ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ - ตอนที่ 15 ลูกไม่เอาไหน
ตอนที่ 15 ลูกไม่เอาไหน
เจียงอันเฉิงไม่เหลียวมองอันกั๋วกงอีกเลย พลางตบไหล่เจียงจั้นหนึ่งที “จะยืนโง่ตรงนี้อีกทำไม ยังไม่ลุกขึ้นอีก!”
เจียงจั้นโดนตบเข้าที่ไหล่จนเซ แต่เขายิ้มออกมาอย่างสดใส “กลับๆ ข้าขอบใจทุกคนมาก วันนี้ข้าเลี้ยงพวกเจ้าเอง!”
บ่าวรับใช้ที่ตามมาด้วยขานตอบเป็นเสียงเดียวกัน “ขอรับ”
เจียงอันเฉิงเหลือบมองเจียงจั้นพร้อมกับเอ่ยถามเสียงต่ำ “เจ้าไปเอาเงินมาจากไหน”
เงินที่ลูกคนนี้นำไปซื้อก้วนถังเปาให้ซื่อเอ๋อร์ ก็เป็นของเขา
เจียงจั้นหัวเราะ แฮะๆ “ใช้กฎข้อเดิมขอรับ ท่านพ่อช่วยออกให้ก่อน”
“กฎข้อเดิมบ้าอะไรของเจ้า!” เจียงอันเฉิงโกรธและเตะที่ก้นเจียงจั้นอย่างแรงอีกหนึ่งที
หลังจากยกเลิกงานสมรสได้สำเร็จ สองพ่อลูกต่างก็รู้สึกมีความสุขมาก สุดท้ายเจียงจั้นก็ได้เงินมาจากเจียงอันเฉิงและพาบ่าวรับใช้ที่มาช่วยงานไปฉลองด้วยกัน
“วันนี้ดื่มกันให้เต็มที่ ใครที่อยู่กับข้า ต่อไปนี้มีเหล้าให้พวกเจ้าได้กินตลอดแน่!” เจียงจั้นยกแก้วสุราขึ้นแล้วกล่าวอย่างผ่าเผย
“ขอบคุณคุณชายรองขอรับ ต่อไปนี้พวกบ่าวจะรับใช้คุณชายเองขอรับ!” บ่าวรับใช้พากันยกแก้วสุราขึ้นตาม
เจ้านายกับบ่าวรับใช้ดื่มกันอย่างสนุกสนาน แต่แล้ว ก็มีเสียงพูดคุยดังขึ้นจากด้านข้าง
“ได้ยินข่าวหรือไม่ จวนตงผิงปั๋วยกเลิกงานสมรสกับจวนอันกั๋วกงแล้วจริงๆ!”
“จะไม่ได้ยินข่าวได้อย่างไรกันเล่า นายท่านตงผิวปั๋วถึงกับยกสินสอดไปวางกองไว้หน้าประตูจวนอันกั๋วกง มีคนเห็นเต็มไปหมด โถๆ คิดไม่ถึงเลยว่าจวนตงผิงปั๋วจะมีความกล้าถึงเพียงนี้”
“เหอะๆ ข้ากลับคิดว่านายท่านตงผิงปั๋วช่างโง่เขลานัก ตอนนี้ยกเลิกงานสมรสกะทันหันเพราะความโมโห แต่หลังจากนี้ล่ะ คุณหนูสี่ของจวนนั่นจะไปหาว่าที่สามีอย่างจวนอันกั๋วกงเช่นนี้ได้ที่ไหนอีก”
“จริงๆ แล้ว คุณชายสามของจวนอันกั๋วกงก็ทำเกินไป”
“เกินไปรึ” คนนั้นหัวเราะเยาะขึ้นมา “ผู้ชายน่ะ หลงใหลในหอนางโลมมีเป็นโหล มีภรรยากับอนุภรรยาก็อีกเป็นโหล หลุ่มหลงสตรีแบบชั่ววูบแล้วมันเป็นอย่างไรกันเล่า หากนายท่านตงผิงปั๋วไม่ชอบเรื่องพรรณนี้จริงๆ ละก็ ข้าคิดว่าคุณหนูสี่ตระกูลเจียงคงต้องกลายเป็นหญิงแก่ไปตลอดชีวิตเป็นแน่”
เจียงจั้นได้ยินเช่นนั้น อารมณ์ก็พลันลุกเป็นไฟ เขาโยนแก้วสุราลงที่พื้นดัง เพล้ง แล้วก็วิ่งเข้าไปดึงเสื้อของบุรุษคนหนึ่งพลางตะคอกออกไป “เจ้าพูดพล่ามอะไรของเจ้า ระวังปากของเจ้าด้วย!”
