ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ - ตอนที่ 189 ทำชั่วย่อมได้ชั่ว
ตอนที่ 189 ทำชั่วย่อมได้ชั่ว
เจียงซื่อสบตากับความผิดปกติเล็กน้อยของเซี่ยอินโหลว แต่สีหน้าของนางแทบไม่เปลี่ยนแปลง นางไม่มีทางเปิดโปงเอ้อร์หนิวแน่ จึงทำได้เพียงแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ต่อไป อย่างไรเสีย แม้นเซี่ยชิงเหยานั้นเป็นคนหลอกง่าย แต่เซี่ยอินโหลไม่ใช่
เขาขมวดคิ้วเบาๆ สายตายังคงจับจ้องอยู่ที่เจียงซื่อไม่ขยับไปไหน
เจียงซื่อหลบสายตาเพราะรู้สึกถึงความกดดันเล็กน้อย
“พี่ใหญ่ พี่ถามอาซื่อเช่นนี้ทำไม เรือนของข้าไม่มีปีศาจอยู่แล้ว” เซี่ยชิงเหยาพูดถึงตรงนี้พลางยกมุมปากขึ้นเหมือนยิ้ม “ไม่ว่าจะเป็นเรือนของใคร ก็ไม่มีเช่นกัน”
ในความมืด ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนของเซี่ยอินโหลวลุ่มลึกยิ่งกว่าเดิม ซึ่งยิ่งทำให้เดาความคิดของเขาไม่ถูกยิ่งกว่าเดิม น้องสาวพูดถูก บนโลกนี้จะมีปีศาจได้อย่างไรกัน การที่เขาเอ่ยถามเจียงซื่อเช่นนี้ ก็ใช่ว่าอยากรู้เรื่องปีศาจอะไร ในเมื่อเจียงซื่อไม่ยอมรับ แล้วเหตุใดถึงต้องทำให้คนที่ยื่นมือช่วยเหลือเขาสองพี่น้องต้องลำบากใจอีกเล่า แววตาของเซี่ยอินโหลวผ่อนคลายลงพร้อมกับพยักหน้าให้เจียงซื่อเบาๆ “คืนนี้ข้าขอบใจน้องเจียงซื่อมาก”
เจียงซื่อเห็นว่าเซี่ยอินโหลวไม่รบเร้าอีก จึงยิ้มกลับ “พี่เซี่ยเกรงใจไปแล้ว ข้ามิได้ทำสิ่งใดเลยเจ้าค่ะ”
“ดึกมากแล้ว พวกเจ้ากลับไปพักเถอะ ข้าจะไปโถงทำพิธีแล้วแล้ว”
เซี่ยชิงเหยาอดเป็นห่วงไม่ได้เมื่อเห็นใต้ตาที่คล้ำกว่าเดิมของพี่ชาย “พี่ใหญ่ พี่ก็ดูแลสุขภาพด้วย หากพี่ล้มป่วยลง ข้าตัวคนเดียวจะอยู่อย่างไร”
เซี่ยอินโหลวยิ้มให้กับเซี่ยชิงเหยา “วางใจเถอะ ข้าไหว ข้าไม่ปล่อยให้เจ้าอยู่คนเดียวหรอก”
ในดวงตาเซี่ยชิงเหยาพลันชุ่มไปด้วยน้ำตา
หากไม่มีพี่ชาย นางไม่มีเรี่ยวแรงจะอยู่ต่อจริงๆ แต่ตอนนี้ ยิ่งได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของพวกคนโฉดชั่ว นางจะทำตัวเป็นเต่าหดหัวให้พี่ชายเผชิญหน้าคนเดียวไม่ได้เด็ดขาด
เซี่ยอินโหลวตบหัวไหล่ของเซี่ยชิงเหยาและส่งสายตาให้กับเจียงซื่อ พอหันตัวกลับก็เดินไปทางประตูเรือน แต่พอเดินมาถึงประตูเขาพลันหยุดลง พลางเหลือบมองไปยังใต้ต้นกล้วยหนึ่งที
สีหน้าของเจียงซื่อไม่เปลี่ยนแปลง แต่ภายในใจนั้นตื่นเต้นมาก
เซี่ยอินโหลวเห็นเอ้อร์หนิว?
