ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ - ตอนที่ 184 เกิดจิตมุ่งร้ายขึ้นอีกครั้ง
ตอนที่ 184 เกิดจิตมุ่งร้ายขึ้นอีกครั้ง
เกิดเรื่องน่าขันเช่นนี้ขึ้น หากบังคับให้เซี่ยอินโหลวแต่งงานยระหว่างที่เพิ่งไหว้ทุกข์ ไม่ว่าจะเป็นตระกูลเดียวกันหรือตระกูลท่านตาก็ไม่รู้จะเอาหน้าไปไหวที่ไหนอีก
ทุกคนแสดงอาการอึดอัด ราวกับทนอยู่ในพิธีศพต่อไปไม่ไหว
ความรู้สึกแน่นตึงของเซี่ยชิงเหยาถึงค่อยบรรเทาลง แต่ตรงกลางฝ่ามือกลับเปียกชุ่มไปด้วยหยดเหงื่อ
ด้านนอกนั้นมีน้ำฝนกำลังสาดเทลงมา มีลมฝนพัดเป่าเข้ามายังด้านในจนผ้าขาวถูกลมพัดปลิวสะบัด
กลิ่นเฉพาะของกระดาษเงินกระดาษทองฟุ้งกระจายทั่วห้องโถงเซ่นไหว้ ราวกับว่ามีความเข้มข้นมากยิ่งขึ้น
ผู้คนต่างเริ่มหาข้ออ้างออกจากห้องโถง เพียงพริบตาเดียวห้องโถงก็เหลือเพียงพี่น้องตระกูลเซี่ยกับเจียงซื่อ
ยามน้ำฝนเทกระหน่ำเช่นนี้ ผู้มาร่วมไว้อาลัยแก่ผู้ถึงแก่กรรมไม่เดินทางมาแน่ ในห้องโถงจึงเหลือไว้เพียงความเงียบสงบ
เซี่ยชิงเหยากำลังมองดูพี่ชายพร้อมกับมีหยดน้ำตาไหลรินลงมา
เซี่ยอินโหลววางมือบนหัวไหล่ของเซี่ยชิงเหยา ไม่พูดสิ่งใด ความร้อนของกรอบตาเพิ่มขึ้น
เจียงซื่อเห็นสองพี่น้องทำท่าคล้ายว่ามีบางอย่างจะพูด พลางเอ่ยออกไปอย่างคนอยู่เป็น “ชิงเหยา ข้ากลับห้องก่อนนะ”
เซี่ยชิงเหยาคว้ามือเจียงซื่อไว้ “อาซื่อ เจ้าทำได้อย่างไร”
“อะไรนะ”
เซี่ยชิงเหยาเก็บอาการตื่นเต้นไม่อยู่ “ฟ้าผ่าไงเล่า เจ้าทำได้อย่างไร”
เจียงซื่อแสดงสีหน้าประหลาด “ชิงเหยา เจ้าเข้าใจอะไรผิดหรือไม่”
เซี่ยชิงเหยาเหลือบมองเซี่ยอินโหลวหนึ่งทีอย่างฉับไว พลันนึกขึ้นได้ว่าเพื่อนสนิทคงไม่อยากแสดงความสามารถอันน่าประหลาดใจต่อหน้าพี่ชายของตน จึงดึงอาการกลับมาพลางเอ่ย “ข้าล้อเล่นน่ะ พี่ใหญ่ ข้าพาอาซื่อกลับห้องก่อน เดี๋ยวข้ามาใหม่”
เซี่ยอินโหลวมองเซี่ยชิงเหยาแล้วมองเจียงซื่อ เขารู้ว่าสองคนนี้มีเรื่องปิดบังเขาอยู่ แต่ก็มิได้บังคับจึงได้แต่พยักหน้ารับรู้ตอบกลับ
