ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ - ตอนที่ 138 อายุสิบแปดปีของอวี้จิ่น
ตอนที่ 138 อายุสิบแปดปีของอวี้จิ่น
อายุครบสิบแปดปีสำหรับองค์ชายถือว่าเป็นช่วงเวลาที่มีความสำคัญมาก
สิบแปดปีก่อน อวี้จิ่นถือว่าเป็นองค์ชายที่เลี้ยงปล่อย มีอาจารย์สอนหนังสือ สอนศิลปะการต่อสู้ ขอเพียงแค่เขาอยากเรียน ก็มีคนสอนให้ แต่ถ้าเขาไม่อยากเรียน ก็ไม่มีใครนำมาตรฐานการเป็นองค์ชายมาบีบบังคับให้เขาเรียน
พระญาติในราชวงศ์หรือขุนน้ำขุนนางต่างให้ความอิสระแก่อวี้จิ่น แต่เมื่อใดที่พบหน้ากัน ก็จะแสดงความเคารพอันเป็นพื้นฐานของการปฏิบัติต่อองค์ชายกับเขา
พวกเขาต่างเฝ้ารอให้องค์ชายเจ็ดอายุครบสิบแปดปี
ตอนนั้นท่านโหราจารย์เคยกล่าวไว้ว่า ดวงขององค์ชายเจ็ดไม่สมพงษ์กับฮ่องเต้ ฉะนั้นสองพ่อลูกต้องไม่เจอหน้ากันเป็นอันขาด จนกว่าองค์ชายเจ็ดจะอายุครบสิบแปดปี
พวกเขากำลังเฝ้ารอว่าวันที่องค์ชายเจ็ดอายุครบสิบแปดปีบริบูรณ์แล้วนั้น ฝ่าบาทจะยังจำพระโอรสองค์นี้ได้หรือไม่
หากจำได้ก็ไม่จำเป็นต้องกล่าวอะไรมาก หากพระองค์ทรงจำองค์ชายเจ็ดไม่ได้แล้ว พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องสนใจอีกต่อไปเช่นกัน
แต่ความวุ่นวายของอวี้จิ่นไม่ได้เกิดขึ้นเพราะเรื่องนี้
ใกล้จะถึงวันเกิดเขาแล้ว แต่อาซื่อยังไม่เคยมาที่นี่เลย!
อารมณ์ไม่ดีแล้วนะ
คนอารมณ์ไม่ดี ได้เคลื่อนย้ายสายตาไปยังมุมๆ หนึ่ง
ที่ตรงนั้นมีสุนัขตัวใหญ่หนึ่งตัวกำลังหรี่ตาและแลบลิ้นเพื่อคลายความร้อนนอนอยู่
คนบางคนยิ่งเห็นดังนั้นก็ยิ่งอารมณ์ไม่ดี
เอ้อร์หนิวคงไม่ได้โกหกเขาหรอกมั้ง เขาถูกเจ้างั่งนี่หลอกให้ตบรางวัลกระดูกเพิ่มตั้งหนึ่งถ้วย!
เอ้อร์หนิวเหมือนสัมผัสได้ถึงพลังงานบางอย่าง จึงมองหน้าเจ้านายที่หน้าดำคล้ำด้วยสายตาที่ไร้เดียงสา
อวี้จิ่นพยายามข่มอารมณ์ความยากเตะเอ้อร์หนิวให้ปลิวออกไปเอาไว้
ช่างเถอะ อย่างน้อยเขาก็เป็นคนเลี้ยงดูจนมันเติบใหญ่ เขาจะไม่ถือโทษสุนัขตัวหนึ่งหรอก!