บุรุษท่านนั้นตะลึงตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นกะทันหัน เขาเบิกตาโตมองดูเจียงจั้นอยู่ครู่ใหญ่ แล้วจึงบ่นพึมพำ “เจ้า เจ้าเป็นใคร”
เจียงจั้นชะงัก
หืม เสียงนี่มัน
บุรุษอีกท่านหนึ่งที่นั่งตรงข้ามกับบุรุษท่านนี้ ได้ลุกขึ้นอย่างเงียบๆ เพื่อเตรียมหนี
เจียงจั้นเข้าใจทันที “หยุดนะ ที่แท้คนพูดพล่อยๆ เป็นเจ้า!”
เขาหยิบจานบนโต๊ะอาหารขึ้นมาและโยนออกไป
น้ำแกงในจานกระเด็นใส่คนนั้นเต็มแผ่นหลัง
จนบุรุษท่านนั้นก็โมโหตาม จึงหันกลับมาถาม “เจ้าเป็นใคร ข้าอยู่ของข้าดีๆ เจ้ามาอาละวาดอะไร”
“เปิดตาของเจ้าออกกว้างๆ แล้วมองข้าให้ดี ข้าคือคุณชายรองแห่งจวนตงผิงปั๋ว! ถ้าเจ้ากล้าวิจารณ์น้องสาวของข้าอีก วันนี้ข้าจะตีเจ้าให้กลายเป็นหัวหมูเลยคอยดู!”
บุรุษคนนั้นได้ก้าวเท้าออกจากห้องไปแล้วครึ่งตัว เรือนร่างที่เลอะเทอะไปด้วยน้ำแกงผักทำให้เขาโมโหไม่ต่าง เมื่อมองออกแล้วว่าเจ้าหนุ่มปากแดงนี่วิ่งไม่ทันตัวเอง จึงเอ่ยยั่วโมโหออกไป “อ้อ ที่แท้ก็พี่ชายของคุณหนูเจียงที่จะกลายเป็นหญิงแก่ไปตลอดชีวิตนั่นเอง ยินดีที่ได้รู้จักขอรับ”
“สารเลว ใครบอกเจ้าว่าจะไม่ได้ออกเรือน แม้ไม่มีอันกั๋วกง น้องสาวของข้าก็ต้องได้ออกเรือนกับคนที่ดียิ่งกว่านี้แน่ๆ!” ดวงตาสวยงามคู่นั้นของเจียงจั้นกำลังพ่นไฟออกมา
“หยุดเพ้อเจ้อเถอะ ควรบอกว่าคุณชายสามแห่งจวนอันกั๋วกงจะได้แต่งกับสตรีที่ดีกว่านี้ต่างหากเล่า ส่วนแม่นางเจียงน่ะหรือ… ข้าว่าเจ้ารีบกลับไปปลอบน้องของเจ้าจะดีกว่า”
เจียงจั้นทนฟังต่อไม่ไหว จึงพุ่งเข้าเตะคนพูดจนกลิ้งล้มไปกับพื้น จากนั้นก็ยกหมัดขึ้นชกลงไปที่หน้ารัวๆ ราวกับฝนที่ตกไม่หยุด
“ช่วยด้วย ช่วยด้วย——” คนที่ถูกทับอยู่ด้านล่างตะโกนร้องอย่างโหยหวน
คนงานของร้านเหล้ารู้สึกไม่ได้การ จึงวิ่งออกไปหาหน่วยลาดตระเวนข้างนอก เมื่อหน่วยลาดตระเวนมาถึง ชายคนนั้นก็โดนเจียงจั้นชกซะจนแม่แท้ๆ ก็คงยังจำหน้าไม่ได้
สุดท้าย เจียงอันเฉิงต้องชดใช้ค่ายาให้กับชายคนนั้นไปถึงยี่สิบตำลึง และให้ค่าเหนื่อยกับหน่วยลาดตระเวนอีกสิบตำลึง พวกเขาถึงยอมปล่อยตัวบุตรชายของตน
พอกลับถึงจวน เจียงอันเฉิงก็กระโดดถีบเจียงจั้นจนล้ม “ลูกไม่รักดี ก่อเรื่องให้ข้าทุกข์ใจทุกวัน!”
