ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ - ตอนที่ 139 ดื่มมากไปน่ะ
ตอนที่ 139 ดื่มมากไปน่ะ
หลงต้านเห็นคนในใจของเจ้านายถูกเอ้อร์หนิวลากเข้าไปแล้วจึงรีบวิ่งออกไป
เรื่องแบบนี้ต้องรายงานเจ้านายทันทีสิ ไม่เช่นนั้น ถ้าเจ้านายกลับมาแล้วรู้ว่าเขาคลาดกับคุณหนูเจียงเพียงครู่เดียว เขาต้องโดนเก็บแน่ๆ
การที่เขาออกไปแล้วไม่มีคนดูแลคุณหนูเจียงนั้น…เหอๆ การมีเอ้อร์หนิวอยู่ด้วยย่อมเหนือกว่าคนอื่นใดอยู่แล้วล่ะ
อวี้จิ่นตามองค์ชายสี่มาถึงจวนฉีอ๋อง งานเลี้ยงถูกจัดขึ้นที่สวนดอกไม้ของจวน
พระโอรสที่ได้รับการเลี้ยงดูจากฮ่องเต้จิ่งหมิงมีทั้งหมดแปดคน อวี้จิ่นนับจำนวนคนอยู่ภายในใจ นอกจากไท่จื่อแล้วก็ถือว่ามากันครบทุกคน
เมื่อเห็นอวี้จิ่นมาถึง องค์ชายทุกคนก็แสดงสีหน้าแตกต่างกันไป ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสายตาแบบมองผ่านอย่างดูถูก
แม้ว่าพวกเขาเดินทางมาเพื่อฉลองวันเกิดให้กับอวี้จิ่น แต่พวกเขาไม่ได้คิดจะยกยอปอปั้นอวี้จิ่น และก็ไม่ใช่องค์ชายสี่ด้วยเช่นกัน
น้องชายเพียงคนเดียวที่ออกไปอยู่ด้านนอกพระราชวังแล้วยังไปสู้รบกับชนเผ่าหมานจื่อทางทิศใต้คนนี้ ตั้งแต่กลับเข้าเมืองหลวงมา น้องคนนี้ก็ไม่เคยเข้าไปทักทายพวกเขาเลย ถ้าไม่ใช้โอกาสนี้สร้างความคึกคักกันเสียหน่อยจะได้อย่างไรกันเล่า
“น้องเจ็ด อยากดื่มสุรากับเจ้าคราหนึ่งช่างยากเย็นเสียเหลือเกิน” องค์ชายใหญ่ยิ้มทักทายด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
องค์ชายใหญ่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นฉินอ๋องแล้ว จะว่าไป สถานการณ์ที่เขาพบเจอก็ไม่สู้ดีนัก
ฮ่องเต้จิ่งหมิงเมื่อสมัยที่ยังเป็นพระโอรสธรรมดาๆ คนหนึ่ง พอเข้าพิธีอภิเษกสมรสแล้วหลายปีแต่ก็ไม่มีทายาทสักที เพื่อเสริมความเป็นสิริมงคล จึงได้ขอบุตรคนเล็กของลูกพี่ลูกน้องมาเป็นบุตรบุญธรรม คิดไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องมงคลขึ้นจริงๆ หลังจากนั้นฮ่องเต้จิ่งหมิงก็ให้กำเนิดทายาทอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งฮ่องเต้จิ่งหมิงได้ขึ้นครองราชย์ องค์ชายใหญ่ที่มีลำดับศักดิ์เป็นบุตรคนโตจึงจำเป็นต้องอยู่อย่างถ่อมเนื้อถ่อมตัว เพื่อไม่ให้เป็นที่รังควานสายตาของฮองเฮากับไท่จื่อ
นานวันเข้า ความถ่อมตนนี้ก็ได้ฝึกให้องค์ชายใหญ่กลายเป็นคนดีไป