เซี่ยชิงเหยาดึงอาซื่อแล้วกลับไปยังห้องนอน ปิดประตูเสร็จก็เอ่ยถามอย่างรอต่อไปไม่ไหว “อาซื่อ ตอนนี้เจ้าบอกข้าได้แล้วใช่หรือไม่”
“บอกอะไรรึ”
“เจ้ามีวิชาเทพเซียน สามารถสั่งเทพสร้างสายฟ้ากับเซียนสายฟ้าแลบให้ฟังคำสั่งของเจ้าได้ใช่หรือไม่” แววตาของเซี่ยชิงเหยาแวววับและเนื้อตัวเต็มไปด้วยความตื่นเต้น
เจียงซื่อพลันรู้สึกปวดหัวเล็กน้อย
เซี่ยชิงเหยากุมมือเจียงซื่อไว้แน่น พร้อมกับมีความรู้สึกเสียดายเล็กน้อย “อาซื่อ เมื่อครู่นี้เจ้าควรบอกให้ท่านเทพเซียนสร้างสายฟ้าแล้วผ่าใส่พวกเขาแรงๆ ไม่ต้องผ่าให้ตาย แค่กึ่งเป็นกึ่งตายให้เป็นบทเรียนก็เพียงพอ”
เจียงซื่อเอ่ยห้ามความคิดที่เริ่มเลยเถิดของเซี่ยชิงเหยา “ชิงเหยา เจ้าคิดมากไปแล้ว ข้าจะมีความสามารถเช่นนั้นได้อย่างไรกันเล่า”
หากว่าออกคำสั่งกับเทพเซียนสร้างสายฟ้ากับเทวดาสายฟ้าแลบได้จริง คนที่นางอยากให้ฟ้าผ่าผ่าให้ตายนั้นมีมากมาย เกรงว่าเทพเซียนทั้งสองท่านคงงานยุ่งจนทำแทบไม่ทันเลยล่ะ
“แต่ก่อนหน้านี้เจ้าบอกเองว่าเมื่อไหร่ที่ได้ยินเสียงไอของเจ้า ให้พวกเขาสาบานหน้าโลงศพของท่านพ่อกับท่านแม่ข้า ปรากฏว่าพอพวกเขาเริ่มสาบานฟ้าก็ผ่าลงมาทันที”
เจียงซื่อมองท้องฟ้าด้านนอกหน้าต่าง พร้อมกับกล่าวความจริงบางส่วนออกไป “ก็เพราะก้อนเมฆบนฟ้าพูดได้น่ะสิ”
สีหน้าของเซี่ยชิงเหยาเต็มไปด้วยความมึนงง “อาซื่อ ข้าไม่เข้าใจความหมายของเจ้า ก้อนเมฆจะพูดได้อย่างไร แล้วเจ้าไปร่ำเรียนเรื่องพวกนี้มาจากที่ใด”
เจียงซื่อหัวเราะ “พอได้เจอเรื่องซวยเยอะเข้า ก็มักได้พบกับโอกาสใหม่ๆ เรื่องนี้เอาไว้ก่อน เอาเป็นว่าเรื่องเหล่านี้ไม่เกี่ยวข้องกับเทพเซียนหรือผีสางก็เพียงพอแล้วล่ะ และข้าก็ไม่มีความสามารถเรียกฟ้าแลบผ่าใส่พวกเขาด้วย แต่ข้าว่าพอเป็นเช่นนี้ เรื่องงานแต่งงานของพี่เซี่ยก็คงไม่กล้าเข้ามายุ่งอีกแล้วล่ะ”
เซี่ยชิงเหยาไม่ใช่คนที่ดื้อรั้น เมื่อเจียงซื่อพูดเช่นนี้แล้วนางจึงไม่ถามอีก มุมปากพลางเผยรอยยิ้มเยาะเย้ย “ถ้าพวกเขากล้ายุ่งอีก พี่ใหญ่คงไม่เห็นแก่หน้าใครอีก แล้วพวกเขานั่นล่ะ ที่อย่าได้เผยความคิดสกปรกๆ ออกมาต่อหน้าผู้คนอีก”
