ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ - ตอนที่ 107 ฆาตกร
ตอนที่ 107 ฆาตกร
เสื้อผ้าอาภรณ์ที่สวมใส่อยู่บนตัวไม่ได้โดดเด่นมากนัก ทว่าศีรษะที่ไร้ผมของเขาราวกับส่องแสงออกมาได้ ทุกคนตะลึงอ้าปากค้างกันเลยทีเดียว
ซื่อไห่พูดเสียงหลง “ศิษย์พี่ซื่อเจี้ย!”
นึกไม่ถึงเลยว่าคนที่ผู้ตรวจการจับมาจะเป็นพระรูปหนึ่ง!
บรรยากาศอบอวลไปด้วยความประหลาดใจ
ซื่อไห่รีบเดินเข้าไปเพื่อจะประคองเขาลุกขึ้น “ศิษย์พี่ซื่อเจี้ย ทำไมถึงเป็นท่านได้ นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่”
พระที่ถูกเรียกว่า ‘ซื่อเจี้ย’ นั่งนิ่งอยู่กับพื้น ไม่พูดไม่จาและไม่มีการขัดขืนใดๆ
“พวกเจ้ารีบปล่อยตัวเขาเร็วเข้า นี่ต้องเป็นเรื่องเข้าใจผิดแน่!” ซื่อไห่พูดเสียงดัง
ผู้ตรวจการไม่ได้สนใจซื่อไห่ แล้วเอ่ยพูดกับผู้บัญชาการออกไป “นายท่าน ตอนที่ข้าน้อยพาคนไปถึง ภายในบ้านตระกูลหลิวมีร่องรอยการต่อสู้เล็กน้อย แถมยังมีรอยเลือดด้วย”
“นอกจากคนผู้นี้แล้ว ไม่มีผู้ใดอีกเลยรึ”
“ขอรับ”
เด็กหนุ่มที่หลี่เจิ้งรับเลี้ยงไว้ข้างกายอดพูดแทรกออกมาไม่ได้ “คลับคล้ายคลับคลาว่าในบ้านตระกูลหลิวจะมีสาวรับใช้อยู่หนึ่งคน”
ในเมืองเช่นนี้ หากบ้านไหนมีสาวรับใช้แสดงว่าไม่ธรรมดา เด็กหนุ่มจึงจำได้อย่างชัดเจน
“ข้าน้อยไม่เจอสาวรับใช้ ทว่าได้ทิ้งลูกน้องไปในเมืองสองคนเพื่อตามหาตัวแม่ของหลิวเซิ่ง ส่วนข้าน้อยนำตัวคนผู้นี้กลับมารายงานก่อน”
ผู้บัญชาการมองไปที่พระสงฆ์ “อาจารย์ซื่อเจี้ยทำไมถึงไปโผล่ที่บ้านของผู้ตายได้หรือ”
“อมิตาพุทธ” ซื่อเจี้ยยังไม่ทันได้เอ่ยปากพูด เสวียนฉือกับเอ่ยบทสวดออกมาเสียงดังเพื่อเรียกความสนใจจากทุกคนให้หันมา “อาตมาเป็นคนส่งซื่อเจี้ยไปเอง”
“พระอาจารย์อา…” พระท่านที่อยู่รอบๆ สีหน้าปลี่ยนไป
เสวียนฉือยังคงสีหน้าเดิม “อาตมาเห็นว่าโยมหลิวตายในวัด จึงกังวลว่าแม่ของเขาจะถูกคนเลวลอบทำร้ายก็เลยส่งซื่อเจี้ยไปเชิญนางมา อมิตาพุทธ ไม่นึกเลยว่าจะเกิดเรื่อง และถ้าไม่ใช่เพราะพวกท่านไปถึงที่นั่นเร็ว ไม่แน่ซื่อเจี้ยอาจจะถูกเล่นงานไปแล้ว”
ซื่อไห่ที่อารมณ์ร้อนที่สุดดูโล่งใจออกมาอย่างเห็นได้ชัด
