ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ - ตอนที่ 2 ต่างจากที่ได้ยิน
ตอนที่ 2 ต่างจากที่ได้ยิน
ท้องฟ้ามืดสนิท ภายใต้แสงที่สาดส่องมายังประตูสีเขียวแกะสลักลายบุปผา ชวนให้บรรยากาศยิ่งดูเงียบสงัด
เจียงซื่อพยักหน้าให้อาหมานพลางเอ่ยเสียงเบา “ไปสิ”
อาหมานหยิบกุญแจหนึ่งดอกออกมาจากเหอเปา[1]ตรงเอว จากนั้น เดินเข้าไปไขกุญแจอย่างเบามือ
แม่กุญแจถูกไขออก แกร็ก ตามการหมุนของลูกกุญแจ
กุญแจที่อยู่ในมือของอาหมานเปียกชุ่มด้วยเหงื่อ นางรู้สึกโล่งอกและใจเต้นแรงดุจฟ้าผ่าไปพร้อมๆ กัน
เจียงซื่อเห็นท่าทีนั้นก็หลุดหัวเราะออกมาเบาๆ
เมื่อไม่นานที่ผ่านมา นางสั่งให้อาหมานไปดื่มสุรากับสาวใช้ที่เฝ้าประตูสอง รอให้สาวใช้ดื่มจนเมา แล้วใช้โอกาสนั้นหยิบกุญแจออกมาพิมพ์ลายกุญแจด้วยสบู่ จากนั้นนำลายนี้ไปทำกุญแจดอกใหม่
กุญแจดอกใหม่ที่ทำขึ้น จะไขออกหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับดวงแล้วล่ะ แต่แล้วก็มีหนึ่งดอกในห้าดอกที่สามารถไขออกจนได้
อาหมานผลักประตูออกช้าๆ พลันตาลุกวาว “คุณหนู!”
ในเวลานั้น พลันได้ยินเสียงก๊อกแก๊ก ดังขึ้น เสียงนั้นดังฟังชัดมากเป็นพิเศษเมื่ออยู่ท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบสงัด
เจ้านายกับสาวใช้สบตาและพากันหันไปมองสิ่งที่ทำให้ทั้งคู่หวาดกลัว
เจียงซื่อมีปฏิกิริยาไวกว่า นางดึงอาหมานแล้วนั่งลงอย่างรวดเร็ว จากนั้น ก็เห็นสาวใช้ที่เฝ้าประตูเดินออกมา ขยี้ตาและเดินไปทางไปห้องปลดทุกข์ นางไม่ได้มองมาทางนี้เลยสักนิด
เจียงซื่อจึงย่องออกไปแล้วตามด้วยอาหมาน จากนั้นก็ปิดประตูลงอย่างเบามือ
เมื่อเหตุการณ์อันน่าตกใจผ่านไป อาหมานยิ้มออกมาอย่างดีใจ “เกือบไปแล้วเจ้าค่ะ!”