เซี่ยชิงเหยาพูดไป หยดน้ำตาพลางไหลออกมา “เพราะได้เจ้าแท้ๆ เลยอาซื่อ ไม่อย่างนั้นก็ไม่รู้ว่าพวกเขาจะบีบบังคับข้ากับพี่ใหญ่ไปถึงไหน”
พวกตระกูลชนชั้นสูง ยามปกติต่างอยู่กันอย่างสูงตระหง่านไร้ขีดจำกัด แต่ยามใดที่เสาหลักล่มสลายลง ก็จะถูกญาติสนิทซึ่งไม่รู้มีตั้งเท่าไหร่ใช้ข้ออ้างดูดีต่างๆ นานากินเลือดกินเนื้อด้วยกันเอง ถึงเซี่ยชิงเหยาจะไร้เดียงสาแค่ไหน ก็เคยได้ยินเรื่องเช่นนี้มาบ้างแล้ว
เจียงซื่อยังมีความรู้สึกผิดและไม่กล้ารับคำขอบคุณนี้ นางจึงกล่าวอย่างตรงไปตรงมา “เจ้าไม่ถือโทษที่ข้าพูดมากไปในวันนั้น ข้าก็รู้สึกละอายใจมากแล้ว ชิงเหยา เจ้าวางใจให้สบายได้ อุปสรรคจะยากกว่านี้มันก็จะผ่านไปได้”
เซี่ยชิงเหยาพยักหน้าหงึกๆ อย่างช้าๆ
อาแปดกับกับอาสะใภ้แปดกลับมาพักอยู่ที่ห้องรับแขกชั่วคราว บรรยากาศนั้นอึมครึมยิ่งกว่าลมฝนด้านนอก
หลังจากที่บ่าวรับใช้ที่กางร่มส่งเขาสองคนเดินจากไป อาแปดเดินอ้อมมาด้านหน้าของอาสะใภ้แปด พลันดึงชายเสื้อแล้วตบหน้าทันทีหนึ่งที “หญิงโง่ วันนี้เจ้าบ้าไปแล้วหรืออย่างไร”
อาสะใภ้แปดโอดร้องขึ้นอย่างเจ็บปวด พลันยกมือขึ้นจะข่วนที่หน้าอาแปด “ท่านน่ะสิที่บ้า! คนที่ให้ข้าออกหน้าก็เป็นท่าน จนข้าเกือบโดนฟ้าผ่า แล้วยังมีหน้ามาสั่งสอนข้าอีก!”
ยามสตรีโมโห แรงโกรธนั้นไม่ได้น้อยหน้าไปกว่าบุรุษเลยแม้แต่น้อย ท่านอาแปดหลบซ้ายหลบขวา แต่ก็ถูกอาสะใภ้ข่วนจนเป็นรอยแผลยาวหนึ่งแผล
อาการเจ็บแสบกำลังเกิดขึ้น อาแปดจับที่หน้า พลันยกขาขึ้นเตะอาสะใภ้แปดและด่าลั่น “กล้าข่วนหน้าข้า เจ้าไม่กลัวคนอื่นจะเห็นเราสองคนเป็นตัวตลกหรืออย่างไร”
อาสะใภ้แปดรู้สึกน้อยใจอย่างที่สุด “ก็ท่านทั้งเตะทั้งตีข้า! ข้าไม่ได้บ้า หรือว่าท่านไม่เห็น พอข้าสาบานที่ห้องโถงฟ้าก็มืดทันที จากนั้นฟ้าก็ผ่าลงที่ข้างๆ ข้า ถ้าไม่ใช่เพราะข้าโชคดี สายฟ้านั่นคงโดนข้าไปแล้ว!”