ในตอนนั้น เสียงประตูพลันดังขึ้น ถึงแม้เสียงที่ลอยแตะเข้าที่หูไม่ดังมากนัก แต่อวี้จิ่นก็ลุกขึ้นอย่างฉับไวและก้าวเท้าอย่างกว้างเดินไปที่ประตูใหญ่ด้านนอก
หลงต้านตะโกนตามหลังขึ้นมา “นายขอรับ ให้บ่าวไปเปิดประตูเถอะ”
ทั้งๆ ที่มีเหล่าหวังคอยเฝ้าประตู แต่เจ้านายตื่นเต้นอะไรล่ะนี่
เอ๋ หรือว่าคุณหนูเจียงมาหา
“ไม่ต้อง” อวี้จิ่นเอ่ยตอบหลงต้านหนึ่งคำอย่างรวดเร็ว
เปลวไฟแห่งความอยากรู้อยากเห็นของหลงต้านลุกไหม้ขึ้นมาทันควัน
เขาเดาถูกด้วย!
นั่นแน่ คุณหนูเจียงมาหาเจ้านายด้วยตัวเองซะด้วย แล้วยังเป็นช่วงใกล้วันเกิดของเจ้านายอีก หรือว่าเรื่องมงคลของเจ้านายใกล้จะมาถึงแล้ว
อวี้จิ่นเดินมาถึงประตูด้วยความรวดเร็ว พอประตูที่เหล่าหวังยังไม่ทันได้สติถูกเปิดออก รอยยิ้มตรงมุมปากก็ค้างชะงักในทันใด
ด้านนอกประตูนั่นมีชายหนุ่มรูปงามผิวขาวคนหนึ่งยืนอยู่ อายุราวยี่สิบปี ด้านหลังมีผู้ติดตามท่าทางไม่ธรรมดาสองคนยืนอยู่
เมื่อชะงักไปครู่หนึ่งเสร็จ อวี้จิ่นก็ขานเรียกออกไป “พี่สี่”
คนที่มา คือฉีอ๋องบุตรชายลำดับที่สี่ของฮ่องเต้จิ่งหมิงนั่นเอง มีพระมารดาให้กำเนิดคือเสียนเฟยคนเดียวกันกับอวี้จิ่น
สองพี่น้องแม่เดียวกัน คนหนึ่งยืนด้านใน อีกคนหนึ่งยืนด้านนอก หากดูจากรูปลักษณ์ภายนอกแล้ว ก็มีความเหมือนคล้ายกันอยู่บ้าง ทั้งคู่ต่างถือว่าเป็นหนุ่มรูปงามเหมือนกัน เพียงแต่ว่า ฉีอ๋องคือชายหนุ่มที่อยู่ในวัยกำลังรุ่งโรจน์ ทุกๆ อิริยาบถของเขานั้นเต็มไปด้วยความเป็นผู้ดีมีสกุล ส่วนอวี้จิ่นยังมีความเย่อหยิ่งและไม่เชื่อฟังเหมือนเด็ก
องค์ชายสี่หัวเราะ “น้องเจ็ดนึกว่าคนที่มาคือคนอื่นรึ”
น้องเจ็ดของเขาคนนี้ ไม่เคยแสดงความสนิทสนมกับเขามาก่อน
สีหน้าอวี้จิ่นกลับคืนสู่ปกติพร้อมตอบกลับเรียบๆ “พี่สี่มาที่นี่ได้อย่างไร”
องค์ชายสี่ชี้ไปยังประตู “น้องเจ็ดไม่คิดจะเชิญข้าเข้าไปก่อนแล้วค่อยคุยกันหรือ”
อวี้จิ่นเชิญองค์ชายสี่เข้ามาด้วยการเอียงตัวหันข้างเปิดทาง
องค์ชายสี่กวาดสายตามองดูเรือนนั้น
พื้นที่ของเรือนนี้ไม่ใหญ่มาก เก็บกวาดได้สะอาดดี ต้นจามจุรีสูงใหญ่ปกคลุมไปเกือบครึ่งหนึ่งของพื้นที่ ตรงมุมๆ หนึ่งมีสุนัขหนึ่งตัวนอนอยู่
ความสบายและความสงบ กลับเป็นความลำบากสำหรับองค์ชายสี่