อวี้จิ่นมององค์ชายใหญ่อย่างตั้งใจ เมื่อเห็นว่าคนๆ นี้อายุมากที่สุด ก็มั่นในใจสถานะของคนตรงข้ามได้ทันที จึงเรียกขานออกไป “พี่ใหญ่”
ใช่ ตั้งแต่กลับเข้าเมืองหลวงมา อวี้จิ่นแทบไม่เคยเจอหน้าพี่น้องเหล่านี้เลย ใครเป็นใครเขาเองก็ไม่สามารถมั่นใจได้ คนที่มีความทรงจำชัดที่สุดนอกจากพี่ชายแท้ๆ แล้วก็คงเป็นไท่จื่อ
แม้ว่าเขาเป็นคนไม่มีระเบียบวินัย แต่หากตั้งใจ จริงจังขึ้นมา ก็แตกต่างไปอีกอย่างหนึ่งเช่นกัน
คนที่อายุมากที่สุดคือพี่ใหญ่ สีหน้าเหมือนคนถ่ายไม่ออกก็คงเป็นพี่สาม คนที่ดูหัวดื้อคงเป็นพี่ห้า ลูกตามองไปเรื่อยเปื่อยคิดว่าตนเองฉลาดคงเป็นพี่หก และขนแข้งที่ยังขึ้นไม่หมดคงเป็นน้องแปด
อืม ก็เดาได้ไม่ยากเท่าไหร่
“พี่เจ็ด ข้าอยากดื่มสุรากับพี่มานาน แต่พี่ไม่มีแม้แต่จวน ไม่มีสถานที่ให้ดื่มเลยน่ะสิ” องค์ชายแปดพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้มไร้เดียงสาพร้อมถือแก้วสุราไว้ในมือ
อวี้จิ่นยกหางคิ้วขึ้น
เมื่อตอนเขาอายุสิบหก เขาตัดหัวผู้นำทัพของศัตรูจากหลังม้าพร้อมกับกองทัพม้าหมื่นๆ คน แล้วนำหัวคนไว้ด้านข้าง กินเนื้อดื่มสุรากับเหล่านักรบมาแล้ว เจ้างั่งนี่จะแสร้งทำเป็นไร้เดียงสาต่อหน้าเขาเพื่ออะไรกัน ไม่รู้สึกรังเกียจตัวเองบ้างเลยหรือ!
“การดื่มสุราไม่ดูสถานที่ ดูที่คน” อวี้จิ่นตอบกลับเรียบๆ
องค์ชายแปดชะงัก คิดไม่ถึงว่าองค์ชายที่ถูกเสด็จพ่อลืมสนิท เวลาพูดจากลับเป็นคมดั่งดาบในฝักเช่นนี้
หมอนี่ไปเอาความกล้ามาจากไหนกันนะ
เขาได้รับแต่งตั้งให้เป็นซียงอ๋องแล้ว แล้วไอ้เจ็ดนี่มันกล้าดียังไง
องค์ชายจะมีจวนและทหารในจวนได้ก็ต่อเมื่อได้รับการแต่งตั้งเป็นท่านอ๋องแล้วเท่านั้น แม้ว่าไม่แยกไปใช้ชีวิตในอาณาบริเวณปกครองที่ตนเองได้รับพระราชทาน แต่รายได้จากอาณาบริเวณปกครองที่ได้รับพระราชทานล้วนเป็นของพวกเขาแต่เพียงผู้เดียว ฉะนั้น เมื่อเทียบกับตอนเป็นองค์ชายแล้ว เงินประจำปีที่ได้รับจึงน้อยมากเหมือนขนเส้นเดียวของวัวเก้าตัว[1]
พูดได้ว่า องค์ชายหนึ่งคนมีเพียงได้รับพระราชทานแต่งตั้งให้เป็นอ๋องแล้วถึงจะสามารถสร้างอำนาจที่เป็นของตนเองได้ เหตุผลนั้นง่ายมาก เพราะการเลี้ยงคนต้องใช้เงิน และเป็นค่าใช้จ่ายที่มากโข
การได้รับพระราชทานแต่งตั้งให้เป็นท่านอ๋องคือความฝันขององค์ชายทุกคน และยังเป็นกุญแจสำคัญสำหรับขุนนางในราชสำนักเพื่อวัดอำนาจขององค์ชายอีกด้วย นี่จึงเพียงพอที่จะอธิบายความแตกต่างระหว่างองค์ชายกับองค์ชายที่ได้รับการแต่งตั้งให้ท่านอ๋อง