ด้านหลังต้นกล้วย เอ้อร์หนิวผู้มีประสาทสัมผัสว่องไวพลันตั้งหูขึ้น
มนุษย์คนนี้เห็นมัน? หากเขาเดินมาทางนี้จะวิ่งหนีหรืองับเขาสักทีดีล่ะ?
เอ้อร์หนิวครุ่นคิด ก็ใช่ว่ามันจะสู้ไม่ไหว หากวิ่งหนีไปก็ดูเหมือนจะเสียหน้าไม่น้อย ถ้าเช่นนั้นก็งับเข้าให้ดีกว่า
แต่ดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ของนายหญิงกับคนนี้ไม่เลวนัก
เอ้อร์หนิวเอียงหัวจ้องมองชายหนุ่มตรงประตูพลางชะงักไปครู่หนึ่ง
ช่างเถอะ งับสักทีก็แล้วกัน ถึงแม้นายหญิงจะโกรธ แต่เจ้านายน่าจะดีใจ
สุนัขตัวใหญ่ที่ตัดสินใจได้แล้วจึงทำตัวผ่อนคลายลง มันทำตัวนิ่งเพื่อรอกัดคนบางคน
เซี่ยอินโหลวเก็บสายตา ผลักประตูออกแล้วเดินจากไป
เจียงซื่อโล่งอก
ไม่ว่าเซี่ยอินโหลวจะพบความผิดปกติหรือไม่ ขอแค่ไม่เปิดโปงก็ถือว่าดีแล้ว ถึงอย่างไร นางหน้าด้านเอาไว้ ขอแค่ไม่เปิดเผยต่อหน้าก็สามารถกัดฟันไม่ยอมรับได้
เซี่ยอินโหลวเป็นคนทำอะไรเร็ว เขาไม่เพียงแต่ขับไล่อาแปดกับอาสะใภ้ออกไปกลางดึก แต่เขายังเขียนหนังสือได้อีกหนึ่งฉบับ พร้อมกับสั่งให้พ่อบ้านกับท่านอาคนหนึ่งนำส่งให้กับหัวหน้าผู้อาวุโสที่หมู่บ้าน พร้อมกับบอกเล่าความเป็นมาของเรื่องราวทันทีที่ฟ้าสว่าง
พ่อบ้านกับท่านอาขี่ม้าออกจากเมืองทันทีที่ฟ้าเพิ่งสว่าง อาแปดกับอาสะใภ้แปดที่ถูกขับไล่กลางดึกไม่มีที่อยู่ให้อาศัย ครึ่งแรกของกลางดึกพวกเขานอนไม่หลับ จึงจ้องมองทองฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว ครึ่งหลังของกลางดึกถึงหลับลงไปแบบสะลึมสะลือ พอลืมตาขึ้นอีกทีแสงตะวันก็ส่องมาถึงก้น ทั้งสองคนไม่ทันเช็ดขี้ตาก็ต้องเดินทางออกจากตัวเมืองไปอย่างทุลักทุกเล ต่างก็อยากกลับไปขอความสงสารจากหัวหน้าผู้อาวุโสที่หมู่บ้านเร็วๆ
ใครถึงก่อนย่อมได้เปรียบกว่า เรื่องราวต่างๆ นั้น การได้พูดก่อนกับพูดทีหลังมันไม่เหมือนกัน
พอทั้งสองคนกลับถึงหมู่บ้าน พวกเขาเดินตรงเข้าไปในบ้านต่อหน้าสายตาทุกคน ด้านหลังมีคนถุยน้ำลายใส่ “ถุย น่าอับอายขายหน้าเสียจริง!”
