกลับมาสงบได้บ้าง ทว่าคำพูดของผู้บัญชาการยังคงวนเวียนอยู่ในหัวอย่างบ้าคลั่ง
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ สุดท้ายนางก็ทนไม่ไหว เอามือกุมหน้าไว้พลางร้องไห้ออกมาแล้วเอ่ยขึ้น “ใช่เจ้าค่ะ ข้ากับหลิวเซิ่งแอบตัดสินใจกันเองว่าจะแต่งงานกัน!”
มุมปากผู้บัญชาการคลายลงเล็กน้อย
ถือว่าง้างปากนังหนูนี่ได้ซักที
“พวกเรารู้จักกันที่วัดหลิงอู้ เนื่องจากมักจะพบเจอกัน เวลาผ่านไปนานเข้า…ก็เลยเกิดความรู้สึกชอบพอกัน…”
“แม่นางหลี่ไม่จำเป็นต้องเล่าเรื่องพวกนี้อย่างละเอียด บอกมาแค่ว่าที่เจ้ามาจุดธูปบูชาครั้งนี้ได้นัดกับหลิวเซิ่งไว้หรือไม่”
หนุ่มสาวอายุน้อยที่กำลังอยู่ในช่วงรักกันปานจะกลืนกิน ยากที่จะสะบัดกรอบการควบคุมของคนในครอบครัวได้ เพราะงั้นจะไม่มีเหตุผลในการแอบเจอกันอย่างลับๆ ได้อย่างไร
หลังจากที่แม่นางหลี่ยอมรับ นางก็แสดงออกว่าจะไม่ปิดบังอะไรอีกต่อไปอย่างเห็นได้ชัด นางพยักหน้าเล่าทั้งน้ำตา “พวกเรานัดเจอกันวันนี้ เพราะกลัวว่าถ้ามาวันเดียวกันบ่อยๆ จะถูกคนดูออก เขาก็เลยจะมาถึงก่อนหนึ่งวัน แต่พอหลังจากที่ข้ามาถึง ไม่ว่าจะรอยังไงเขาก็ไม่ออกมา จึงไปหาเขาในที่ที่เขาอาจจะไปในเมืองแล้วเดินไปมาอยู่สักพัก ทว่าใครจะรู้ว่าพี่ชายของข้าพาคนมาตามหาข้าที่วัดหลิงอู้ ซึ่งกว่าข้าจะไปถึง…”
ผู้บัญชาการรอให้แม่นางหลี่ใจเย็นลงแล้วเอ่ยถามออกไป “แม่นางหลี่สังเกตเห็นบ้างหรือไม่ว่าหลิวเซิ่งมีอะไรผิดปกติไป”
แม่นางหลี่ส่ายหน้าไปมาทั้งๆ ที่รู้สึกลังเลใจ
“ลิ่งจุนเป็นคนที่มีชื่อเสียงและตำแหน่งการงาน ตระกูลหลี่ก็เป็นตระกูลที่มีหน้ามีตา ชื่อเสียงบารมีในเมืองต้าหยางก็มีไม่น้อย ถึงแม้ตระกูลของหลิวเซิ่งจะเปิดร้านขายผ้า ทว่าการที่หลิวเซิ่งจะได้การยอมรับจากลิ่งจุนกับลิ่งฉือคงจะลำบากมากใช่หรือไม่”
แม่นางหลี่เงียบไปครู่หนึ่งแล้วพยักหน้า
“ในเมื่อพวกเจ้าทั้งสองชอบพอกัน ไม่ได้คิดวางแผนอนาคตกันไว้หรือ”
เมื่อได้ยินผู้บัญชาการพูดเช่นนี้ จู่ๆ แม่นางหลี่คล้ายจะนึกอะไรขึ้นได้ นางเบิกตาโพลงพลางอ้ำอึ้งอยู่สักพัก
ผู้บัญชาการถอนหายใจออกมาพลางเอ่ยขึ้น “ข้าเก็บความลับให้แม่นางหลี่ได้ ทว่าแม่นางหลี่ไม่อยากหาตัวฆาตกรให้คนรักหรือ”
แม่นางหลี่กำฝ่ามือจิกนิ้วอย่างแรง สักพักก็คลายมือลงแล้วเอ่ยขึ้น “ไม่นานมานี้เขาเคยบอกว่าเขาจะหอบเงินกองโตมาเป็นสินสอดทองหมั้น”
