ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ - ตอนที่ 188 น้องเจียงไม่ใช่คนเช่นนี้นี่
ตอนที่ 188 น้องเจียงไม่ใช่คนเช่นนี้นี่
แล้วละครก็มาถึงตอนจบ ท่านป้าสะใภ้กวาดสายตามองคนตระกูลเซี่ยอย่างดูถูก นางเดินเข้าไปโอบกอดเซี่ยชิงเหยาและเอ่ยปลอบ “ชิงเหยา มีลุงกับป้าสะใภ้อยู่ หากเจ้าไม่ได้รับความเป็นธรรมก็บอกพวกเรา กับคนชั่วคิดร้ายเช่นนั้นไม่ต้องไปเกรงใจ”
เซี่ยชิงเหยาปลีกตัวออกจากมือของป้าสะใภ้แล้วตอบนิ่งๆ “เจ้าค่ะ”
ป้าสะใภ้ถึงกับทำตัวไม่ถูก
มีคนไม่น้อยแอบดูถูกอยู่ภายในใจ ใครกันนะที่อาการอี้เจิ้งกำเริบในห้องทำพิธีศพแล้วพูดเรื่องราวน่าอับอายออกมามากมาย ตอนนี้กลับแสร้งเป็นคนดีจิตใจงาม
ภายใต้แสงสว่าง ป้าสะใภ้กลับนิ่งสงบ
เป็นมนุษย์ย่อมกลัวการถูกเปรียบเทียบ เดิมทีนางกับปาไท่ไท่ทำเรื่องขายหน้าพร้อมกัน นางจึงไม่สะดวกที่จะพูดเท่าไหร่ แต่ใครให้ปาไท่ไท่สองสามีภรรยาปลอมเป็นผีมาทำร้ายคนกันเล่า แต่ในเวลานี้ ด้วยความที่นางเป็นญาติฝ่ายหญิงของหย่งชังปั๋วฮูหยิน นางจึงควรก้าวออกมาและพูดอะไรสักหน่อย
คำพูดประชดประชันของป้าสะใภ้นั้น คนตระกูลเซี่ยไม่สามารถโตกลับได้เลย ทำได้เพียงรู้สึกแย่และโกรธสองสามีภรรยาคู่นั้นอยู่ภายในใจ
เวลานั้นเซี่ยอินโหลวประสานสองมือให้กับทุกคน “ท่านลุง ท่านอา ท่านป้าและท่านอาสะใภ้ทุกท่าน ข้ากับน้องสาวไม่ใช่เด็กที่ไม่มีความเคารพต่อผู้อาวุโสและยิ่งไม่ใช่คนที่ไม่เห็นแก่ความสัมพันธ์ของคนในตระกูล วันนี้พวกข้าสองคนถูกบีบบังคับจนต้องตัดสินใจทำเช่นนี้ จากนี้ไป ค่าใช้จ่ายต่างๆ ของหอบรรพชน สำนักศึกษาตระกูล เมื่อตอนที่ท่านพ่อและท่านแม่ยังมีชีวิต ท่านเคยทำให้อย่างไร ข้าก็จะทำเช่นนั้นไม่เปลี่ยน หากผู้อาวุโสทุกท่านได้กลับเข้าไปที่หมู่บ้านแล้ว ได้โปรดช่วยข้ากับน้องข้าอธิบายให้พวกเขาเข้าใจด้วยนะขอรับ”
เซี่ยชิงเหยามองหน้าพี่ชายอย่างประหลาดใจ
ปกติพี่ชายเป็นคนนิ่งไม่ชอบพูด น้อยครั้งมากที่เขาจะพูดมากมายขนาดนี้
เซี่ยอินโหลวซ่อนความเย็นชาเอาไว้
มนุษย์เห็นแก่ความกตัญญูและการให้ความสำคัญกับคนตระกูลเดียวกันมาก แม้ว่าจวนหย่งชังปั๋วจะห่างจากคนในตระกูลเหล่านี้ออกไปอีกหลายครัวเรือน อย่างไรเสีย ก็ยังนับว่าเป็นครอบครัวเดียวกัน ครัวเรือนไหนมีกำลังความสามารถ ครัวเรือนนั้นก็ต้องอุทิศตนมากกว่าคนอื่น นี่คือหลักเหตุผลที่มนุษย์ยอมรับร่วมกันและเป็นสัจธรรมที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ง่ายๆ หากพวกเขาหยุดการให้เงินช่วยเหลือทำนุบำรุงหอบรรพชนและสำนักศึกษาตระกูล นั่นไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ที่จะทำได้เหมือนกับการไล่อาแปดกับอาสะใภ้เช่นนี้ และอาจตกเป็นคนมีชื่อเสียงไม่ดีแทนได้ ถึงแม้เขาไม่สนใจในชื่อเสียง แต่เขาต้องคิดถึงน้องสาว เพราะในอนาคตน้องสาวต้องออกเรือนแต่งงาน