องค์ชายสี่ถอนหายใจอีกครั้ง “น้องเจ็ด ให้เจ้าไปอยู่กับข้าเจ้าก็ไม่ยอม จะอยู่ที่นี่คนเดียวให้ได้…”
“ข้าจะรบกวนความสงบของพี่กับพี่สะใภ้สี่ได้อย่างไรกัน” อวี้จิ่นเอ่ยตอบอย่างเรียบๆ
“ดูเจ้าสิ พูดอะไรออกมา” องค์ชายสี่ไม่คิดเช่นนั้น พลางยกมึงขึ้นตบที่ไหล่ของอวี้จิ่น “น้องเจ็ด ถ้าเจ้าไม่อยากอยู่ยาวตลอดไปก็ไม่เป็นไร แต่วันนี้เจ้าต้องไปกับข้า”
อวี้จิ่นขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่เข้าใจว่าองค์ชายสี่จะมาไม้ไหน
องค์ชายสี่ทำท่าตกใจ “น้องเจ็ด นี่เจ้าลืมไปหรือว่าวันนี้วันเกิดเจ้า”
อวี้จิ่นชะงัก
เขาไม่มีทางลืม เขายังรออาซื่อมาสร้างความประหลาดใจให้เขาอยู่เลย แต่พี่สี่จะสนใจวันเกิดเขาด้วยเหตุใดกัน
หลายปีมานี้ เขาฉลองวันเกิดคนเดียวมาโดยตลอด
องค์ชายสี่คว้าข้อมืออวี้จิ่น “ข้าเรียกพี่น้องคนอื่นๆ มาแล้ว ตอนนี้พวกเขารอเจ้ายู่ที่จวนข้า เหล้าสุราก็เตรียมพร้อมแล้วเช่นกัน เหลือแค่พาเจ้ากลับไปนี่ล่ะ”
เมื่อเห็นอวี้จิ่นไม่ตอบโต้ องค์ชายสี่จึงทำการดึงตัว “น้องเจ็ด ปกติเจ้าไม่อยู่ในเมืองหลวง พี่น้องทุกคนไม่รู้ว่าจะจัดงานฉลองให้กับเจ้าอย่างไร ปีนี้เจ้าจะพลาดไม่ได้เชียวนะ”
อวี้จิ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ไม่อยากปฏิเสธอีก
ในเมื่อกลับมาแล้ว และตัดสินใจอยู่ต่อเพื่อที่จะแต่งกับอาซื่อให้ได้ วงการนี้ อย่างไรเสียก็ต้องเข้าไปอยู่สักวัน
ถ้าเช่นนั้น ก็ให้มันเริ่มขึ้นจากวันที่เขาอายุครบสิบแปดปีนี้ก็แล้วกัน
อวี้จิ่นไม่ขัดขืนอีกต่อไป องค์ชายสี่จึงยิ้มอ่อนให้ “นั่นล่ะ จะอุดอู้คนเดียวตลอดไปได้อย่างไร”
วันนี้น้องเจ็ดอายุครบสิบแปดปี คนอื่นละเลยได้ แต่เขาที่มีมารดาคนเดียวกัน หากละเลยด้วยอีกคน อาจมีชื่อเสียงไม่ดีได้
การจัดงานฉลองวันเกิดให้น้องเจ็ดถือว่าเป็นเรื่องที่มีผลดีไม่มีผลร้าย
หากเสด็จพ่อพลันนึกถึงน้องเจ็ดขึ้นมา สิ่งที่ทำในวันนี้คือการให้ถ่านวันหิมะตก[1] หากในวันหน้าน้องเจ็ดประสบความสำเร็จ ก็ต้องนึกถึงน้ำใจที่เขาให้ในวันนี้ได้
ถ้าหากเสด็จพ่อลืมน้องเจ็ดคนนี้ไปสนิท เขาก็ยังได้ชื่อเสียงแห่งการเป็นพี่น้องที่ดี ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรเขาก็ไม่เสียเปรียบ
แต่ว่าน้องเจ็ดคนนี้เป็นคนที่มีนิสัยแปลกประหลาดอยู่บ้าง