อาสะใภ้แปดมีพ่อสามีเป็นหัวหน้าผู้อาวุโสของหมู่บ้านนับว่าเย่อหยิ่งมาก แล้วนางจะรับการดูถูกเช่นนี้ได้อย่างไร พอได้ยินเช่นนั้น นางก็หันหน้ากลับพร้อมกับเอามือยันไว้ที่เอวและถามออกไป “เจ้าว่าใคร”
สตรีคนนั้นเบ้ปาก “ข้าว่าใคร คนนั้นไม่รู้ตัวเลยรึ พี่ห้าสองสามีภรรยาจากไป กระดูกยังไม่ทันได้ฝัง ก็มีคนคิดจับจ้องกิจการของเขาเสียแล้ว ช่างไม่กลัวฟ้าผ่าเสียจริง!”
อาสะใภ้แปดได้ยินคำว่า ‘ฟ้าผ่า’ ตัวพลันสั่นไปทั้งตัว
ตอนนี้นางไม่อยากได้ยินคำนี้ที่สุด!
“ฟ้าผ่าอะไรกัน แหม ทำไมข้าไม่ยักรู้เลยว่าเจ้าสนิทสนมกับพี่ห้าตั้งแต่เมื่อไหร่ คนตายแล้วยังคิดจะประจบสอพลออีกรึ น่าเสียดาย ตอนนี้ทำได้เพียงส่งสายตาหวานให้กับคนตาบอดดู…ไร้ประโยชน์สิ้นดี” เมื่อพูดถึงฝีมือการด่าทอในที่สาธารณะ อาสะใภ้แปดไม่เคยแพ้ใคร
กลับไม่รู้ตัวเลยว่าพ่อบ้านจวนหย่งชังปั๋วได้เปิดเผยการกระทำของทั้งสองคนจนหมดเปลือกตั้งแต่เช้า มิหนำซ้ำยังมีท่านอาอีกคนมาช่วยเป็นพยาน ตอนนี้คนทั้งตระกูลได้รู้เรื่องชั่วๆ ของสองคนแล้ว นับว่าได้สร้างความโมโหให้กับทุกคนเรียบร้อย
บางคนให้ข้าวหนึ่งถุงรำลึกเป็นบุญคุณ แต่บางคนให้ข้าวหนึ่งกระสอบกลับนำมาซื้อความแค้น
สตรีที่กล่าวเมื่อครู่นี้คือคนที่เคยได้รับบุญคุณจากจวนปั๋ว เมื่อได้ยินคำหยาบคายของอาสะใภ้แปด นางจึงถุยน้ำลายหนืดใส่หน้านาง “ถุย ปากเจ้าคาบหนอนอะไรอยู่รึ เมื่อตอนที่ข้าสูญเสียสามีไป ลูกห้าคนที่ใกล้จะหิวตายแล้ว มีพี่ห้ากับพี่สะใภ้ห้าเป็นผู้ต่อชีวิตแก่พวกข้า แล้วพี่ห้าเห็นว่าลูกรองของข้าเป็นเด็กฉลาด จึงส่งเสียให้ไปร่ำเรียนหนังสือ บุญคุณของพี่ห้ากับพี่สะใภ้ห้า พวกไม่รู้คุณจำไม่ได้หรอก แต่ข้าจำได้ขึ้นใจ ไปขอความเห็นจากผู้อาวุโสไป หากวันนี้ผู้อาวุโสไม่ไล่พวกใจไม้ไส้ระกำอย่างพวกเจ้าออกไป ข้าจะชนประตูเรือนผู้อาวุโสให้ตายคาประตู ถือว่าเป็นการทดแทนบุญคุณให้พี่ห้ากับพี่สะใภ้ห้า!”