แล้วก็เป็นดังที่คาดไว้ คนตระกูลเซี่ยต่างแสดงอาการวางใจทันทีที่ได้ยินว่าทุกอย่างยังคงเป็นไปตามเดิม จึงกล่าว “ซื่อจื่อวางใจได้ เจ้าแปดกับภรรยาทำมากเกินไปจริงๆ เรื่องนี้พวกเจ้าไม่ผิด หากมีใครพูดจาเลอะเทอะ พวกเราจะเป็นคนจัดการให้เจ้าเอง!”
“เช่นนั้นข้ากับน้องขอขอบคุณผู้อาวุโสทุกท่านด้วยขอรับ” เซี่ยอินโหลวประสานสองมืออีกครั้ง “นี่ก็ดึกมากแล้ว ผู้อาวุโสทุกท่านกลับไปพักผ่อนก่อนเถิด เดี๋ยวอินโหลวยังต้องไปเฝ้าศพท่านพ่อกับท่านแม่อีก”
หนุ่มน้อยอายุสิบเจ็ดสวมใส่ชุดไหว้ทุกข์สีขาว ราวกับต้นไป่หยางสีขาวที่ตั้งตรงอยู่ภายใต้แสงจันทรา ดูหนักแน่นและพึ่งพาได้
คนตระกูลเซี่ยพากันพยักหน้าเงียบๆ มีเด็กคนนี้อยู่ด้วย ดูๆ แล้วจวนปั๋วไม่มีทางล้มแล้วจะลุกไม่ได้ จากนี้ไป คงต้องปฏิบัติกับเจ้าเด็กนี่ให้ดีหน่อยแล้ว นี่เขาเป็นว่าที่นายท่านเชียวนะ
โถๆ ก็นายท่านอายุน้อยเช่นนี้ไงเล่า พวกเจ้าแปดถึงได้คิดไม่ซื่อ อยากได้หลานสาวที่เป็นญาติฝั่งแม่ของเจ้าแปดมาเป็นลูกสะใภ้
เมื่อเกลี้ยกล่อมคนตระกูลเซี่ยให้กลับจนเสร็จ เซี่ยอินโหลวประสานสองมือให้กับท่านลุงจาง “ท่านลุงกลับไปพักผ่อนเถอะ นี่ก็ดึกแล้วขอรับ”
ลุงจางนึกถึงอาการของภรรยาตนเมื่อตอนกลางวัน ก็รู้สึกแทบไม่มีหน้าจะแสดงความเป็นลุงอีก เขาจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงทำตัวไม่ถูก “งั้นลุงกลับก่อน เจ้าอยู่เฝ้าก็อย่าอยู่ดึกมาก รักษาสุขภาพด้วยล่ะ”
เซี่ยอินโหลวฉายแววตาแสดงความขอบคุณ
จนกระทั่งเดินถึงหน้าประตูเรือน ป้าสะใภ้ยังบ่นงึมงำเสียงต่ำ “ชิงเหยากำลังเสียใจอยู่ นี่เป็นโอกาสฟื้นฟูความสัมพันธ์ที่เหมาะสมมาก เหตุใดถึงขอลากลับง่ายๆ เช่นนี้เล่า”
ลุงจางหัวเราะขึ้นอย่างเย็นชา “หากไม่มีคำพูดเลอะเทอะที่เจ้าพูดเมื่อตอนกลางวัน นี่เป็นโอกาสที่ดีมากจริงๆ แต่ตอนนี้ช่างมันเถอะ เจ้ามองไม่ออกหรือว่าเด็กสองคนนั้นไม่ได้จัดการง่ายๆ”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ แววตาของลุงจางก็มืดมนลง “เจ้าคิดว่าอาการอี้เจิ้งกำเริบกะทันหันในโถงพิธีเมื่อตอนกลางวันเป็นเรื่องบังเอิญ? ข้าว่าสองพี่น้องนั่นต้องมีส่วนเกี่ยวข้องบ้างล่ะ”
จิ้วไท่ไท่พลันตื่นเต้น “ท่านหมายถึงอาการอี้เจิ้งของข้าที่กำเริบเป็นฝีมือของสองพี่น้องนั่น?”