ใครๆ ก็รู้ว่าซื่อเจี้ยเป็นลูกศิษย์ที่สนิทกับอาจารย์อาเสวียนฉือมากที่สุดในวัด เมื่อครู่เขาจึงตกใจมาก
“เป็นเช่นนี้จริงหรือ” เมื่อได้ยินที่เสวียนฉือพูด ผู้บัญชาการก็เอ่ยถามซื่อเจี้ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
ในที่สุดซื่อเจี้ยก็เงยหน้าขึ้น คาดไม่ถึงเลยว่าน้ำตาจะไหลนองเต็มใบหน้า “ท่านอาจารย์ ศิษย์ทำตามคำสั่งของท่าน…”
เจียงซื่อมองดูทุกอย่างอยู่เงียบๆ พลางขมวดคิ้วขึ้น
ส่วนผู้บัญชาการก็เห็นได้ชัดว่ากำลังตกที่นั่งลำบากเพราะไม่ได้ตัวแม่ของหลิวเซิ่ง เขาได้แต่นิ่งเงียบแล้วเอามือไขว้หลังไว้
จู่ๆ ทุกอย่างก็เงียบลง
“ผู้ตรวจการจ้าว นำเจ้าหน้าที่ ออกไปตามหาคน ไม่ว่าจะเป็นแม่ของหลิวเซิ่งหรือสาวรับใช้ หาตัวผู้ใดเจอก่อนก็ให้รีบนำตัวกลับมาทันที”
“ขอรับ” ผู้ตรวจการจ้าวนำคนจำนวนหนึ่งออกไป แต่ไม่นานก็กลับเข้ามา ตัวยังไม่ทันมาถึงก็ตะโกนออกมาอย่างตื่นเต้น “นายท่าน เจอตัวแล้วขอรับ!”
ผู้บัญชาการเดินรุดไปข้างหน้าอย่างอดไม่ได้ น้ำเสียงตื่นเต้นจนปิดไม่มิด “รีบพาเข้ามา!”
ผู้ตรวจการจ้าวเดินนำหน้า ผู้ตรวจการ ที่หามแคร่อยู่สองนายเดินตามหลัง บนแคร่มีนายหญิงชราผมหงอกท่านหนึ่งนอนอยู่ ด้านข้างมีสาวรับใช้สีหน้าหวาดกลัวคอยติดตาม
“ได้รับบาดเจ็บมาหรือ” ผู้บัญชาการเร่งฝีเท้าเดินไปตรงหน้านายหญิง
นายหญิงตาปิดสนิท หน้าซีดเผือด ดูท่าจะมีแต่ลมหายใจเข้ามากกว่าลมหายใจออกเสียอีก
ซื่อเจี้ยมองจ้องนายหญิงตาไม่กะพริบ มุมปากค่อยๆ ยกขึ้น
“บาดเจ็บตรงไหนหรือ แล้วทำไมถึงได้หาตัวเจอเร็วถึงเพียงนี้” ผู้บัญชาการถาม
ผู้ตรวจการจ้าวเอ่ยตอบ “บาดแผลอยู่บริเวณอกข้างซ้าย ปากแผลมีขนาดไม่ถึงหนึ่งนิ้ว ขณะที่ข้าน้อยกำลังเดินออกไปจากปากประตูวัดก็เห็นคนในหมู่บ้านหามท่านป้าท่านนี้ตรงมาทางนี้ขอรับ ได้ยินพวกเขาพูดกันว่าท่านป้าท่านนี้ถูกคนแปลกหน้าท่านหนึ่งพาไปส่งที่โรงหมอ แล้วก็ทิ้งเงินให้กับพวกเขาจำนวนมากเพื่อให้พวกเขาหามมาที่นี่”
ผู้บัญชาการมองนางอย่างละเอียด
อาการบาดเจ็บของนาง แค่ดูก็รู้แล้วว่าไม่ค่อยสู้ดีนัก แม้จะหามไปทิ้งไว้ที่โรงหมอในหมู่บ้านก็ยากที่จะรอดได้
คนที่สำคัญที่สุดกลับพูดไม่ได้ แล้วต่อไปจะทำอย่างไร
จู่ๆ อวี้จิ่นก็เดินเข้ามา ผู้ตรวจการจ้าวเห็นเข้าจึงยื่นมือออกไปกั้น