หากจะบอกว่าต่างกันราวฟ้ากับเหวก็ไม่ได้มากเกินไป
พระมารดาขององค์ชายแปดเป็นเพียงนางรำคนหนึ่ง มีสถานะต่ำต้อย แล้วก็เป็นองค์ชายอายุน้อยที่สุด เวลาอยู่ต่อหน้าผู้คนมากมาย เขามักถูกพี่ๆ คอยกดขี่ วันนี้มีโอกาสได้แสดงอำนาจต่อหน้าอวี้จิ่นสักหน่อย แต่แล้วกลับถูกฝ่ายตรงข้ามตอกกลับจนกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
องค์ชายแปดไม่ใช่คนบุ่มบ่าม ด้วยสถานะของมารดาแล้วนั้น หากเขาเป็นคนบุ่มบ่ามใจร้อน เกรงว่าคงไม่สามารถเติบโตได้อย่างปลอดภัยมาถึงทุกวันนี้ได้
แต่คนเรา เวลาที่เผชิญหน้ากับคนที่มีสถานะไม่เท่ากับตัวเอง อย่างไรเสียมันก็แตกต่างกันอยู่ดี จะปล่อยตัวตามใจสักหน่อยก็คงทำได้อยู่บ้างล่ะ
องค์ชายแปดไม่รู้สึกโมโห เขาวางแก้วสุราลงที่โต๊ะ หยิบไหสุราแล้วรินมันจนเต็ม “ไหนๆ พี่เจ็ดก็พูดเช่นนี้แล้ว งั้นวันนี้พวกเราพี่น้องก็มาดื่มกันสักแก้วเถอะ”
เขาพูดไปพลางขยิบตาให้กับองค์ชายท่านอื่นๆ ไป “ท่านพี่ทั้งหลาย พี่เจ็ดพูดแล้วนะว่า ดื่มสุราไม่ได้อยู่ที่สถานที่ อยู่ที่คน ถ้าวันนี้พวกเราดูแลพี่เจ็ดไม่ดี ก็แปลว่าไม่ถูกคน พี่ๆ ทุกคนเห็นด้วยหรือไม่”
องค์ชายห้า ด้วยความที่ถูกเลี้ยงดูมาอย่างตามใจจึงกลายเป็นคนบุ่มบ่ามวู่วามใจร้อน เขาหัวเราะและตอบกลับไป “น้องแปดพูดถูก วันนี้พวกเราต้องดื่มกับน้องเจ็ดให้หนำใจไปเลย”
เมื่อสองคนนั้นสร้างความคึกคัก คนอื่นๆ จึงยกแก้วสุราขึ้นแสดงความคึกคักตาม จนองค์ชายสี่ก็ไม่รู้จะพูดอะไรเพิ่มอีก
เขาประกาศจัดงานฉลองวันเกิดให้น้องเจ็ดอย่างใหญ่โต ชื่อเสียงถือว่าได้มาแล้ว หากเพื่อปกป้องน้องเจ็ดแล้วผิดใจกับพี่น้องคนอื่นคงไม่คุ้มค่าเท่าไหร่
อวี้จิ่นวางแก้วสุราลงที่โต๊ะ พลางเกิดเสียงดังขึ้นเบาๆ
“พี่เจ็ดไม่ดื่มแล้วหรือ” องค์ชายแปดแอบยิ้ม “หากพี่เจ็ดดื่มสุราไม่เก่ง งั้นก็ดื่มน้อยหน่อย ไม่เป็นไร…”
อวี้จิ่นหยกไหสุรามาวางตรงหน้า แล้วตบเข้าที่ไหสองสามที “ดื่มสุราด้วยแก้วแตกต่างจากพวกสตรีตรงไหน ถ้าจะดื่มก็ต้องดื่มจากนี่!”
รอยยิ้มตรงมุมปากขององค์ชายแปดถึงกับชะงักค้าง
นี่กำลังจะทำให้เขาขายหน้า?
หลังจากที่ความเงียบช่วงเวลาสั้นๆ เลยผ่านไป องค์ชายแปดก็ปรบมือพลางเอ่ย “สมกับเป็นพี่เจ็ดจริงๆ! มีใครอยู่ตรงนั้นหรือไม่ เอาแก้วสุราออกไป ยกไหสุราเข้ามา!”