ลุงจางไม่ออกเสียง เห็นได้ชัดว่ายอมรับโดยปริยาย
สีหน้าของป้าสะใภ้เริ่มแย่ เริ่มพูดพึมพำ “เป็นไปไม่ได้หรอกกระมัง พวกเขายังเป็นเด็กอยู่เลย จะมีความสามารถขนาดนั้นเชียวรึ”
ลุงจางหันกลับไปมองตัวเรือนที่สว่างไสวไปด้วยโคมไฟ พลางเอ่ยเสียงต่ำ “เด็กแต่ละคนไม่เหมือนกัน ในประวัติศาสตร์ยังมีเด็กอายุสิบสองดำรงตำแหน่งมหาเสนบดีเลย”
“คนเช่นนั้นเป็นชนหมู่น้อยมิใช่รึ” ป้าสะใภ้เอ่ยถามงึมงำ
ลุงจางหันหน้ากลับมาแล้วเหล่ตามองป้าสะใภ้หนึ่งที “แล้วเจ้ามั่นใจได้อย่างไรว่าเขาสองคนไม่ใช่ชนหมู่น้อย? แต่ว่า ข้าเป็นลุงของพวกเขา อย่างไรข้าก็คาดหวังให้พวกเขาประสบความสำเร็จ ยิ่งทั้งสองตระกูลได้ใกล้ชิดกัน แน่นอนว่ายิ่งเป็นเรื่องที่ดี แต่หากเป็นไปไม่ได้ ก็ไม่ควรอาฆาตแค้นต่อกัน หากเป็นเช่นนั้น ข้าคงละอายใจต่อน้องสาวข้าไม่น้อย”
เมื่อได้ข่าวน้องสาวกับน้องเขยเสียชีวิตในวันเดียวกัน อยากได้ลูกสาวของพวกเขามาเป็นลูกสะใภ้นั้น ถึงแม้มีความโลภส่วนตัวอยู่จริง แต่ความคิดนั้นก็เกิดขึ้นจากความหวังดี ซึ่งดีกว่าให้สองพี่น้องถูกคนในตระกูลเซี่ยเอารัดเอาเปรียบ แต่ตอนนี้ ดูเหมือนจะทำเรื่องเกินความจำเป็น
“เอาเถอะ ความคิดพวกนั้นก็อย่าไปคิดถึงมันอีก ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติแล้วกัน” ลุงจางเอ่ยเตือน
ป้าสะใภ้เบ้ปากแต่ไม่ออกเสียง แต่เกิดความรู้สึกไม่พอใจขึ้นมา นี่มันจับปลาไม่ได้ แต่มีกลิ่นคาวติดตัว
ภายในเรือนเจิ่นสยา สองพี่น้องตระกูลเซี่ยกับเจียงซื่อยังยืนอยู่ตรงลาน
“พวกเจ้าก็กลับไปเถอะ” เซี่ยอินโหลวกล่าวต่อบ่าวรับใช้ทุกคน
หลังจากที่บ่าวรับใช้ทุกคนเดินจากไป เขาจึงหันหน้าไปหาทั้งสองคนพร้อมกับเอ่ยถาม “พวกเจ้าตกใจหรือไม่”
เจียงซื่อสัมผัสได้ถึงสายตาของฝ่ายตรงข้ามที่มองมา เหมือนว่าเปลี่ยนไปจากเดิมเล็กน้อย นางพยักหน้าหงึกๆ
เซี่ยชิงเหยาตอบ “ไม่เจ้าค่ะ แต่ได้ดูละครสนุกๆ ไปหนึ่งฉาก และทำให้ข้าได้ระบายความเกลียดชังที่มีอยู่ในใจออกไป”
เซี่ยอินโหลวมองเจียงซื่อ
เจียงซื่อรู้สึกงงงวยเล็กน้อย
พี่เซี่ยจะบังคับให้นางพูดออกมาให้ได้?