“พูดไร้สาระอะไรของเจ้า มันก็แค่บังเอิญ”
“บังเอิญ?” อาสะใภ้แปดพูดเสียงสูง “จะเป็นเรื่องบังเอิญได้อย่างไร ผีพี่สะใภ้ห้าอายุสั้นนั่นมาเอาชีวิตข้า เจ้าไม่เห็นเลยหรือ”
‘พี่สะใภ้ห้า’ ที่อาสะใภ้แปดเอ่ยถึง ก็คือฮูหยินหย่งชังปั๋ว แล้วหย่งชังปั๋วอยู่ลำดับที่ห้าของตระกูล
อาแปดมองอาสะใภ้แปดด้วยสายตาที่ประหลาดกว่าเดิม “เจ้าบ้าไปแล้วจริงๆ ใช่ไหม ข้าไม่เห็นอะไรเลย”
อาแปดตะลึงงัน พลันคว้าข้อมืออาแปดไว้ “ท่านไม่เห็นเรือนร่างพี่สะใภ้ห้าที่เต็มไปด้วยเลือดพลันปรากฏตัวขึ้นที่ห้องโถงอย่างนั้นรึ”
อาแปดสะบัดมืออาออก ถึงแม้รู้สึกว่าสตรีบ้านางนี้พูดจาเลอะเลือน แต่ในใจก็ขนลุกซู่ไม่ต่าง จึงกล่าวต่อด้วยความโมโห “ตอนนั้นฟ้ามืดลงกะทันหัน แล้วด้านนอกก็ฝนตกฟ้าร้องอีก พี่สะใภ้ห้าจะมาได้อย่างไร นางนอนอยู่ในโลงแล้วนี่ แต่เจ้าจู่ๆ ก็เกิดบ้าคลั่งขึ้นมา แถมยังพูดจาเลอะเทอะอีก เรื่องวันนี้พังลงไม่เป็นท่าเพราะเจ้า”
“เป็นไปไม่ได้!” อาสะใภ้แปดแสดงอาการอย่างรุนแรง “นางยืนอยู่ด้านหลังข้า ยังใช้มือบีบคอข้าอย่างแรง ถ้าข้าไม่พูดความจริง นางก็บีบข้าตายน่ะสิ! ตาแก่ นี่เจ้าไม่เห็นจริงๆ หรือ”
“ไม่เห็น!”
อาสะใภ้แปดตะลึงพูดไม่ออก พลันเกิดอาการบ้าคลั่งทุบตีอาแปด “เพราะเจ้าคนเดียว จะให้ข้าออกหน้าให้ได้ สุดท้ายมีแต่ข้าที่โดนพี่สะใภ้ห้านั่นจ้องจะเอาเรื่อง แล้วนี่ข้าจะทำอย่างไรดี!”
อาแปดผลักอาสะใภ้แปดออก “พอแล้ว หยุดบ้าได้แล้ว ตอนนั้นเจ้ามีอาการอี้เจิ้ง[1] แน่ๆ ถ้ามีผีบีบคอเจ้าจริง ที่คอเจ้าเหตุใดถึงไม่มีร่องรอยอะไรเลยล่ะ”
อาสะใภ้แปดชะงัก ไม่นานก็รู้สึกตัวเหมือนคนเพิ่งตื่นจากฝัน พลันวิ่งไปส่องดูคอของตัวเองที่กระจก
บริเวณนั้นว่างเปล่าไม่มีร่องรอยใดๆ
อาสะใภ้แปดถอยหลังกลับมาสองก้าว หลังจากที่สภาพจิตใจพลันผ่อนคลายลง นางก็รู้สึกเหมือนได้ปล่อยวาง “เป็นอาการอี้เจิ้งของข้าจริงๆ หรือ”
“ก็ใช่น่ะสิ”
สีหน้าที่เพิ่งผ่อนคลายลงของอาสะใภ้แปด จู่ๆ ก็พลิกเป็นนิ่ง “ไม่ใช่สิ หากเป็นอาการอี้เจิ้งของข้า แล้วจิ้วไท่ไท่แห่งตระกูลจางเหตุใดถึงมีอาการอี้เจิ้งด้วยล่ะ”
อาแปดพลันใจเต้นตึกตัก แต่สีหน้าไม่เห็นด้วยพลางเอ่ยตอบ “สตรีมักขี้กลัว พลันเกิดฟ้าผ่าในห้องโถงคงตกใจน่ะ หยุดคิดเลอะเทอะเสีย เรื่องที่เจ้าทำพังจะทำอย่างไรต่อไป”
———————————
[1] อี้เจิ้ง หมายถึง อาการที่เกิดจากร่างกายได้รับปัจจัยทางจิตวิทยาอย่างชัดเจน เช่น ปัญหาชีวิต สภาวะทางจิตใจที่ได้รับการกระทบกระเทือนหรือการแสดงออกทางอารมณ์ที่รุนแรง ภายใต้การถูกกระทบด้านจิตใจจากผู้อื่น สภาวะแวดล้อมรอบตัว และสภาวะภายในจิตใจของตัวเอง