เจียงซื่อเตรียมใจทุกอย่างไว้เรียบร้อย พลางเอ่ยนิ่งๆ “อย่ามัวเสียเวลาอีกเลย รีบไปกันเถอะ”
เจ้านายกับสาวใช้เดินเลียบไปตามกำแพง ทั้งคู่ใช้เวลาแล้วกว่าหนึ่งกาน้ำชา แล้วเจียงซื่อก็หยุดเดิน
อาหมานมองดูรอบๆ อย่างมึนงง “คุณหนู เราจะออกไปอย่างไรดีเจ้าคะ”
นางหาวิธีทำกุญแจประตูสองได้ แต่ประตูใหญ่มันไม่ง่าย นางไม่มีเหตุผลใด ที่จะให้สาวใช้คนสนิทของไปชวนพ่อบ้านเฝ้าประตูดื่มสุราด้วยกัน
“ตามข้ามา” เจียงซื่อเดิมอ้อมไปยังพุ่มไม้พุ่มหนึ่ง แล้วก้มลงปัดต้นไม้ใบหญ้าออก แล้วก็ได้เห็นช่องๆ หนึ่ง
อาหมานตกใจตาโตในทันใด “คุณหนู ช่องนี้มาได้อย่างไรกันเจ้าคะ”
เจียงซื่อไม่ตอบคำถาม แต่นางมุดผ่านช่องนั้นออกไป จากนั้น นางเหม่อมองท้องฟ้ายามค่ำคืนท่ามกลางลมพัดอยู่ครู่หนึ่ง
ตอนนั้น ในสายตาของนาง เจียงจั้นผู้เป็นพี่ชายของนางเป็นคนไม่เอาไหน จึงไม่ค่อยใส่ใจมากเท่าไหร่ มีอยู่ครั้งหนึ่ง นางบังเอิญเห็นเขาคลานออกจากช่องนี้ นางเดาออกเลยว่าเขาแอบออกไปเที่ยวมาแน่ๆ
ตอนนั้น นางเพียงยิ้มเยาะ และยิ่งรู้สึกดูถูกพี่ชายมากกว่าเดิม นางไม่มีแม้แต่กะจิตกะใจจะไปฟ้องพ่อบ้านให้เอาอะไรมาปิดช่องนี้
สำหรับนางแล้ว พี่ชายคนนี้ไม่ได้ต่างจากโคลนที่เกาะกำแพงไม่อยู่ เขาไร้ความสามารถเสียจนแทบไม่มีความจำเป็นต้องให้ความช่วยเหลือใดๆ มิสู้หลีกให้ห่างแล้วอยู่อย่างสงบยังจะดีเสียกว่า
แต่แล้ว เจียงจั้นก็มาสิ้นชีวิต เมื่อช่วงฤดูใบไม้ร่วงในปีหลังจากนางออกเรือนไป พอได้ยินข่าวร้ายนั่น ก็ทำให้รู้ว่า นางเองก็เสียใจกับเรื่องนี้ไม่น้อย
พี่ชายที่ซื้อขนมดอกบัวกุหลาบจากตลาดกลับมาให้นางโดยไม่หวั่นกลัวว่าจะถูกท่านพ่อใช้ไม้แส้ฟาดคนนั้น ไม่มีอีกต่อไปแล้ว
“คุณหนู——” อาหมานที่เพิ่งออกมาจากช่องเห็นเจียงซื่อเหม่อลอย จึงขานเบาๆ
เจียงซื่อดึงสติกลับมาพลางยิ้มให้กับตัวเอง
ในตอนนั้น นางช่างเหมือนคนตาบอด พี่ชายลูกพี่ลูกน้องที่อยู่ที่เรือนของท่านอารอง ถึงจะมีความสามารถโดดเด่นแค่ไหน ก็ไม่มีทางซื้อขนมดอกบัวกุหลาบให้นาง ส่วนพี่ชายของตน แม้จะแย่สักแค่ไหน แต่เขาก็ยังรักและเอ็นดูนางด้วยความจริงใจ
“ไปกันเถอะ” เจียงซื่อสงบจิตใจ คำนวณเวลาอยู่แวบหนึ่ง ก็พาอาหมานตรงไปยังทะเสสาบมั่วโยว
โชคดีที่ทางราชการยกเลิกคำสั่งห้ามออกนอกสถานที่ในเวลากลางคืนแล้ว แล้วทะเลสาบมั่วโยวก็บังเอิญอยู่ทิศตะวันตกของเมืองซึ่งเป็นทิศเดียวกันกับจวนตงผิงปั๋ว มันสร้างความสะดวกให้กับเจียงซื่อเป็นอย่างมาก
เจ้านายกับสาวใช้สองคนย่ำเท้าไปยังที่หมายอย่างรวดเร็ว ภายใต้แสงจันทร์ที่ให้แสงสว่าง ทำให้พอเห็นเงาของคนสองคนอยู่ตรงริมทะเลสาบเป็นลางๆ
ในตอนนั้นอาหมานตะลึงตกใจมาก พลางเอ่ยเสียงเบา “คุณหนู มีคนจริงๆ ด้วยเจ้าค่ะ!”