“ข้าก็ไม่ตกใจเช่นกัน”
เซี่ยอินโหลวมองเจียงซื่อด้วยแววตาที่ดูลุ่มลึกอย่างนิ่งๆ
ในเวลานั้น แม้แต่เซี่ยชิงเหยาก็รู้สึกถึงความผิดปกติ จึงเดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าวเพื่อแทรกระหว่างสองคนนั้น
คนหนึ่งเป็นพี่ชาย อีกคนหนึ่งเป็นเพื่อนสนิท แม้ว่านางจะคาดหวังให้ทั้งสองคนได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แต่ในเมื่ออาซื่อเคยเปิดเผยแล้วว่าตัวเองไม่เหมาะสมกับพี่ชาย ฉะนั้น ช่วงเวลาก่อนที่อาซื่อจะเปลี่ยนใจ นางจะทำตัวเป็นแม่สื่อมั่วๆ ไม่ได้
เซี่ยชิงเหยาที่ใสซื่อบริสุทธิ์นั้นรู้ดี สภาพสังคมมักโหดร้ายกับสตรีมากกว่าบุรุษ การที่เพื่อนสนิทกับพี่ชายใกล้ชิดกัน หากสุดท้ายแล้วไม่ได้ลงเอยกัน คนที่เสียเปรียบที่สุดก็คือเพื่อนสนิทของนาง
“เป็นอะไรไปหรือพี่ใหญ่”
เซี่ยอินโหลวมองเจียงซื่อลึกเข้าไป ในที่สุดก็เอ่ยถาม “น้องเจียง ในเรือนนี้มีปีศาจหรือไม่”
เจียงซื่อสบตากับเซี่ยอินโหลว หางคิ้วกระดกขึ้นเบาๆ แฝงไปด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย
ที่แท้เซี่ยอินโหลวสงสัยเรื่องนี้นี่เอง
นางตอบกลับด้วยสีหน้าไร้เดียงสา “ไม่มีนี่เจ้าคะ”
ด้านหลังสวนต้นกล้วยมีแต่เอ้อร์หนิวของนาง ไม่มีปีศาจแน่นอน
เซี่ยอินโหลวนิ่ง
เขาไม่เชื่อว่าอาแปดกับอาสะใภ้แปดออกศึกไม่ได้ชัยชนะเพราะโชคไม่ดี คนอื่นไม่ทันสังเกต แต่เขาเห็นเลือดบนพื้นแล้วก็รูที่ขาดตรงก้นของอาแปดตั้งแต่แรกแล้ว
ตัวน้องสาวเป็นอย่างไรนั้นเขารู้ดี แต่วันนี้เกิดเรื่องประหลาดขึ้นติดต่อกันหลายเรื่อง แล้วทุกเรื่องก็มีผลดีต่อพวกเขาสองพี่น้อง หากเขายังคิดไม่ออกว่าใครเป็นคนทำเช่นนั้นก็คงเป็นคนโง่เต่าตุ่นสิ้นดี
แต่น้องเจียงกลับโกหกเขา แถมยังตาไม่กะพริบเสียด้วย
เมื่อก่อน น้องเจียงไม่ใช่คนเช่นนี้นี่…