“ลิ่งจุนก็คงไม่ได้เห็นแก่สินสอดทองหมั้นแล้วปล่อยไปหรอกใช่หรือไม่”
สีหน้าของแม่นางหลี่ดูลำบากใจเล็กน้อย “เขาบอกว่าเงินพวกนั้นมีจำนวนมาก จะทำให้พ่อข้าวางใจได้”
“เช่นนั้น ที่พวกเจ้านัดกันครั้งนี้…”
“พอเตรียมพร้อมแล้วก็ต้องเจอหน้าปรึกษาหารือกันอีกเล็กน้อย ท่านใต้เท้าเจ้าคะ ตอนนี้ข้ามาคิดดู เงินก้อนที่สามารถทำให้พ่อข้าวางใจได้มันต้องเป็นจำนวนที่น่าตกใจมากแน่นอน การตายของเขาจะเกี่ยวข้องกับเงินนี้หรือไม่…”
“เอาล่ะ ข้าเข้าใจคร่าวๆ แล้ว แม่นางหลี่ออกไปก่อนเถิด”
คราวนี้แม่นางหลี่กลับยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อน
ผู้บัญชาการยิ้มออกมาอย่างอบอุ่น “แม่นางหลี่วางใจเถิด ข้าไม่ยอมให้เหยื่อนอนตายตาไม่หลับหรอก”
แม่นางหลี่คุกเข่าเคารพลง น้ำเสียงสั่นเครือ “ข้าน้อยขอบคุณท่านใต้เมาก ได้โปรดหาตัวฆาตกรให้เจอเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้เขาด้วย!”
แม่นางหลี่ถอยหลังแล้วเดินออกไป ผู้บัญชาการตบลงที่พนักเก้าอี้เบาๆ แล้วพึมพำออกมา “ดูเหมือนว่าตอนนี้จะเหลือแค่ตัวละครที่สำคัญที่สุด…”
ในขณะเดียวกัน อวี้จิ่นก็เอ่ยขึ้นเสียงเบา “ดูเหมือนว่าตอนนี้จะเหลือแค่ตัวละครที่สำคัญที่สุด…”
เขาสบตากับเจียงซื่อ ทั้งสองพูดออกมาเป็นเสียงเดียวกัน “แม่ของหลิวเซิ่ง!”
เจียงจั้นเงยหน้ามองท้องฟ้า
เขาเกลียดตอนที่พวกเขาใจตรงกันมากที่สุด มันทำให้เขาดูโง่มาก
เสียงโหวกเหวกโวยวายดังขึ้นที่บริเวณประตูเรือน ไม่นานเจ้าหน้าที่ตรวจการชั้นผู้น้อยสองสามคนก็เดินปรี่เข้ามา ด้านหลังมีพระสองสามรูปวิ่งตามอยู่ ดูเหมือนจะไม่พอใจมากที่จู่ๆ พวกเขาก็บุกรุกเข้ามา
“นายท่าน ข้าน้อยมาแล้ว”
ผู้บัญชาการเดินออกมาจากห้อง แสงสว่างจากโคมไฟสาดส่องลงมาบนหน้าของเขา เห็นได้ชัดว่ากำลังร้อนใจ “ได้ตัวคนมาหรือไม่”
หัวหน้าหน่วยผู้ตรวจการประสานมือคารวะ “ข้าน้อยพาคนไปที่บ้านของหลิวเซิ่งแล้ว ไม่เจอแม่ของหลิวเซิ่ง ทว่ากลับเจอคนถูกมัดไว้กับเก้าอี้แทน ซึ่งข้าน้อยนำตัวมันมาด้วย”
หัวหน้าหน่วยผู้ตรวจการพูดจบก็ยกมือขึ้น ผู้ตรวจการคนหนึ่งนำตัวคนที่ถูกถุงผ้าสีดำคลุมหัวเข้ามาทันที
“ถอดผ้าคลุมออก”
ผู้ตรวจการถอดผ้าคลุมหัวสีดำออกอย่างรวดเร็ว
ทุกคนหยุดหายใจไปชั่วขณะ และเมื่อเห็นหน้าตาของคนที่ถูกนำตัวมาอย่างชัดเจนต่างก็หน้าถอดสีไปตามๆ กัน