เขาหยุดกึกแล้วยื่นขวดลายครามสีขาวออกไปให้ผู้บัญชาการ
“นี่คือ…”
กิริยาท่าทางของอวี้จิ่นกับพวกดูดีมาก เห็นได้ชัดว่าต้องไม่ใช่คนธรรมดา แม้ผู้บัญชาการจะรู้สึกตงิดอยู่ในใจ ทว่าเนื่องจากเป็นคดีเร่งด่วนเขาจึงไม่ซักถามอะไรมาก
ยิ่งไปกว่านั้นผู้บัญชาการอายุปูนนี้แล้ว แถมยังเป็นข้าราชการรับผิดชอบดูแลความสงบเรียบร้อยในสังคมอีก เขาผ่านเรื่องราวต่างๆ มามากมาย จึงเข้าใจสถานการณ์แบบนี้ดีว่าถามประวัติของคนพวกนี้ไปก็ไม่มีประโยชน์กับรูปคดี ดังนั้นจึงแสร้งทำเป็นไม่สนใจ
ทว่านี่ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่เคารพอวี้จิ่นและพวก
“เป็นยายื้อชีวิตชนิดหนึ่ง สามารถทำให้คนที่บาดเจ็บสาหัสฟื้นขึ้นมาได้ชั่วขณะ”
“แล้วหลังจากนั้น…”
“ไม่มีผลข้างเคียงใดๆ เดิมถ้าผู้เจ็บอาการไม่ค่อยดีนัก เห็นท่าว่าจะตายก็คงต้องตายตามนั้น”
ผู้บัญชาการ “…” นี่ลูกชายจากตระกูลไหน พูดจาเช่นนี้ไม่เคยถูกตีรึ
อวี้จิ่นเห็นนางอาการร่อแร่ สีหน้าไร้ซึ่งความรู้สึก จึงนำขวดลายครามที่ถือเล่นอยู่ในมือเอ่ยถามผู้บัญชาการออกไป “ท่านต้องการหรือไม่ ถ้าไม่ต้องการข้าจะได้เก็บ”
เนื่องจากแรกเริ่มคดีนี้มันพัวพันกับเจียงจั้น ถ้าสามารถเปิดเผยความจริงออกมาได้ก็ดี ทว่าถ้าไม่แล้วปล่อยผ่านละเลยไป มันก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับพวกเขา
เมื่ออวี้จิ่นไม่อะไรคิดมาก เขาจึงยิ่งทำท่าทางตามอำเภอใจ
ผู้บัญชาการสับสนอยู่นานแล้วตัดสินใจออกมาอย่างแน่วแน่ “อืม เอาให้นางกินซะ”
“โยม ยาที่ไม่มีที่มาที่ไปเช่นนี้ถ้าเกิดว่าเอาให้กินแล้วเกิดเรื่องขึ้นมา มันจะกลายเป็นความผิดของโยมนะ” เสวียนฉือพนมมือพลางเอ่ยเตือน
อวี้จิ่นรีบชักขวดลายครามกลับอย่างรวดเร็ว “ท่านต้องคิดให้ดีๆ นะขอรับ เดิมเรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับข้า ข้าไม่รับผิดชอบใดๆ ทั้งสิ้นนะ”
ผู้บัญชาการขมวดคิ้วแน่นพลางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็พยักหน้าลงอย่างไม่ลังเล “เอายาให้นางกิน! บาดเจ็บสาหัสขนาดนี้คงหมดหนทางรอดแล้ว ข้าคงช่วยนางไม่ได้หรอก ทว่าอย่างน้อยต้องอย่าให้นางตายไปเฉยๆ โดยที่ไม่รู้ว่าผู้ใดเป็นคนฆ่าลูกชายของนาง”