เจียงจั้นลูบก้นน้อยใจ “ท่านพ่อ เรื่องนี้ข้าไม่ผิด สารเลวนั่นปากไม่ดี วิจารณ์น้องสี่มั่วๆ นี่ขอรับ”
“วิจารณ์น้องเจ้ารึ”
“ก็ใช่น่ะสิขอรับ!” เจียงจั้นเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดออกไป พลางเอ่ยอย่างโมโห “ถ้าวิจารณ์ข้าไม่เป็นไร แต่ไอ้คนนั้นมันพูดถึงน้องอย่างเสียหาย ลูกโมโหจุกแน่นไปทั้งอกจนแทบจะระเบิด เลยสั่งสอนมันสักหน่อย นี่ยังน้อยไปเลยนะขอรับ!”
เจียงอันเฉิงฟังอย่างเงียบๆ
แม้ว่าเขาไม่รู้สึกผิดในภายหลังสำหรับการตัดสินใจยกเลิกงานสมรส แต่อนาคตของบุตรสาวจะเป็นอย่างไร ก็กลายมาเป็นเรื่องที่ทำให้เขาหนักใจมากราวกับมีก้อนหินทับอยู่ที่อก
เจียงจั้นลุกขึ้นยืน กล่าวต่อ “หรือท่านพ่อคิดว่าการที่ลูกได้ยินผู้อื่นวิจารณ์น้องสาว ไม่ควรโมโหแทน”
เจียงอันเฉิงเตะเจียงจั้นล้มไปกับพื้นอีกครั้ง พลางรู้สึกเจ็บใจที่ตนนั้นไม่สามารถหลอมเหล็กเส้นนี้ให้เป็นเหล็กกล้าได้ “ข้ายังไม่ได้พูดว่าโมโหแทนไม่ได้ แต่ข้าโมโหที่เจ้าเป็นคนโง่! ก่อนหน่วยลาดตระเวนมาถึง เจ้าไม่รู้จักหนีรึ”
ลูกไม่เอาไหน ทำให้เงินสามสิบตำลึงลอยไปง่ายๆ เช่นนี้!
เจียงจั้นกะพริบตาปริบๆ
เอ๊ะ คำเตือนของท่านพ่อก็มีเหตุผล
“ท่านพ่อวางใจได้ ต่อไปนี้ลูกทราบแล้วขอรับ เมื่อตีเสร็จต้องวิ่งทันที!”
“ยังจะมีครั้งหน้าอีกรึ ข้าจะฟาดลูกไม่รักดีอย่างแกให้ตายคามือเลยคอยดู!”
เจียงจั้นลุกขึ้นหนี “ท่านพ่อดูแลตัวเองด้วยขอรับ เตะมากๆ เข้าระวังเจ็บเท้า ลูกขอไปดูน้องสาวก่อนนะขอรับ”
“พี่รอง…” เจียงซื่อลุกไปหาเจียงจั้นที่วิ่งเข้ามาในสภาพแทบดูไม่ได้
เจียงจั้นเพิ่งรู้ตัวว่าหลังจากไปดื่มเหล้าและชกตีกับตานั่นมา ตัวเขายังไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้า จึงหันหลังจะกลับทันที “น้องสี่รอสักครู่ ข้ากลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้วจะมาหาใหม่!”