พวกเขามีจำนวนมากขนาดนี้ ยังต้องกลัวเขาคนเดียวรึ
สุราหนึ่งไหดื่มจนหมด สีหน้าอวี้จิ่นยังคงเหมือนเดิม แต่สองแก้มขององค์ชายแปดร้อนเหมือนไฟเผา ส่วนคนอื่นๆ ก็ไม่ได้เก่งไปกว่ากันเท่าไหร่
องค์ชายห้าเป็นคนที่นิสัยโผงผางอยู่แล้ว พอเหล้าเข้าปากก็พูดมากยิ่งกว่าเดิม เขาอุ้มไหสุราพูดฉอดๆ ไม่ได้หยุด “ข้าจะบอก บอกพวกเจ้า ข้าชอบสตรีนางหนึ่ง”
“ใครรึ” องค์ชายท่านอื่นพลั้งปากถามออกไป
อวี้จิ่นตบไหสุราอย่างใจลอย
ดื่มสุราแค่ไหเดียวก็เป็นถึงขนาดนี้ ยังกล้าชวนเขาดื่มอีก มีเวลาว่างขนาดนี้ มิสู้รออาซื่ออยู่ที่เรือนยังจะดีเสียกว่า
หากรอแล้วได้พบก็เหมือนได้กำไร
พอคิดถึงตรงนี้ อวี้จิ่นรอต่อไม่ไหวจึงเตรียมตัวจะขอลากลับ
ใครเล่าจะคิด ประโยคถัดไปขององค์ชายห้าทำให้เขาถึงกับตะลึงงัน
“คุณหนูสี่แห่งจวนตงผิงปั๋ว!”
“คุณหนูสี่แห่งจวนตงผิงปั๋ว? เอ ข้าได้ยินว่าคุณหนูท่านนี้ เคยถูกยกเลิกงานสมรสเพราะจี้ซานแห่งจวนอันกั๋วกงไปชอบใจหญิงสาวชาวบ้านคนหนึ่งมิใช่หรือ พี่ห้าชอบนางเข้าไปได้อย่างไรกัน” องค์ชายแปดเอ่ยถามด้วยความสงสัย
องค์ชายห้าสะอึก “วันที่ฉังซิงโหวซื่อจื่อถูกจับตัว ข้าได้ไปมองดู พลางเห็นหน้าอย่างไม่ตั้งใจ พอข้าสืบข่าวถึงได้รู้ว่าหญิงรูปงามคนนั้นคือคุณหนูสี่ในจวนตงผิงปั๋ว ฮิๆ คิดไม่ถึงเลยว่าจี้ซานในจวนอันกั๋วกงจะโง่เขลาเช่นนี้ ปล่อยมือหญิงรูปงามได้ลงคอ จะไปแต่งหญิงชาวบ้านแทน แต่เป็นเช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน ไม่งั้นข้าคงไม่สามารถนึกถึงนางได้อีก”
“แต่พี่มีพี่สะใภ้ห้าแล้วนะ”
องค์ชายห้าหัวเราะเหอะๆ “น้องแปด นั่นมันคำพูดของเด็กๆ มีพี่สะใภ้ห้าของเจ้าแล้วอย่างไรเล่า ข้าไม่เคยคิดจะรับนางเข้ามาเป็นพระชายาเอกเสียหน่อย ให้ตำแหน่งพระชายารองไป คนในตระกูลของนางก็แทบจะยกคนมาให้ข้าแล้ว…”
อวี้จิ่นลุกขึ้นพรวด
ทุกคนถึงกับตะลึงงัน
“น้องเจ็ดเป็นอะไรไป” องค์ชายสี่รู้สึกว่าไม่ได้การ
“ข้าดื่มมากไปน่ะ”
ทุกคนกะพริบตาปริบๆ แล้ว?
อวี้จิ่นหัวเราะ พลางยกไหสุราขึ้นและฟาดลงที่ศีรษะขององค์ชายห้า
——————————-
[1] ขนเส้นเดียวของวัวเก้าตัว เป็นสำนวนจีน หมายถึงส่วนเล็กน้อยในปริมาณมหาศาล น้อยนิดจนไม่มีค่าพอที่จะพูดถึง