เจียงซื่อชี้ไปยังแผ่นหินแผ่นนึงที่สลักไว้ว่า ‘ทะเลสาบมั่วโยว’ ด้วยใบหน้าอันไร้สีหน้าใดๆ
หินแผ่นนั้นสูงครึ่งฟุตกว่า ใหญ่พอให้คนๆ หนึ่งหลบด้านหลังแผ่นหินนั้นได้สบาย
อาหมานเข้าใจทันที จึงตามเจียงซื่อไปหลบตรงนั้นด้วยกัน
เจียงซื่อจับแผ่นหินเอาไว้ ไออุ่นจากแผ่นหินซึมเข้าสู่ฝ่ามือ คงเป็นความร้อนจากแสงแดดเมื่อตอนกลางวันที่ยังไม่ระเหยหายไป
พลันมีเสียงร้องไห้ดังมาจากริมทะเลสาบ เจียงซื่ออดไม่ได้ที่จะมองดู
ภายใต้แสงจันทร์ ทำให้เห็นเรือนร่างของคนสองคนอย่างชัดเจน
เรือนร่างชายหนุ่มค่อนข้างผอม ตัวสูงกว่าหญิงสาวเกือบหนึ่งศีรษะ นั่นคือว่าทีสามีของเจียงซื่อ จี้ฉงอี้
เจียงซื่อเปลี่ยนจากมองใบหน้ารูปงามของจี้ฉงอี้ไปเป็นใบหน้าของหญิงสาวแทน
นางมีความสงสัยมาตลอด สตรีที่ทำให้จี้ฉงอี้ประคบประหงมดุจบุปผา ส่งผลให้เขาไม่คิดแม้แต่จะแตะเนื้อต้องตัวนางนั้นมีหน้าตาเป็นเช่นไร
เมื่อตอนนางแต่งเข้าจวน สตรีคนนั้นได้ลาโลกไปแล้ว จนกระทั่งคืนนี้ เป็นวันที่นางได้เห็นใบหน้าของนางอย่างแท้จริง
นางเป็นหญิงร่างเล็ก มีดวงตาเรียวยาวดุจใบหลิว เป็นดวงตากลมโตหนึ่งคู่ แม้อยู่ภายใต้แสงจันทร์ที่ส่องสว่าง ก็ยังทำให้เห็นว่านางหาใช่คนผิวขาวไม่
เจียงซื่อพลันรู้สึกว้าวุ่นสับสน
หากพูดตามความคิดภายในใจ หญิงคนนี้ถือว่ามีหน้าตาสะสวย แต่ยังห่างจากความเป็นหญิงรูปงามอยู่มากพอควร แล้วยิ่งรู้ว่านางเป็นแค่หญิงสาวธรรมดา ไม่เคยร่ำเรียนหนังสือมาก่อน ก็ยิ่ง…
แล้วเจียงซื่อก็หันมองจี้ฉงอี้แทน นางเห็นความเจ็บปวดและความวิตกกังวลที่แสดงอยู่บนใบหน้าของเขา ต้องยอมรับจริงๆ ว่าเขาพ่ายแพ้ให้กับรักแท้แล้วจริงๆ
“คุณชายอี้ ท่าน… ท่านรีบกลับจวนเถิด นี่ก็ดึกมากแล้ว หากมีใครพบเข้าจะแย่นะเจ้าคะ” หญิงสาวก้มหน้าเอ่ยด้วยความกล้ำกลืนฝืนทน
จี้ฉงอี้ยื่นมือออกไปจับสองไหล่ของหญิงสาวเอาไว้ เอ่ยด้วยเสียงใสที่เต็มไปด้วยความรู้สึก “ข้าไม่ไป เฉี่ยวเหนียง เจ้าไม่รู้หรือว่าข้าจะแต่งงานเร็วๆ นี้แล้ว ที่บ้านข้าเฝ้าข้าอย่างเข้มงวด หากข้ากลับไป ข้ากลัวว่าก่อนแต่งงาน ข้าจะไม่ได้เจอเจ้าอีก…”