“ไม่ต้องแล้วเจ้าค่ะ” เจียงซื่อดึงแขนเสื้อเจียงจั้นเอาไว้ เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “พี่รองบอกข้ามาดีกว่าว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่งั้นข้าคงเป็นห่วงแย่”
เจียงจั้นหัวเราะแฮะๆ
เขาฟังไม่ผิดใช่หรือไม่ น้องสี่บอกว่าเป็นห่วงเขา
“พี่รอง”
เจียงจั้นหุบยิ้ม แล้วกลับสู่สภาพของบุรุษผู้สง่า แต่พอพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในร้านเหล้า อารมณ์ของเขาก็พลุ่งพล่านขึ้นมาทันที
“พี่รองอารมณ์เสียกับคนประเภทนั้นทำไมกันล่ะเจ้าคะ ร้านเหล้าเช่นนั้นเป็นแหล่งรวมนักพรตและนักปราชญ์อยู่แล้ว ผนวกกับเวลาที่มีสุราเข้าปาก พวกเขาก็มักจะเริ่มพูดพล่ามต่างๆ นานาเป็นเรื่องปกติ”
“แต่พวกนั้นมันพูดถึงน้องสี่… น้องสี่ไม่รู้สึกโกรธเลยรึ”
“ไม่เจ้าค่ะ” เจียงซื่อยกมือขึ้นจับหัวไหล่เจียงจั้น “การแต่งงานจะมีอิสระเท่าตอนนี้ที่ไหนกันล่ะเจ้าคะ ขอแค่ท่านพ่อกับท่านพี่ไม่รังเกียจข้าที่จะขอพักอาศัยและกินข้าวที่เรือนนี้ต่อไป เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว”
“ไม่หรอกๆ ข้าไม่มีทางรังเกียจเจ้าแน่นอน! อีกอย่าง เรื่องนี้ก็ไม่ใช่ความผิดของเจ้า คนพวกนั้นต่างหากที่เป็นคนโง่เขลา!”
“ถ้าเช่นนั้น พี่รองยังโมโหเรื่องใดอยู่อีก” เจียงซื่อถามต่อ
“พอข้านึกถึงคนพวกนั้นบอกว่าจี้ซานจะหาสตรีที่มีฐานะดีกว่าได้ ข้าก็รู้สึกจุกแน่นไปทั้งอก คนที่ไม่ผิดต้องมาแบกรับกรรม แต่คนที่ผิดกลับได้รับอิสระเสรี”
เจียงซื่อแอบถอนหายใจ เมื่อได้ยินเจียงจั้นกล่าวเช่นนั้น
บนโลกใบนี้ส่วนใหญ่ก็เป็นเช่นนั้น
แต่ถึงอย่างไร นางก็เชื่อว่าสิ่งที่มนุษย์กระทำลงไปนั้นฟ้าย่อมมีตาเห็น ประพฤติตนด้วยความบริสุทธิ์ อย่างนั้นสิ ถึงค่อยสบายใจ
“พี่รองยิ่งไม่ควรโมโหกับเรื่องนี้ ข้ายืนยันได้ว่า ชาตินี้จี้ฉงอี้จะหาสตรีชั้นสูงที่ดีกว่า เรื่องนี้จะเป็นแค่ความฝันล้มๆ แล้งๆ!”
“จริงรึ”
“วันรุ่งขึ้นพี่รองก็จะรู้เอง”
บรรยากาศในจวนอันกั๋วกงอึมครึม อันกั๋วกงทุกข์ใจที่เว่ยซื่อไม่สามารถจัดการเรื่องนี้ให้ดีได้ จึงเกิดการระบายความโมโหและได้กลับไปพักที่ห้องหนังสือแล้ว
เว่ยซื่อเองก็โมโหจนแน่นไปทั้งอก จึงเรียกลูกสะใภ้คนโตมาหาและแสดงสีหน้าไม่พอใจออกมา
กัวซื่อเอ่ยออกไปอย่างอดทนอดกลั้น “ท่านแม่อย่าได้โมโหไปกับพวกตาไม่ถึงเลยนะเจ้าคะ ลูกคิดว่ายกเลิกไปก็ดีเหมือนกัน สตรีชั้นสูงในเมืองหลวงมีอีกตั้งมากมาย รอเรื่องนี้ซาลง ท่านค่อยเลือกให้ซานหลางใหม่ก็ได้ ถึงเวลานั้นจวนตงผิงปั๋วก็จะรู้สึกโมโหเดือดพล่านไปเอง”
“ถูกของเจ้า ครั้งนี้ข้าจะเลือกอย่างดีให้กับซานหลาง อารมณ์ที่เสียไปต้องเอากลับคืนมาให้ได้!”