ลูกน้องคนหนึ่งเข้ามารับขวดลายครามไป จากนั้นก็หยิบยาออกมาให้นายหญิงกิน
ผู้บัญชาการถือโอกาสถามสาวรับใช้ที่ติดตามมา “นายของเจ้าได้รับบาดเจ็บได้อย่างไร”
สาวรับใช้ยังอยู่ในความตื่นตระหนก “ข้าน้อยกำลังต้มน้ำอยู่ในห้อง แล้วจู่ๆ ก็มีคนบุกรุกเข้ามาแทงท่านป้า จากนั้นก็มีอีกคนหนึ่งโผล่เข้ามาจู่โจมทำร้ายคนๆ นั้นล้มลงแล้วมัดไว้กับเก้าอี้ ตอนนั้นข้าน้อยกลัวจึงหลบอยู่ข้างในไม่กล้าออกมา ทว่าคนที่มาทีหลังเจอข้าน้อยเข้า จึงสั่งให้ข้าน้อยเป็นคนนำทางพาท่านป้าไปโรงหมอ…”
สายตาของทุกคนจับจ้องมาที่ซื่อเจี้ย
ซื่อเจี้ยสีหน้าย่ำแย่มาก
เขาถูกทำร้ายจนสลบไปชั่วขณะหนึ่ง จึงไม่รู้เลยว่าเหตุการณ์ทั้งหมดจะอยู่ในสายตาของสาวรับใช้นางนี้
“ท่านป้าฟื้นแล้ว!”
ผู้บัญชาการเดินมาข้างหน้าแล้วตะโกนขึ้น “ตื่นเถิดอาซ้อ”
นางลืมตาขึ้นมาช้าๆ
นางไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่กลอกตามองไปรอบๆ อย่างงงวย
ผู้บัญชาการพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง เนื่องจากกลัวว่านางจะทนไม่ไหวแล้วหมดลมหายใจลงต่อหน้าต่อตา จึงตัดสินใจพูดความจริงออกไป “อาซ้อ ข้าคือผู้บัญชาการจากอำเภอฟู่ซิ่ง ที่นี่คือวัดหลิงอู้…”
จู่ๆ นายหญิงก็มีแรงขึ้นมา “ลูกเซิ่งก่อเรื่องใช่หรือไม่”
เมื่อเอ่ยถึงวัดหลิงอู้นางก็นึกว่าลูกชายตัวเองก่อเรื่อง ท่าทางของนายหญิงยิ่งยืนยันบางอย่างที่ผู้บัญชาการคาดคะเนไว้
“หลิ่วเซิ่งเขา…วันนี้เขาถูกงมขึ้นมาจากบ่อน้ำหลังเขาในวัดหลิงอู้ เขาถูกคนทำร้ายจนตาย!” ผู้บัญชาการพูดอย่างรวดเร็ว เพราะกลัวว่านายหญิงจะได้ยินแค่ครึ่งเดียวแล้วหมดลมหายใจไปก่อน “อาซ้อ ท่านต้องอดทนไว้ ตอนนี้มีเพียงแค่ท่านคนเดียวที่สามารถชี้ตัวได้ว่าผู้ใดเป็นฆาตกรทำร้ายลูกชายของท่าน!”
พอนางได้ยินที่ผู้บัญชาการพูดคล้ายกับฟ้าผ่าลงกลางอก นางกลอกตาซ้ายขวาไปมาอย่างรวดเร็ว มองไปทางหนึ่งแล้วหยุด จากนั้นก็ละสายตาไปอีก ความรู้สึกงุนงง ตกตะลึงและเจ็บปวดฉายผ่านไปมาในดวงตา ในที่สุดมันก็หยุดมองไปทางหนึ่ง
ทุกคนต่างมองตามสายตาคู่นั้นออกไป
พระเสวียนฉือยืนอยู่ตรงนั้นด้วยสีหน้าไร้ซึ่งความรู้สึก