สายตาของเจียงซื่อพลันเปลี่ยนเป็นเย็นชา
ที่แท้หญิงในใจของจี้ฉงอี้มีนามว่าเฉี่ยวเหนียง
ถึงว่า วันที่สอง หลังจากที่พวกเขาแต่งงานกัน อาเฉี่ยวเดินเข้ามาปรนนิบัตรรับใช้นาง แล้วนางขานออกไปคำหนึ่งว่า “อาเฉี่ยว” สายตาของจี้ฉงอี้หันขวับราวกับสายฟ้าแลบ จากนั้นสะบัดเสื้อและออกไปทันที ไม่อยู่รอแม้แต่พิธียกน้ำชา
ฮูหยิน อันกั๋วกง ซึ่งก็คือแม่สามีของนาง ย่อมไม่ถือโทษลูกชายอยู่แล้ว กลับต่อว่านางไม่มีมารยาทเสียอย่างนั้น กว่าจะผ่านพ้นช่วงยกน้ำชาไปได้ก็หาเรื่องนางอยู่พอสมควร
เฉี่ยวเหนียงยิ้มด้วยความเจ็บปวด “แล้วถ้าไม่ไปตอนนี้ จะเป็นอย่างไรต่อละเจ้าคะ คุณชายอี้ อย่างไรเสียท่านก็ต้องกลับอยู่ดี แค่ช้าหรือเร็วเท่านั้น แล้วมันแตกต่างกันตรงไหน ส่วนหลังจากนี้… ในเมื่อท่านแต่งงานแล้วก็ควรดีต่อภรรยาของท่าน ลืมข้าลงเสียเถิด ข้า ข้าเอง ก็จะลืมท่านด้วย——”
จี้ฉงอี้เอามือปิดปากของเฉี่ยวเหนียงทันที พลางเอ่ยห้าม “ข้าไม่อนุญาต!”
“คุณชายอี้…” เฉี่ยวเหนียงหันหน้าไปอีกทาง แล้วน้ำตาก็ไหลออกมา
เจียงซื่อมองดูนิ่งๆ จนเริ่มเกิดความตื่นเต้นขึ้นมา
ดูจากสถานการณ์แล้ว ทั้งคู่ใกล้จะจบชีวิตด้วยกันแล้วสินะ
หวังเพียงว่าต่อจากนี้ ทุกอย่างจะราบรื่น…
“เฉี่ยวเหนียง พวกเราหนีกันเถอะ!” อารมณ์จี้ฉงอี้เริ่มพลุกพล่าน พลางจับมือของเฉี่ยวเหนียงเตรียมเดินไป
เฉี่ยวเหนียงส่ายหน้า “คุณชายอี้ ท่านใจเย็นก่อน การหนีไปเช่นนี้ไม่ใช่วิธีการแก้ปัญหานะเจ้าคะ”
จี้ฉงอี้หันกลับมาจุมพิตคนตรงหน้าในทันใด
อาหมานสูดหายใจลึกด้วยความโกรธพลางดึงเจียงซื่ออย่างแรง
เจียงซื่อกลับนิ่งไร้ปฏิกิริยา กำลังคิดถึงสิ่งที่จะทำตอนที่ทั้งสองคนฆ่าตัวตาย
ทั้งสองคนจุมพิตกันอย่างดูดดื่ม จนไม่มีเสียงพูดคุย มีแต่เสียงหายใจที่เร็วขึ้นเรื่อยๆ จนทั้งสองเดินถอยหลังทีละก้าวอย่างไม่รู้ตัว แล้วเสียงจ๋อม ก็ดังขึ้นตาม
เจียงซื่อถึงกับอึ้งจนพูดไม่ออก
อ้าว ไม่เหมือนที่คุยกันไว้นี่นา!
[1] เหอเปา หมายถึง คือถุงผ้าขนาดเล็กมีหูรูดรูปทรงคล้ายดอกบัว ปักลวดลายงดงาม สำหรับใส่เงินหรือของชิ้นเล็กๆ ถือเป็นเครื่องประดับชิ้นหนึ่ง