องค์ชายสี่แอบถอนหายใจอยู่ภายในใจ
เขามีพี่น้องมากมาย แต่ละคนเก่งๆ กันทั้งนั้น การที่น้องเจ็ดเป็นเช่นนี้สิถึงจะวางใจลง
“น้องเจ็ด ทำไมยังไม่เดินไปอีกล่ะ” เมื่อเห็นอวี้จิ่นหยุดลงตรงประตู องค์ชายสี่จึงเอ่ยเร่ง
อวี้จิ่นหัวเราะ “ไม่มีอะไร ไปกันเถอะ”
อาซื่อคงไม่มาแล้วล่ะ…
หลังจากอวี้จิ่นกับองค์ชายสี่ออกไปแล้วครึ่งชั่วยาม เจียงซื่อกับอาหมานก็ปรากฏตัวขึ้นตรงต้นพุทราคอเอียง
“คุณหนู ตกลงว่าพวกเราจะเข้าไปหรือไม่เจ้าคะ” อาหมานกุมขมับและเอ่ยถาม
คุณหนูยืนมาเป็นเวลาหนึ่งก้านธูปแล้ว จะทำอย่างไรต่อกันแน่
“ไปเคาะประตูเถอะ” เจียงซื่อเอ่ยออกไปอย่างแผ่วเบา ในที่สุดก็ตัดสินใจ
นางไม่ได้มาเพราะเป็นวันเกิดของคนๆ นั้นหรอกนะ เพียงแค่มาตามที่รับปากไว้เท่านั้น หลายวันก่อนได้สัญญากับเอ้อร์หนิวว่าจะมา วันนี้มีเวลาว่างพอดีก็เท่านั้น
ถ้านางไม่มา คนๆ นั้นรังแกเอ้อร์หนิวจะทำอย่างไร อะไรนะ อวี้ชีคงไม่ทำตัวเป็นเด็กลงอารมณ์กับเอ้อร์หนิวหรอกกระมัง
เจียงซื่อเบ้ปาก พูดเป็นเล่นไป คนงั่งนั่นเป็นคนที่มีนิสัยเด็กๆ นั่นล่ะ นางเคยสัมผัสมาแล้ว
เพียงแต่ว่า ถ้าเขาเห็นว่านางมาหาวันนี้ เขาจะเข้าใจผิดว่านางมาฉลองวันเกิดให้เขาไหมนะ และไม่แน่อาจคิดไปไกลว่านางให้ความสำคัญแก่เขา จากนี้ไปก็ยิ่งได้คืบเอาศอกน่ะสิ…
คุณหนูเจียงกำลังลังเล แล้วเสียงประตูก็ดังแอ๊ด
เมื่อได้เผชิญหน้ากับผู้มีตาข้างเดียว อาหมานก็อดไม่ได้ที่จะทำให้มีชีวิตชีวามากยิ่งขึ้น “คุณชายอวี๋อยู่หรือไม่”
“ไม่อยู่…”
“อยู่!”
คนเฝ้าประตูกับหลงต้านเอ่ยตอบพร้อมกันแต่คำตอบไม่เหมือนกัน หลังจากสองคนนั้นพูดจบ ก็หันหน้าสบตาซึ่งกันและกัน
อาหมานชะงักงงงวย “สรุปว่าอยู่หรือไม่อยู่”
“โฮ่งง…” สุนัขตัวใหญ่หนึ่งตัวผลักหลงต้านออกและปรากฏตัวขึ้น
อาหมานได้สติจึงถอยหลังหนึ่งก้าว
ให้ตายเถอะ ความสามารถของสุนัขตัวนี้ นางเคยสัมผัสมาแล้ว นางไม่กล้ายุ่งด้วยเลย!
เอ้อร์หนิวเดินผ่านอาหมาน เดินไปกัดกระโปรงเจียงซื่อไว้และดึงกลับเข้ามา
มนุษย์โง่พวกนี้ เจ้านายจะอยู่หรือไม่อยู่มันสำคัญตรงไหน ต้องพานางเข้าไปให้ได้ก่อนสิแล้วค่อยว่ากันอีกที
———————————————
[1] ให้ถ่านวันหิมะตก เป็นสำนวนจีนมีความหมายว่าให้ความช่วยเหลือในยามที่คนคับขันได้อย่างทันท่วงที