ทุกคนในตระกูลพากันส่งเสียงขับไล่ให้อาแปดกับอาสะใภ้แปดไปที่เรือนของผู้อาวุโส
ในสถานการณ์เช่นนี้ แม้ว่าผู้อาวุโสอยากช่วยเหลือแต่ก็ไร้หนทาง เพราะยิ่งเป็นหัวหน้าผู้อาวุโสก็ยิ่งเป็นบุคคลที่ทรงไว้ซึ่งคุณธรรมและบารมีสูงส่ง คนเช่นนี้ให้ความสำคัญเรื่องชื่อเสียงเป็นที่สุด เพื่อบรรเทาความโกรธของทุกคน จึงต้องขับไล่อาแปดกับอาสะใภ้แปดออกจากหมู่บ้านไป
บางครั้งคนเราก็ให้ความสำคัญกับหมู่ชนมากเป็นพิเศษ ข้อผูกมัดของหมู่ชนก็อยู่เหนือข้อกฎหมาย อย่างเช่นการลงโทษคนในหมู่ชน ทางการจะไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวด้วย แล้วคนที่สูญเสียการคุ้มครองดูแลจากหมู่ชนก็จะน่าเวทนาอย่างที่สุด
กล่องเสียงที่แทบขาดของอาแปดกับอาสะใภ้แปดไม่สามารถทำให้หัวหน้าผู้อาวุโสเรียกคืนคำสั่งได้ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ข่าวคราวของพวกเขาก็หายไประยะหนึ่ง
เซี่ยอินโหลวคุกเข่าอยู่ในโถงพิธี และฟังคำรายงานจากพ่อบ้านด้วยใบหน้าที่ไร้สีหน้าใดๆ มุมปากขยับขึ้นเบาๆ พลางพูดกับโลงศพสลักลายดอกว่า “ท่านพ่อ ท่านแม่ พวกท่านวางใจเถอะ ลูกจะฟื้นฟูจวนปั๋วและดูแลน้องสาวให้เป็นอย่างดี…”
ไม่นาน พิธีไว้ทุกข์เจ็ดวันของสองสามีภรรยาหย่งชังปั๋วก็ผ่านไป เมื่อเจียงซื่อเห็นสภาพจิตใจของเซี่ยชิงเหยาดีขึ้น นางจึงกล่าวลาและขอตัวกลับจวน
แม้ว่าเซี่ยชิงเหยายังไม่อยากให้กลับ แต่ก็รู้ว่าตนไม่มีเหตุใดที่จะรั้งให้เจียงซื่ออยู่ต่อ เวลานี้ นางมองพี่ชายหนึ่งที พลางคิดภายในใจว่าหากพี่ใหญ่ได้คู่กับอาซื่อจริงก็คงจะดี พวกนางจะได้อยู่ด้วยกันตลอด
ท้ายที่สุดแล้ว ก็พี่ชายนั่นล่ะที่ไม่ได้เรื่อง…
สายตาไม่พอใจของสาวน้อย ทำให้เซี่ยอินโหลวที่นอกเหนือจากประหลาดใจแล้วก็ทนไม่ได้เล็กน้อย จึงรีบกล่าวกับเจียงซื่อ “น้องเจียงซื่อ ให้ข้าส่งเจ้าออกจากจวนเถอะ”
ริมฝีปากของเซี่ยชิงเหยากระตุกเบาๆ
พี่ใหญ่รีบไล่คนอื่นกลับเพียงนี้ ไม่แปลกใจแล้วล่ะที่คนอื่นจะไม่ชอบ
“สองจวนใกล้กันเพียงเท่านี้ ข้าไม่รบกวนพี่เซี่ยดีกว่า”
เซี่ยอินโหลวยืนกราน “น้องเจียงซื่ออยู่เป็นเพื่อนชิงเหยานานเพียงนี้ การที่ข้าไปส่งนั้นเป็นสิ่งที่ควรทำ”
เจียงซื่อไม่ใช่คนขี้อาย ในเมื่อเซี่ยอินโหลวพูดขนาดนี้ นางจึงไม่ปฏิเสธอีก
ผู้คนชอบในความคึกคัก โดยเฉพาะงานมงคลและงานอวมงคล สองสามีภรรยาหย่งชังปั๋วเสียชีวิต มีการเชิญนักบวช นักพรตร่วมสิบคนมาทำพิธี เป่าเสียงตีกลองสนั่นลั่นทุกวันจนดึงดูดคนมานับไม่ถ้วน
อวี้จิ่นที่ปกติต่อให้ฟ้าผ่าก็ไม่ยอมขยับไปไหน ก็ยังมาดูความคึกคักนี้